REPTALES
เรื่องราวสัตว์จาก ReptTown
สารคัดหลั่งสีแดงในหนูแรท: ไม่ใช่เลือด แต่เป็นสัญญาณบางอย่าง!

สารคัดหลั่งสีแดงในหนูแรท: ไม่ใช่เลือด แต่เป็นสัญญาณบางอย่าง!

หากคุณเลี้ยงหนูแรทแล้ววันหนึ่งเห็นของเหลวสีแดง ๆ บนจมูกหรือรอบดวงตาของมัน คุณอาจตกใจคิดว่าหนูของคุณกำลังมีเลือดออก! แต่เดี๋ยวก่อน… สิ่งที่คุณเห็นนั้นอาจไม่ใช่เลือด แต่เป็น สาร Porphyrin ซึ่งเป็นของเหลวที่หนูแรทผลิตขึ้นเองอย่าเพิ่งตกใจไป เพราะสารนี้เป็นเรื่องปกติของหนูแรท แต่ถ้ามันเยอะผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณว่ามีอะไรบางอย่างไม่โอเค! วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันว่า Porphyrin คืออะไร? ทำไมหนูของคุณถึงมีมันมากขึ้น? และจะช่วยให้หนูสุขภาพดีได้อย่างไร?Porphyrin คืออะไร? ทำไมมันถึงเป็นสีแดง?Porphyrin เป็นสารที่ผลิตจาก ต่อมฮาร์เดอเรียน (Harderian Gland) ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับดวงตาของหนู สารนี้ช่วยให้ดวงตาของหนูชุ่มชื้น แต่เมื่อมันเยอะเกินไป หนูก็อาจดูเหมือนมีน้ำตาสีแดง หรือมีคราบสีแดง ๆ รอบจมูกและปากได้ที่สำคัญ มันไม่ใช่เลือด! แต่ถ้ามีมากเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเจ้าหนูของคุณ กำลังเครียด ป่วย หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมอะไรทำให้หนูแรทมีสารคัดหลั่งสีแดงเยอะขึ้น?🥶 ความเครียดหนูแรทเป็นสัตว์ที่อ่อนไหว ถ้ามีเสียงดัง การเปลี่ยนแปลงกรง หรือถูกจับบ่อยเกินไป อาจทำให้มันเครียดและสร้าง Porphyrin ออกมามากขึ้น🤒 ป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพหนูที่ป่วย เช่น เป็นโรคทางเดินหายใจ หรือมีปัญหากับระบบภูมิคุ้มกัน อาจหลั่ง Porphyrin ออกมามากกว่าปกติ🌬 อากาศแห้งหรือสารระคายเคืองถ้ากรงของหนูมีฝุ่นเยอะ หรืออยู่ในห้องที่มีอากาศแห้งเกินไป สารนี้ก็อาจออกมาเยอะกว่าปกติ🍽 อาหารไม่สมดุลหากหนูไม่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ร่างกายของมันอาจผลิตสารคัดหลั่งสีแดงมากขึ้นแล้วเราจะช่วยหนูของเราได้ยังไง?✅ ดูแลสภาพแวดล้อมให้ดีใช้วัสดุปูรองกรงที่ไม่มีฝุ่น เช่น Tinycobตั้งกรงในที่สงบ ห่างจากเสียงดังและควันบุหรี่✅ ให้โภชนาการที่เหมาะสมให้อาหารที่ครบถ้วน มีโปรตีน ไขมัน และวิตามินเพียงพอ✅ ลดความเครียดอย่าจับหนูบ่อยเกินไปโดยเฉพาะถ้ามันยังไม่คุ้นมือคุณให้มันมีที่หลบซ่อนในกรง เช่น บ้านไม้หรือท่อพลาสติก✅ สังเกตอาการผิดปกติถ้าหนูแสดงอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หายใจติดขัด ซึม หรือเบื่ออาหาร ควรพาไปพบสัตวแพทย์สรุปง่าย ๆ : สารคัดหลั่งสีแดงเป็นเรื่องปกติ แต่อย่ามองข้าม!หากเห็นของเหลวสีแดงในหนูแรท อย่าเพิ่งตกใจ เพราะมันไม่ใช่เลือด! แต่ถ้ามันมีเยอะผิดปกติ หรือหนูของคุณดูอ่อนแอ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าหนูกำลังเครียดหรือป่วย รีบตรวจสอบสภาพแวดล้อมและดูแลมันให้ดี!เด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder Repttown
หนูแรท

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 01 เม.ย. 25

อ่าน 4 ครั้ง


กระต่ายสีส้มขนมีเขม่าเยอะมากไม่เหมือนส้มตัวอื่นเลย เกิดจากอะไร??? ทำความรู้จักกับ Rufus Modifiers และ Wideband Gene: ปัจจัยสำคัญของสีขนในกระต่าย

กระต่ายสีส้มขนมีเขม่าเยอะมากไม่เหมือนส้มตัวอื่นเลย เกิดจากอะไร??? ทำความรู้จักกับ Rufus Modifiers และ Wideband Gene: ปัจจัยสำคัญของสีขนในกระต่าย

Rufus Modifiers และ Wideband Gene คืออะไร?Rufus Modifiers และ Wideband Gene เป็นปัจจัยทางพันธุกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสีขนของกระต่าย โดยเฉพาะในสายพันธุ์ที่มีสีแดง (Red) ส้ม (Orange) หรือฟอว์น (Fawn) ทั้งสองยีนนี้ทำงานร่วมกันเพื่อปรับเฉดสีและการกระจายตัวของเม็ดสีในขนของกระต่ายRufus Modifiers คืออะไร?Rufus Modifiers เป็นชุดของยีนที่ส่งผลต่อระดับของเม็ดสี phaeomelanin (เม็ดสีเหลือง-แดง) ในขนของกระต่าย ยีนเหล่านี้ไม่ได้เป็นยีนเดี่ยว แต่เป็นกลุ่มของยีนหลายตัวที่ควบคุมความเข้มหรืออ่อนของสีแดงลักษณะทางพันธุกรรมของ Rufus Modifiers:ลักษณะทางพันธุกรรม: Rufus Modifiers ไม่ใช่ยีนเดี่ยวที่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่เป็นกลุ่มของ polygenes หรือ modifier genes ที่ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มความเข้มของเม็ดสีเหลือง-แดง (phaeomelanin) ในขนของกระต่าย ​การแสดงออก: เนื่องจากเป็น polygenic การแสดงออกของ Rufus Modifiers จึงไม่เป็นแบบเด่นหรือด้อยตามกฎของ Mendel แต่เป็นการเพิ่มหรือลดระดับของสีแดงในขน ขึ้นอยู่กับจำนวนและความเข้มข้นของ modifiers ที่มีอยู่หน้าที่ของ Rufus Modifiers:เพิ่มความเข้มของสีแดงในขนทำให้สีของกระต่ายดูสดใสขึ้น เช่น จากสีส้มอ่อนเป็นสีแดงเข้มพบได้ในกระต่ายที่มีสี Orange, Red และ Fawnระดับของ Rufus Modifiers:ระดับต่ำ: สีขนออกไปทางเหลืองหรือส้มอ่อนระดับสูง: สีขนออกไปทางแดงเข้ม (พบในกระต่าย Red เช่น Thrianta หรือ Red New Zealand)Wideband Gene คืออะไร?Wideband Gene (W/w) เป็นยีนที่มีอิทธิพลต่อการกระจายของเม็ดสีในขน โดยเฉพาะในกระต่ายที่มีลวดลายแบบ Agouti (A_) และสีแดง-ส้ม ช่วยให้สีขนดูเรียบเนียน ไม่มีการแซมของสีดำหรือสีเข้มลักษณะทางพันธุกรรมของ Wideband Gene:ลักษณะทางพันธุกรรม: Wideband Gene ถูกระบุด้วยสัญลักษณ์ W และ w โดยที่ w เป็นยีนด้อย ซึ่งหมายความว่ากระต่ายต้องได้รับยีน w จากทั้งพ่อและแม่ (genotype: ww) เพื่อให้แสดงลักษณะ wideband อย่างเต็มที่ ​การแสดงออก: ยีน Wideband มีผลต่อการขยายความกว้างของแถบสีในขนของกระต่ายที่มีลวดลายแบบ Agouti ทำให้สีขนดูสว่างขึ้นและลดการแซมของสีดำ (ticking) อย่างไรก็ตาม ผลของยีนนี้จะเห็นได้ชัดเจนในกระต่ายที่มีลวดลาย Agouti และอาจไม่แสดงผลในกระต่ายที่มีลวดลายอื่นหน้าที่ของ Wideband Gene:ลดการเกิดสีแซมดำ (ticking) ในขนของกระต่ายขยายพื้นที่ของเม็ดสีเหลือง-แดง ทำให้สีขนดูสดขึ้นพบมากในกระต่ายที่มีสี Red, Orange และ Harlequinยีน Wideband (W/w) ทำงานอย่างไร?WW หรือ Ww: กระต่ายอาจมีสีขนแซมหรือมีลวดลายชัดขึ้นww: ขนจะเป็นสีเดียวตลอดทั้งเส้น (ไม่มี ticking) ทำให้กระต่ายมีสีแดงสด เช่นใน ThriantaRufus Modifiers และ Wideband Gene ทำงานร่วมกันอย่างไร?กระต่ายสี Red หรือ Orange ที่มีสีขนเข้มและสดใส มักต้องมีการทำงานร่วมกันของ Rufus Modifiers สูง และ ww (Wideband แบบด้อย) เช่น:ตัวอย่างชุดยีนและสีขนที่เกิดขึ้น:ee ww + Rufus Modifiers สูง → กระต่ายสีแดงเข้ม (เช่น Thrianta)ee Ww + Rufus Modifiers ปานกลาง → กระต่ายสีส้ม (เช่น Orange Holland Lop)Ee WW + Rufus Modifiers ต่ำ → สีขนอ่อนกว่าและมีสีแซมดำA_ ww ee + Rufus Modifiers สูง → กระต่ายสีแดงแบบ Agouti (Fawn หรือ Red Agouti)A_ WW Ee + Rufus Modifiers ต่ำ → กระต่ายสี Agouti ธรรมดา (Chestnut)หมายเหตุ: ชุดยีนเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างและอาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อสีขนของกระต่ายด้วยตัวอย่างชุดยีนและสีขนที่เกิดขึ้นA_ B_ C_ D_ ee ww: กระต่ายสีแดง (Red) ที่มีสีขนสม่ำเสมอและไม่มีการแซมของสีดำ​A_ B_ C_ D_ ee Ww: กระต่ายสีส้ม (Orange) ที่อาจมีการแซมของสีดำเล็กน้อย​A_ B_ C_ D_ Ee ww: กระต่ายสีเชสนัท (Chestnut) ที่มีสีขนอ่อนกว่าและอาจมีการแซมของสีดำ​เพียงเล็กน้อยสรุปRufus Modifiers และ Wideband Gene เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดสีขนของกระต่าย โดย Rufus Modifiers ควบคุมความเข้มหรืออ่อนของสีแดง ส่วน Wideband Gene ควบคุมการกระจายตัวของเม็ดสี การทำงานร่วมกันของทั้งสองยีนนี้ช่วยให้กระต่ายมีสีแดง-ส้มที่สวยงามและสม่ำเสมอ ดังนั้น หากต้องการกระต่ายสีแดงเข้ม ต้องมี ee ww + Rufus Modifiers สูง เพื่อให้สีขนออกมาตามต้องการหากคุณกำลังเพาะพันธุ์กระต่ายที่มีสีขนสวยงาม การเข้าใจเรื่อง Rufus Modifiers และ Wideband Gene จะช่วยให้คุณคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น!เด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 30 มี.ค. 25

อ่าน 0 ครั้ง


เลือกซื้อกระต่ายอย่างไรให้ไม่โดนหลอกกก👻

เลือกซื้อกระต่ายอย่างไรให้ไม่โดนหลอกกก👻

กระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่มีทั้งความน่ารักและความหลากหลายของสายพันธุ์ หากคุณกำลังมองหากระต่ายที่มีคุณภาพดี การเลือกซื้อตามฟาร์มระบบปิดก็ช่วยให้คุณมีโอกาสได้รับกระต่ายที่มีสุขภาพดีมากขึ้น หรือ ให้ดีกว่านั้นก็เลือกซื้อจากฟาร์มที่มีการพัฒนาตามมาตราฐานสายพันธุ์ ซึ่งในไทยจะนิยมเพาะตาม มาตรฐานของ American Rabbit Breeders Association (ARBA) แต่ก็มีบ้างที่เพาะตาม มาตราฐานของยุโรปถ้าหากคุณยังไม่เข้าใจเรื่องเกรดของกระต่าย แนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อน >>> เกรดของกระต่าย??? ทำไมกระต่ายถึงมีหลายเกรด***แต่ละฟาร์ม หน้าตาและรูปร่างของกระต่ายจะไม่เหมือนกันดังนั้นก่อนซื้อกระต่ายแนะนำให้เลือกดูจากหลายๆฟาร์มก่อนหรือดูที่งานประกวด***1. ทำความเข้าใจกับมาตรฐาน ARBAARBA (American Rabbit Breeders Association) เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานสำหรับกระต่ายแต่ละสายพันธุ์ โดยครอบคลุมลักษณะสำคัญ เช่น ขนาด รูปร่าง สี และโครงสร้างของร่างกาย✅ ปัจจุบัน ARBA รับรองมากกว่า 50 สายพันธุ์ แบ่งตามลักษณะขนาดและรูปร่าง เช่นสายพันธุ์ขนาดเล็ก (Small Breeds): Netherland Dwarf, Holland Lopสายพันธุ์ขนาดกลาง (Medium Breeds): Mini Rex, Dutchสายพันธุ์ขนาดใหญ่ (Large Breeds): Flemish Giant, French Lop2. การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมก่อนเลือกซื้อกระต่าย ควรพิจารณาว่าสายพันธุ์ไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณขนาดตัวอย่างสายพันธุ์น้ำหนักโดยเฉลี่ยนิสัยเล็ก (1-2 กก.) Netherland Dwarf, Holland Lop 0.9 - 2 กก.ขี้เล่น, ซุกซนกลาง (2-4 กก.) Mini Rex, Dutch, English Spot 2 - 4 กก.อ่อนโยน, เป็นมิตรใหญ่ (4 กก. ขึ้นไป) Flemish Giant, French Lop 4 - 6 กก. ขึ้นไปสุขุม, เชื่อง✳ หากต้องการกระต่ายที่เลี้ยงง่าย – Mini Rex หรือ Holland Lop เป็นตัวเลือกที่ดี✳ หากต้องการกระต่ายขนาดใหญ่และสุขุม – Flemish Giant อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม3. วิธีตรวจสอบสุขภาพและคุณภาพของกระต่ายเมื่อตัดสินใจเลือกซื้อกระต่าย ควรตรวจสอบลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมตามมาตรฐาน ARBA✅ ลักษณะกระต่ายที่ดีตามมาตรฐาน ARBA✔ ขนเงางามและสะอาด – ไม่ควรมีแผล รอยกัด หรือขนร่วงเป็นหย่อม ๆ✔ หูสะอาด ไม่มีไรหรืออาการอักเสบ – กระต่ายควรมีหูที่สะอาดและตั้งตรง (ยกเว้นสายพันธุ์ Lop ที่มีหูตก)✔ ดวงตาสดใส ไม่มีขี้ตาหรืออาการบวมแดง – สะท้อนถึงสุขภาพที่แข็งแรง✔ ฟันไม่ยาวเกินไป – ฟันควรเรียงตัวสม่ำเสมอ ไม่มีอาการฟันผิดรูป✔ โครงสร้างกระดูกสมดุล – ควรมีกระดูกแข็งแรง รูปร่างได้สัดส่วน ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป✔ กระตือรือร้นและเป็นมิตร – ไม่ซึม หรือขี้กลัวจนเกินไป🚨 ข้อควรระวัง:❌ กระต่ายที่ขนร่วงผิดปกติ อาจมีปัญหาสุขภาพ❌ กระต่ายที่มีจมูกแฉะ หรือจามบ่อย อาจมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ❌ กระต่ายที่ก้าวร้าวมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของความเครียดหรือปัญหาทางพันธุกรรม4. แหล่งซื้อกระต่ายที่น่าเชื่อถือ✅ ฟาร์มที่ได้รับการรับรองจากสมาคมที่ – ควรซื้อจากฟาร์มหรือผู้เพาะพันธุ์ที่มีชื่อเสียงและปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยงดูที่ดี ในประเทศไทยจะมีสมาคมผู้พัฒนาพันธุ์กระต่าย Rabbit Breeder Association-Thailand✅ งานประกวดกระต่าย – เป็นแหล่งที่คุณสามารถพบกระต่ายสายพันธุ์แท้ที่มีคุณภาพสามารถติดตามงานประกวดได้ที่เพจสมาคมต่างๆ🚫 หลีกเลี่ยงการซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น ตลาดสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจมีกระต่ายที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น งานที่นำกระต่ายมาขายแบบใส่กรงรวมๆกัน5. ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการเลี้ยงกระต่ายก่อนตัดสินใจซื้อ ควรเตรียมงบประมาณสำหรับดูแลกระต่ายอย่างเหมาะสมรายการค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (บาท)ค่ากระต่าย ( ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์, เกรด, สี ) 500+กรง 200+อุปกรณ์ให้อาหารและน้ำ 200+อาหารและหญ้าแห้ง 500 - 1,000 ต่อเดือนค่าดูแลสุขภาพ ( วัคซีน, ตรวจสุขภาพ ) 500 - 3,000 ต่อปี🔹 งบประมาณโดยรวม: ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 2,000+ บาท และค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 300+ บาทสรุป✅ การเลือกซื้อกระต่ายตามมาตรฐาน ARBA จะช่วยให้คุณได้กระต่ายที่มีคุณภาพดี สุขภาพแข็งแรง และมีนิสัยที่เหมาะสมกับการเลี้ยง✅ ตรวจสอบสุขภาพก่อนซื้อ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและโรคที่อาจเกิดขึ้น✅ เลือกแหล่งซื้อที่เชื่อถือได้ เช่น ฟาร์มที่ได้รับการรับรอง หรืองานประกวดกระต่าย📌 หากคุณกำลังมองหาคู่มือการดูแลกระต่ายเพิ่มเติม อย่าลืมติดตามบทความอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของเราที่นี่ Anixotic 🐰✨เด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 27 มี.ค. 25

อ่าน 3 ครั้ง


เพาะกระต่ายให้ได้สีตรงใจ!! ไม่ยาก ถ้าเข้าใจรหัสพันธุกรรมยีนสีกระต่าย

เพาะกระต่ายให้ได้สีตรงใจ!! ไม่ยาก ถ้าเข้าใจรหัสพันธุกรรมยีนสีกระต่าย

เคยได้ยินไหม "กระต่ายสีนั้นทำยาก กระต่ายสีนี้มีน้อย"ถ้าเป็นมือใหม่จะได้ยินบ่อยจากบรีดเดอร์ที่มีความเข้าใจเรื่องยีนสีไม่ดีนักแต่จริงๆแล้วสีทำยาก อาจจะมาจากสาเหตุคือกระต่ายที่ฟาร์มนั้นๆไม่มียีนสีนั้นหรือมีน้อย ทำให้สีนั้นๆมีให้เห็นนานๆทีหรือไม่มีเลยสีหายาก อาจจะมาจากสาเหตุคือสีนี้ในกระต่ายสายพันธุ์นั้นยังไม่ถูกยืนยันจากสมาคมที่จัดงานประกวดทำให้ประกวดไม่ได้ ฟาร์มเลยไม่นิยมเพาะให้ได้สีนี้กันแต่ถ้าเราอยากทำสีนั้นๆล่ะ??? เรื่องสำคัญที่ควรรู้และจะไม่มีสีไหนทำยากอีกเลยก็คือ รหัสพันธุกรรมสีกระต่ายยยยย!!!!!กระต่ายมีสีขนหลากหลาย เพราะมียีนควบคุมสีขนที่ทำงานร่วมกัน โดยรหัสพันธุกรรมของสีกระต่ายถูกกำหนดโดย "อัลลีล (Alleles)" หรือหน่วยยีนที่ได้รับจากพ่อแม่ เราจะมาทำความเข้าใจว่าระบบนี้ทำงานยังไงแบบง่าย ๆ1. รหัสพันธุกรรมสีกระต่าย (Rabbit Color Genetics) คืออะไร?กระต่ายมี 5 ตำแหน่งยีนหลัก (Loci, Locus) ที่ควบคุมสีขน ได้แก่ตำแหน่งยีนอักษรย่อควบคุมเรื่องอะไร?A Locus A, at, a คือ ลายขนพื้นฐาน เช่น Agouti, Otter, SelfB Locus B, b คือ สีดำ (Black) หรือ สีน้ำตาล (Chocolate)C Locus C, cchd, cchl, ch, c คือ ความเข้มของสี เช่น Albino, HimalayanD Locus D, d คือ สีเข้ม (Dense) หรือ สีซีดจาง (Dilute)E Locus Es, E, ej, e คือ การกระจายของเม็ดสี เช่น สี Solid หรือ Harlequin2. วิธีการทำงานของยีนสีกระต่าย (เข้าใจง่าย!)🐰 กระต่ายได้รับยีนจากพ่อและแม่อย่างละ 1 ตัว (รวมเป็นคู่) เช่น ถ้าแม่มียีน B B และพ่อมียีน B b ลูกกระต่ายจะได้ยีน B หนึ่งตัวจากพ่อและ B หรือ b จากแม่🐰 บางยีนเป็น "เด่น (Dominant)" และบางยีนเป็น "ด้อย (Recessive)"ถ้ามียีนเด่นอยู่ 1 ตัว มันจะครอบยีนด้อย เช่น B (ดำ) > b (น้ำตาล) ดังนั้น กระต่ายที่มี Bb ก็ยังคงเป็นสีดำกระต่ายจะแสดงลักษณะของยีนด้อยก็ต่อเมื่อได้รับยีนด้อยทั้งสองตัว เช่น bb = น้ำตาล🐰 ยีนหลายตำแหน่งทำงานร่วมกันเช่น ถ้ากระต่ายมี A_ B_ C_ D_ E_ (ตัวอักษรใหญ่แปลว่ายีนเด่น) มันจะเป็นกระต่ายสี Agouti ธรรมชาติ3. ระบบสีหลักของกระต่าย🐰 อธิบายรหัสพันธุกรรมกลุ่ม A, B, C, D, และ E ของกระต่าย (เข้าใจง่าย!)รหัสพันธุกรรมของสีกระต่ายถูกควบคุมโดย 5 ตำแหน่งหลัก (Loci, Locus) ได้แก่✅ A Locus → ควบคุมลายขน✅ B Locus → ควบคุมเฉดสีดำ/น้ำตาล✅ C Locus → ควบคุมความเข้มของสี✅ D Locus → ควบคุมความเข้ม/ซีดของสี✅ E Locus → ควบคุมการกระจายของเม็ดสีมาดูกันทีละตำแหน่งว่ามันทำงานยังไง!1. A Locus (ยีนควบคุมลายขน) → กำหนดว่ากระต่ายจะเป็นลาย Agouti หรือสีทึบA Locus ควบคุม การกระจายของเม็ดสีในเส้นขน ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่ากระต่ายจะมีลายหรือไม่ยีนลักษณะสีที่ได้A (Agouti)มีลาย เช่น Chestnut, Opalat (Tan Pattern)มีสีท้องอ่อน เช่น Otter, Martena (Self)สีเดียวทั้งตัว เช่น Black, Blue📌 กฎของ A Locus:A_ → มีลาย เช่น Agouti (Chestnut, Chinchilla)at at หรือ at a → มีสีท้องอ่อน เช่น Ottera a → สีพื้นเดียว เช่น Black, Chocolate🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:A_B_C_D_E_ → Chestnut Agoutiat_B_C_D_E_ → Black OtteraaB_C_D_E_ → Black🟤 2. B Locus (ยีนสีดำ-ช็อกโกแลต) → กำหนดเฉดสีหลักของขนB Locus ควบคุมว่าสีของขนจะเป็น สีดำ (Black-based) หรือสีน้ำตาล (Chocolate-based)ยีนลักษณะสีที่ได้B (Dominant - เด่น)ให้สีดำ (Black)b (Recessive - ด้อย)ให้สีน้ำตาล (Chocolate)📌 กฎของ B Locus:BB หรือ Bb → กระต่ายจะเป็น สีดำbb → กระต่ายจะเป็น สีน้ำตาล (Chocolate)🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:A_B_C_D_E_ → Chestnut AgoutiA_bbC_D_E_ → Chocolate AgoutiaaB_C_D_E_ → BlackaabbC_D_E_ → Chocolate⚪ 3. C Locus (ยีนควบคุมความเข้มของสี) → กำหนดว่าเม็ดสีจะแสดงออกมากแค่ไหนC Locus ควบคุมว่ากระต่ายจะมีสีขนเข้มหรือซีดจางลงยีนลักษณะสีที่ได้C (Dominant) เม็ดสีเต็ม ทำให้ได้สีขนปกติcchd (Chinchilla Dark) ทำให้สีขนซีดลง เช่น Chinchillacchl (Chinchilla Light) ทำให้เกิดสี Siamese หรือ Sablech (Himalayan) สีอ่อนมาก ยกเว้นที่หู จมูก หาง และเท้าc (Albino) ไม่มีเม็ดสีเลย กระต่ายจะเป็นสีขาวล้วนตาแดง📌 กฎของ C Locus:C_ → สีปกติcchd_ → Chinchillacchl_ → Siamesech_ → Himalayancc → Albino🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:A_B_C_D_E_ → Chestnut AgoutiA_B_cchd_D_E_ → ChinchillaaaB_ccD_E_ → Red Eyed White🔵 4. D Locus (ยีนควบคุมความเข้ม-จางของสี) → กำหนดว่าสีจะซีดลงหรือไม่D Locus ควบคุมว่าเม็ดสีจะมีความเข้มหรือซีดลงยีนลักษณะสีที่ได้D (Dominant) สีปกติ (Dense)d (Recessive) สีซีดลง (Dilute)📌 กฎของ D Locus:D_ → สีเข้มdd → สีซีด (Dilute)🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:aaB_C_D_E_ → BlackaaB_C_ddE_ → BlueaabbC_D_E_ → ChocolateaabbC_ddE_ → Lilac🟠 5. E Locus (ยีนควบคุมการกระจายของเม็ดสี) → กำหนดว่ากระต่ายจะเป็นสีทึบหรือมีลายE Locus ควบคุมว่ากระต่ายจะมีสีแบบ Solid (สีเดียวทั้งตัว) หรือมีลวดลาย เช่น Harlequin หรือ Tortoiseshellยีนลักษณะสีที่ได้Es ( Steel Dominant) สีปลายขนเป็นเขม่า (Steel Color)E (Dominant) สีทึบ (Solid Color)ej (Harlequin) ทำให้เกิดลายสองสี (เช่น Harlequin)e (Recessive) Non Extension gene กำหนดว่าจะมีเม็ดสีแดงหรือสีเหลืองในขน ทำให้ขนมีสีครีม/ส้ม เช่น สีส้ม📌 กฎของ E Locus:Es_ → สีสตีลE_ → สีปกติejej หรือ eje → ลาย Harlequinee → สีโทนส้มเหลือง 🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:aaB_C_D_E_ → BlackaaB_C_D_ejej → Black HarlequinaaB_C_D_ee → Black Tortoiseshell🌈 สรุปตารางรหัสพันธุกรรมแต่ละตำแหน่งตำแหน่งยีนเด่นยีนด้อยควบคุมอะไร?A (ลายขน) A = มีลาย a = สีพื้น / ลวดลายB (สีขนหลัก) B = ดำ b = น้ำตาล / เฉดสีหลักC (เข้ม-ซีด) C = ปกติ c = Albino / ระดับสีD (เข้ม-จาง) D = ปกติ d = สีจาง / ความเข้มของสีE (การกระจายสี) E = สีปกติ e = สีครีม / ลายขน4. ตัวอย่างการผสมพันธุ์กระต่ายเพื่อสร้างสีที่ต้องการ💡 ตัวอย่าง: ผสมกระต่ายสีดำกับสี Chocolateสีดำมีรหัส aaB_C_D_E_สี Chocolate มีรหัส aabbC_D_E_📌 ลูกที่ได้จะเป็นอะไร?ถ้าแม่เป็น BB และพ่อเป็น bb ลูกที่ได้จะเป็น Bb (ยังคงเป็นสีดำ เพราะ B เป็นยีนเด่น)ถ้าผสมกันต่อไป ลูกบางตัวอาจได้ bb และกลายเป็นสี Chocolate💡 ตัวอย่าง: ผสมกระต่ายสีเทากับสีน้ำตาลอ่อนสีน้ำตาลอ่อน (Lilac) มีรหัส aabbC_ddE_สีเทา (Blue) มีรหัส aaB_C_ddE_📌 ลูกที่ได้จะเป็นอะไร?ถ้าพ่อแม่มี bb และ Bb ลูกที่ได้อาจมีทั้ง Lilac และ Blue5. สรุปแบบเข้าใจง่าย✔️ A Locus → ควบคุมว่ากระต่ายจะมีลายไหม (Agouti, Otter, หรือสีเดียว)✔️ B Locus → ควบคุมว่าสีจะเป็นสีดำหรือช็อกโกแลต✔️ C Locus → ควบคุมความเข้มของสี เช่น Albino หรือ Himalayan✔️ D Locus → ควบคุมว่าสีจะเข้ม (Dense) หรืออ่อนลง (Dilute)✔️ E Locus → ควบคุมการกระจายของสี เช่น Harlequin หรือ Solid🐰 เคล็ดลับสำหรับการเลือกคู่ผสมพันธุ์ให้ได้สีที่ต้องการ✅ ใช้พ่อแม่ที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับสีที่ต้องการ✅ ศึกษาว่ายีนไหนเป็นเด่นหรือด้อย เพื่อคาดเดาสีของลูกกระต่าย✅ หลีกเลี่ยงการผสมพันธุ์ที่มียีนด้อยซ้ำกันมากเกินไป เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ🐰 ตารางแบบฉบับสำเร็จรูป รหัสสีกระต่าย*** Agouti = Chestnut ***_____________________________________เด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder RepttownCreditWildriver Rabbitry, Genetics 101The Nature Trail. Rabbit Color Genotypes ChartMink Hollow Farm. An Illustrated Guide to Rabbit Coat Colours*Dominik Czernia, PhD. (2023). Rabbit Color Calculatorhttps://wabbitwiki.com/wiki/Rabbit_colorsThe following are some miscellaneous breed-specific color guides from various rabbitries:LionheadRabbit.com. Varieties and Colors (Lionhead)Blossom Acres Rabbitry. Lionhead Color ID (Lionhead)Spring Creek Gems. Spring Creek Color Breeding Program (Netherland Dwarf)Cottonwood Farms and Kokopelli Acre. Color crossing rules for Mini Rex rabbits (Mini Rex)Wildriver RabbitryMini Rex Color GuideShaded Mini Rex Color Guide

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 25

อ่าน 182 ครั้ง


เพาะกระต่ายยังไงให้สวย? เคล็ดลับในการเพาะกระต่าย

เพาะกระต่ายยังไงให้สวย? เคล็ดลับในการเพาะกระต่าย

"กระต่ายสวยไม่ได้แปลว่าจะได้ลูกสวยเสมอไป" คำนี้บรีดเดอร์หลายๆท่านอาจจะได้ยินบ่อยๆจากปากของบรีดเดอร์ชั้นนำมากมายแล้วทำไมกระต่ายสวยถึงไม่ได้จ่ายลูกสวยล่ะ?ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ากระต่ายสายพันธุ์ที่เรานิยมเลี้ยงและนำมาประกวดเป็นกระต่ายที่ถูกพัฒนามาจากหลายๆสายพันธุ์ถ้าเราดูลักษณะยังไม่ชำนาญและประสบการณ์ยังน้อย การที่เราจะไปเลือกซื้อกระต่ายมาเพาะเอง ก็อาจจะทำให้เราได้ลูกไม่สวยตามที่หวังได้การเพาะพันธุ์กระต่ายมีหลายเทคนิคที่สามารถใช้ได้ตามเป้าหมายของผู้เพาะพันธุ์ ซึ่งแต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ Inbreeding, Line Breeding และ Crossbreeding1. Inbreeding (การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกัน)คือ การผสมพันธุ์ระหว่างกระต่ายที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิดกัน เช่นพ่อ-ลูกแม่-ลูกพี่-น้องจุดประสงค์คงลักษณะเด่นของสายพันธุ์ เช่น สี ขนาด รูปร่าง หรือพฤติกรรมใช้คัดเลือกกระต่ายที่มีคุณภาพดีในระยะยาวข้อดี✅ ช่วยรักษาลักษณะเด่นของสายพันธุ์แท้✅ ได้ลูกกระต่ายที่มีคุณสมบัติคล้ายพ่อแม่มาก✅ ใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความบริสุทธิ์ข้อเสีย❌ เพิ่มโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมและลักษณะด้อย❌ ลูกกระต่ายอาจอ่อนแอ อัตราการรอดต่ำ❌ อาจเกิดความผิดปกติทางกายภาพ เช่น ตัวเล็กผิดปกติ หรือมีโครงสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์วิธีลดความเสี่ยงจาก Inbreedingใช้ Inbreeding เฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่แข็งแรง ไม่มีประวัติโรคทางพันธุกรรมใช้เทคนิค Line Breeding เพื่อช่วยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม2. Line Breeding (การผสมพันธุ์แบบไลน์)คือ การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกันแต่มีความห่างกันระดับหนึ่ง เช่นปู่-หลานลุง-หลานลูกพี่ลูกน้องจุดประสงค์คงลักษณะเด่นของสายพันธุ์ แต่ลดความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมใช้คัดเลือกกระต่ายที่มีคุณภาพดีที่สุดจากครอบครัวเดียวกันข้อดี✅ ลดความเสี่ยงจากปัญหาทางพันธุกรรมเมื่อเทียบกับ Inbreeding✅ ช่วยรักษาลักษณะเด่นของสายพันธุ์ได้โดยไม่เสี่ยงต่อความผิดปกติ✅ มีความปลอดภัยมากกว่าการผสมพ่อ-ลูก หรือพี่-น้องข้อเสีย❌ หากทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเกิดปัญหาความแข็งแรงทางพันธุกรรมลดลง❌ ต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีมาก ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการสะสมลักษณะด้อยวิธีทำ Line Breeding อย่างมีประสิทธิภาพใช้กระต่ายตัวผู้หลัก (Stud) ที่มีคุณภาพดีและแข็งแรงเว้นระยะห่างของสายเลือดเพื่อป้องกันความเสี่ยงนำกระต่ายจากสายพันธุ์เดียวกันที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงมาเสริม3. Crossbreeding (การผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์)คือ การนำกระต่ายที่มาจากสายพันธุ์ต่างที่มาผสมกัน เช่นHolland Lop × Netherland DwarfNew Zealand White × Flemish Giantหรือ เป็นสายพันธุ์เดียวกันแต่มาจากคนละฟาร์มจุดประสงค์เพิ่มความแข็งแรงทางพันธุกรรม (Hybrid Vigor)สร้างกระต่ายที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิมลดโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมข้อดี✅ ลูกกระต่ายแข็งแรงขึ้น เนื่องจากได้ความหลากหลายทางพันธุกรรม✅ ลดความเสี่ยงของโรคพันธุกรรมที่พบในสายพันธุ์แท้✅ สามารถพัฒนาลักษณะเฉพาะที่ดีขึ้นจากทั้งสองสายพันธุ์ข้อเสีย❌ ผลลัพธ์คาดเดาได้ยาก เพราะลักษณะพันธุกรรมอาจผสมกันแบบไม่เป็นไปตามที่ต้องการ❌ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์แท้❌ หากเลือกพ่อแม่พันธุ์ไม่ดี อาจได้ลูกที่มีลักษณะด้อยวิธีเลือกพ่อแม่พันธุ์สำหรับ Crossbreedingควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดีและสุขภาพแข็งแรงศึกษาลักษณะของแต่ละสายพันธุ์ก่อนผสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผสมกระต่ายที่มีขนาดแตกต่างกันมาก เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพของลูกกระต่าย**** Cr.I'm So Fancy Rabbitry ตัวอย่างการ Cross breeding เพื่อเป้าหมายการทำ HL สี Lutino ****สรุปเทคนิคจุดเด่นความเสี่ยงเหมาะกับใคร?Inbreeding เพื่อรักษาสายพันธุ์แท้และลักษณะเฉพาะเพิ่มโรคทางพันธุกรรมผู้ที่ต้องการพัฒนาสายพันธุ์แท้Line Breeding รักษาลักษณะพันธุกรรมโดยลดความเสี่ยงหากทำต่อเนื่องอาจลดความแข็งแรงทางพันธุกรรมผู้ที่ต้องการควบคุมสายพันธุ์โดยมีความปลอดภัยมากขึ้นCrossbreedingเพิ่มความแข็งแรง ลดปัญหาทางพันธุกรรมผลลัพธ์คาดเดายากผู้ที่ต้องการสร้างสายพันธุ์ใหม่ หรือพัฒนากระต่ายให้แข็งแรงแนะนำเพิ่มเติมถ้าต้องการพัฒนาสายพันธุ์แท้ ควรใช้ Inbreeding + Line Breeding แต่ต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีถ้าต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกระต่าย ควรใช้ Crossbreedingหลีกเลี่ยงการทำ Inbreeding ติดต่อกันหลายชั่วอายุ เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระต่ายในระยะยาวคุณต้องการใช้วิธีไหนในการเพาะพันธุ์กระต่ายของคุณ? 😊_____________________________________เด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 25

อ่าน 40 ครั้ง


เกรดของกระต่าย??? ทำไมกระต่ายถึงมีหลายเกรด

เกรดของกระต่าย??? ทำไมกระต่ายถึงมีหลายเกรด

หลายๆท่านที่กำลังจะเลือกซื้อกระต่ายอาจจะงงเวลาคนขายหรือฟาร์มบอกว่า "ตัวนี้เกรดบรีดค่ะ 4,000บาท" แล้วเกรดคืออะไร ทำไมราคาแพงขึ้นตามเกรดก่อนอื่นเลยการคัดเกรดจะอิงมาตราฐานมาจากสมาคมที่จัดกิจกรรมประกวดโดยหลักๆจะมี 2 ที่คือ1.มาตราฐานอเมริกาของสมาคม ARBA ซึ่งนิยมในไทย2.มาตราฐานยุโรปซึ่งมาตราฐานในหลายๆสายพันธุ์ของทั้ง 2 สมาคมส่วนมากจะต่างกัน ฉะนั้นเมื่อเราต้องการพัฒนากระต่ายตามมาตราฐานไหนก็ควรรับจากฟาร์มที่พัฒนาในมาตราฐานนั้นเพื่อช่วยประหยัดเวลาในการพัฒนาได้มาก***รูปเทียบระหว่างกระต่ายพันธุ์ Netherland Dwarf ( ND ) ของมาตราฐานอเมริกาสมาคม ARBA เทียบกับมาตราฐานยุโรปของ European Dwarf Clubสมาคม ARBA (American Rabbit Breeders Association) มีมาตรฐานในการแบ่งเกรดของกระต่ายสำหรับการประกวดและการเพาะพันธุ์ โดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพ พันธุกรรม และสุขภาพโดยรวม เกรดของกระต่ายสามารถแบ่งออกเป็นหลัก ๆ ได้ดังนี้1. Show Quality (เกรดประกวด)กระต่ายที่อยู่ในเกรดนี้มีลักษณะที่สอดคล้องกับมาตรฐานสายพันธุ์ (Standard of Perfection - SOP) ที่ ARBA กำหนดอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งหมายถึงกระต่ายมีลักษณะทางกายภาพดี ไม่มีข้อบกพร่องร้ายแรงที่ขัดต่อมาตรฐาน และสามารถนำไปใช้ในการประกวดหรือพัฒนาสายพันธุ์ได้ราคาของเกรดประกวดจะสูงที่สุดเพราะกว่าจะเพาะได้แต่ละตัวต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในการเพาะพันธุ์ การที่นำพ่อแม่เกรดประกวดเข้ากันไม่ได้แปลว่าจะได้เกรดประกวดเสมอไป🔹 คุณสมบัติของ Show Qualityมีขนาดและรูปร่างตรงตามมาตรฐานของสายพันธุ์โครงสร้างร่างกายสมดุล หัว หู ขา และขนสมบูรณ์ไม่มีจุดบกพร่องร้ายแรง (DQ - Disqualifications) ตามที่ ARBA กำหนดเหมาะสำหรับการนำไปเพาะพันธุ์ต่อ*** รูปตัวอย่างกระต่ายเกรดประกวดของที่ฟาร์ม Anixotic เคยได้รางวัล Best in show 2 รอบ2. Brood Quality (เกรดพ่อแม่พันธุ์) *** ในไทยเรียกเกรดบรีด***กระต่ายในเกรดนี้อาจมีข้อบกพร่องเล็กน้อยที่ไม่สามารถเข้าประกวดได้ แต่ยังคงมีคุณลักษณะที่ดีพอสำหรับการนำไปใช้เป็นพ่อพันธุ์หรือแม่พันธุ์เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ให้ดีขึ้น🔹 คุณสมบัติของ Brood Qualityอาจมีข้อบกพร่องเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น รูปทรงศีรษะไม่สมบูรณ์ 100% หรือ ขนาดไหล่ ขนาดสะโพกไม่สมดุลกันไม่มีข้อบกพร่องทางพันธุกรรมที่ร้ายแรงสุขภาพแข็งแรง สามารถใช้ขยายพันธุ์ได้ดี*** รูปตัวอย่างกระต่ายเกรดบรีด หรือ Brood ของที่ฟาร์ม Anixotic3. Pet Quality (เกรดสัตว์เลี้ยง)กระต่ายที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนี้มักจะมีข้อบกพร่องที่ทำให้ไม่เหมาะสมสำหรับการประกวดหรือเพาะพันธุ์ แต่ยังสามารถเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักได้🔹 คุณสมบัติของ Pet Qualityอาจมีข้อบกพร่องที่ขัดต่อมาตรฐานสายพันธุ์ เช่น หูยาวเกินไป สีขนไม่ตรงกับที่กำหนด หรือขนาดไม่เหมาะสมสุขภาพแข็งแรง สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงได้ดีไม่เหมาะสำหรับการเพาะพันธุ์ เพราะอาจถ่ายทอดข้อบกพร่องต่อไป*** รูปตัวอย่างกระต่ายเกรดเลี้ยงเล่น ของที่ฟาร์ม Anixoticเกรดของกระต่ายไม่ได้บ่งบอกว่าเกรดไหนจะแข็งแรงหรือเลี้ยงง่ายกว่ากันจะต่างกันแค่ลักษณะภายนอก ดังนั้นถ้าเพื่อนๆต้องการจะเลี้ยงกระต่ายเป็นเพื่อนหรือเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเกรดประกวดหรือเกรดเลี้ยงเล่นเสมอไป เน้นเลือกตัวที่ถูกชะตาจะดีที่สุดครับเด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 25

อ่าน 127 ครั้ง

REPTALES v1.0.2 by ReptTown
All Right Reserved