เรื่องน่ารู้ของ "งูกะปะ"
บรรดางูพิษในประเทศไทยยอดฮิต หนึ่งในนั้นคือ "งูกะปะ" (Malayan pit viper - 𝘊𝘢𝘭𝘭𝘰𝘴𝘦𝘭𝘢𝘴𝘮𝘢 𝘳𝘩𝘰𝘥𝘰𝘴𝘵𝘰𝘮𝘢) งูพิษต่อระบบโลหิตชื่อดังที่คนในโซเชี่ยลยุคนี้ให้สมญานามว่า "กับระเบิดมีชีวิต" แต่งูตัวนี้มีเรื่องให้น่ารู้กว่าแค่ฉายาครับ และมันมีอะไรน่าสนใจอีกมากที่น้อยคนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับมันนัก
- ชื่อ งูกะปะ เป็นภาษาใต้ที่มีความหมายว่า "งูปากเน่าเหม็น" ซึ่งก็หมายถึงการถูกกัดแล้วเกิดแผลเน่า ส่วนชื่ออื่นๆที่ต่างชาติเรียกกันก็คือ Malayan moccasin และ Malayan ground snake ส่วนชื่อในภาษาอินโดนีเซียจะเรียกว่า "อูลนาร์ทานาห์" (Ulnar tanah) นั่นเอง ซึ่งคำว่าอูลนาร์แปลว่า "งู" ส่วนทานาห์แปลว่า "บก" แปลตรงตัวว่า "งูบก" แม้แต่ภาษาญี่ปุ่นก็เรียกว่า "เซกิชิน โดคุเฮบิ" แปลว่า "งูพิษปากแดง"
- ฉายา "กับระเบิดมีชีวิต" มาจากที่มาของชาวสวนยางพาราหรือนักเดินป่าที่เดินเข้าไปในพื้นที่รกที่เต็มไปด้วยกองใบไม้แห้ง แล้วเผลอเหยียบจนโดนกัดเมื่อเหยียบกับระเบิด นั่นคือฉายาที่คนไทยให้ ส่วนชาวต่างชาติให้ฉายามันว่า "Finger rotter" แปลว่า "ตัวทำนิ้วเน่า" ซึ่งในสถิติการโดนงูพิษกัดในไทยจะเป็นงูกะปะกับงูเขียวหางไหม้เสียส่วนมาก
- งูกะปะเป็นงูพิษที่มีเขี้ยวยาวที่สุดในประเทศไทยเมื่อเทียบขนาดลำตัว โดยมีเขี้ยวพิษยาวกว่า 10 มิลลิเมตร เป็นรองของงูกาบูนไวเปอร์ของแอฟริกาและงูหางกระดิ่งหลังเพชรตะวันออกจากอเมริกาเหนือ เป็นเขี้ยวลักษณะงอพับได้เฉกเช่นเดียวกับพวกตระกูลไวเปอร์ตัวอื่นๆ พัฒนาเพื่อการล็อคเหยื่อให้สามารถฉีดน้ำพิษเข้าเหยื่อได้
- งูกะปะไม่ได้พบแค่ที่ภาคใต้ เป็นงูที่พบได้เกือบทั่วทุกภูมิภาคของไทย จริงๆงูชนิดนี้ยังพบได้ทั้งเวียดนาม, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์, มาเลเซีย, บรูไน และเกาะสุมาตรา เกาะชวา กับเกาะบอร์เนียว ซึ่งรายงานคนโดนกัดในประเทศไทยบันทึกครั้งแรก พบที่เชียงใหม่นั่นเอง
- งูกะปะแม้มีพิษรุนแรง แต่มันก็เป็นหนึ่งในเหยื่อสำคัญของงูพิษขนาดใหญ่กว่าอย่างงูจงอาง, กลุ่มงูสามเหลี่ยม และกลุ่มงูพริกหรืองูปะการังเอเชีย และนักล่าจากบนท้องฟ้าอย่างนกแก๊กและเหยี่ยวรุ้ง ซึ่งถ้าพูดถึงพิษของงูกะปะแล้ว พิษของมันจริงๆเป็นพิษที่ไม่ได้มีผลต่อระบบโลหิต แต่มันมีพิษต่อระบบเนื้อเยื่อที่เรียกว่า "Necrotoxin" เป็นพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งนั้นก็เป็นสาเหตุของอาการแผลเน่าหลังโดนกัดนั่นเอง
- งูกะปะเป็นงูที่คนมักไม่ค่อยชอบนัก ไม่ว่าจะคนไทยหรือชาวต่างชาติก็ได้ยินชื่อเสียงมันมาไม่น้อย เลยทำให้มีคนไม่ค่อยชอบมันเสียเท่าไร แต่งูก็เป็นสัตว์จำพวกหนึ่งที่มีคุณค่าต่อระบบนิเวศ แม้มันถูกเรียกว่ากับระเบิดมีชีวิต แต่ถ้ารู้จักป้องกันตัวหรือรู้ว่าไปที่ๆที่มีงูพิษแน่ก็ต้องระมัดระวังและเรียนรู้จะปฏิบัติตัวถูกเมื่อเจองู
- รองเท้าบู๊ทกัดเข้าหรือไม่ ? เขี้ยวงูกะปะกัดเข้าครับ แต่โอกาสที่จะเกิดการติดพิษน้อยกว่าการใส่รองเท้าแตะและรองเท้าผ้าใบ ซึ่งโอกาสที่กัดรองเท้าบู๊ทเข้ามักเป็นการกัดแห้งและปล่อยน้ำพิษปริมาณน้อยกว่าโดนกัดเต็มๆบนเท้าเปล่าหรือรองเท้าอื่น เมื่อถูกงูกะปะกัดควรล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า ห้ามล้างแอลกอฮอลล์ เนื่องด้วยแอลกอฮอลล์จะทำให้หลอดเลือดขยายตัวจนพิษซึมได้ดี ใช้วิธีรัดและดามด้วยผ้ากับไม้หรือวัสดุแข็งเพื่อลดการเคลื่อนไหวของส่วนที่โดนกัดแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล
- ในทางการแพทย์ งูกะปะเป็นหนึ่งในงูพิษที่มีเซรุ่มต้านพิษโดยเฉพาะ ซึ่งการที่มีเซรุ่มแก้พิษงูกะปะ บ่งบอกถึงสาธารณสุขทางการแพทย์ที่กระจายครอบคลุมช่วยเหลือผู้ถูกงูพิษกัด ที่น่าสนใจก็คือ สถิติการตายจากการถูกงูกะปะกัดในประเทศไทยนั้น มีผู้ถูกงูกัดคิดอัตราส่วนร้อยเป็น 13.06% ต่อประชากรหนึ่งแสนคน ขณะที่ผู้เสียชีวิตคิดเป็น 0.02% เท่านั้น !
- การที่รู้จักงูชนิดนึง อาจส่งต่อความสำคัญและการระมัดระวังตัวให้มากขึ้น เด็กและผู้สนใจได้ความรู้เรื่องงูอย่างครบถ้วนและดีเยี่ยม ไม่ใช่ว่าเจองูกะปะแล้วต้องเอะอะส่งกลับดาวหรือแบ่งสองมาตรฐานว่างูนี้เป็นมีมดังควรอนุรักษ์ อีกตัวเป็นงูปีศาจควรกำจัดให้พ้นโลกนี้ แค่รู้จักนิสัยและการดำรงชีวิตก่อน นำมาประยุกต์ป้องกันตัวหากต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีโอกาสเจองูกะปะ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
เอกสาร "การดูแลผู้ป่วยถูกงูกะปะกัด" โดย อานุภาพ เลขะกุล
https://thailandsnakes.com/.../malayan-pit-viper.../
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Calloselasma
https://www.rama.mahidol.ac.th/poisonce.../th/pois-cov/snake
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8643212/