REPTALES
เรื่องราวสัตว์จาก ReptTown
เพาะกระต่ายยังไงให้สวย? เคล็ดลับในการเพาะกระต่าย

เพาะกระต่ายยังไงให้สวย? เคล็ดลับในการเพาะกระต่าย

"กระต่ายสวยไม่ได้แปลว่าจะได้ลูกสวยเสมอไป" คำนี้บรีดเดอร์หลายๆท่านอาจจะได้ยินบ่อยๆจากปากของบรีดเดอร์ชั้นนำมากมายแล้วทำไมกระต่ายสวยถึงไม่ได้จ่ายลูกสวยล่ะ?ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ากระต่ายสายพันธุ์ที่เรานิยมเลี้ยงและนำมาประกวดเป็นกระต่ายที่ถูกพัฒนามาจากหลายๆสายพันธุ์ถ้าเราดูลักษณะยังไม่ชำนาญและประสบการณ์ยังน้อย การที่เราจะไปเลือกซื้อกระต่ายมาเพาะเอง ก็อาจจะทำให้เราได้ลูกไม่สวยตามที่หวังได้การเพาะพันธุ์กระต่ายมีหลายเทคนิคที่สามารถใช้ได้ตามเป้าหมายของผู้เพาะพันธุ์ ซึ่งแต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ Inbreeding, Line Breeding และ Crossbreeding1. Inbreeding (การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกัน)คือ การผสมพันธุ์ระหว่างกระต่ายที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิดกัน เช่นพ่อ-ลูกแม่-ลูกพี่-น้องจุดประสงค์คงลักษณะเด่นของสายพันธุ์ เช่น สี ขนาด รูปร่าง หรือพฤติกรรมใช้คัดเลือกกระต่ายที่มีคุณภาพดีในระยะยาวข้อดี✅ ช่วยรักษาลักษณะเด่นของสายพันธุ์แท้✅ ได้ลูกกระต่ายที่มีคุณสมบัติคล้ายพ่อแม่มาก✅ ใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความบริสุทธิ์ข้อเสีย❌ เพิ่มโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมและลักษณะด้อย❌ ลูกกระต่ายอาจอ่อนแอ อัตราการรอดต่ำ❌ อาจเกิดความผิดปกติทางกายภาพ เช่น ตัวเล็กผิดปกติ หรือมีโครงสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์วิธีลดความเสี่ยงจาก Inbreedingใช้ Inbreeding เฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่แข็งแรง ไม่มีประวัติโรคทางพันธุกรรมใช้เทคนิค Line Breeding เพื่อช่วยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม2. Line Breeding (การผสมพันธุ์แบบไลน์)คือ การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกันแต่มีความห่างกันระดับหนึ่ง เช่นปู่-หลานลุง-หลานลูกพี่ลูกน้องจุดประสงค์คงลักษณะเด่นของสายพันธุ์ แต่ลดความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมใช้คัดเลือกกระต่ายที่มีคุณภาพดีที่สุดจากครอบครัวเดียวกันข้อดี✅ ลดความเสี่ยงจากปัญหาทางพันธุกรรมเมื่อเทียบกับ Inbreeding✅ ช่วยรักษาลักษณะเด่นของสายพันธุ์ได้โดยไม่เสี่ยงต่อความผิดปกติ✅ มีความปลอดภัยมากกว่าการผสมพ่อ-ลูก หรือพี่-น้องข้อเสีย❌ หากทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเกิดปัญหาความแข็งแรงทางพันธุกรรมลดลง❌ ต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีมาก ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการสะสมลักษณะด้อยวิธีทำ Line Breeding อย่างมีประสิทธิภาพใช้กระต่ายตัวผู้หลัก (Stud) ที่มีคุณภาพดีและแข็งแรงเว้นระยะห่างของสายเลือดเพื่อป้องกันความเสี่ยงนำกระต่ายจากสายพันธุ์เดียวกันที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงมาเสริม3. Crossbreeding (การผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์)คือ การนำกระต่ายที่มาจากสายพันธุ์ต่างที่มาผสมกัน เช่นHolland Lop × Netherland DwarfNew Zealand White × Flemish Giantหรือ เป็นสายพันธุ์เดียวกันแต่มาจากคนละฟาร์มจุดประสงค์เพิ่มความแข็งแรงทางพันธุกรรม (Hybrid Vigor)สร้างกระต่ายที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิมลดโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมข้อดี✅ ลูกกระต่ายแข็งแรงขึ้น เนื่องจากได้ความหลากหลายทางพันธุกรรม✅ ลดความเสี่ยงของโรคพันธุกรรมที่พบในสายพันธุ์แท้✅ สามารถพัฒนาลักษณะเฉพาะที่ดีขึ้นจากทั้งสองสายพันธุ์ข้อเสีย❌ ผลลัพธ์คาดเดาได้ยาก เพราะลักษณะพันธุกรรมอาจผสมกันแบบไม่เป็นไปตามที่ต้องการ❌ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์แท้❌ หากเลือกพ่อแม่พันธุ์ไม่ดี อาจได้ลูกที่มีลักษณะด้อยวิธีเลือกพ่อแม่พันธุ์สำหรับ Crossbreedingควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดีและสุขภาพแข็งแรงศึกษาลักษณะของแต่ละสายพันธุ์ก่อนผสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผสมกระต่ายที่มีขนาดแตกต่างกันมาก เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพของลูกกระต่าย**** Cr.I'm So Fancy Rabbitry ตัวอย่างการ Cross breeding เพื่อเป้าหมายการทำ HL สี Lutino ****สรุปเทคนิคจุดเด่นความเสี่ยงเหมาะกับใคร?Inbreeding เพื่อรักษาสายพันธุ์แท้และลักษณะเฉพาะเพิ่มโรคทางพันธุกรรมผู้ที่ต้องการพัฒนาสายพันธุ์แท้Line Breeding รักษาลักษณะพันธุกรรมโดยลดความเสี่ยงหากทำต่อเนื่องอาจลดความแข็งแรงทางพันธุกรรมผู้ที่ต้องการควบคุมสายพันธุ์โดยมีความปลอดภัยมากขึ้นCrossbreedingเพิ่มความแข็งแรง ลดปัญหาทางพันธุกรรมผลลัพธ์คาดเดายากผู้ที่ต้องการสร้างสายพันธุ์ใหม่ หรือพัฒนากระต่ายให้แข็งแรงแนะนำเพิ่มเติมถ้าต้องการพัฒนาสายพันธุ์แท้ ควรใช้ Inbreeding + Line Breeding แต่ต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีถ้าต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกระต่าย ควรใช้ Crossbreedingหลีกเลี่ยงการทำ Inbreeding ติดต่อกันหลายชั่วอายุ เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระต่ายในระยะยาวคุณต้องการใช้วิธีไหนในการเพาะพันธุ์กระต่ายของคุณ? 😊_____________________________________เด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder Repttown
กระต่าย
วิธีการเพาะพันธุ์

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 25

อ่าน 31 ครั้ง


เทคนิคและวิธีการเพาะพันธุ์งูบอลไพธอน / การฟักไข่

เทคนิคและวิธีการเพาะพันธุ์งูบอลไพธอน / การฟักไข่

วิธีการเพาะพันธุ์งูบอลไพธอน***หมายเหตุ***บทความนี้เขียนขึ้นเพื่ออธิบายวิธีการเพาะพันธุ์งูบอลไพธอนที่เราใช้ แต่ควรทราบว่ามีหลายวิธีที่ถูกต้องสำหรับการเพาะพันธุ์งูชนิดนี้ หากคุณถามผู้เพาะพันธุ์งูที่ประสบความสำเร็จ 20 คน คุณอาจได้คำตอบที่แตกต่างกันไปเล็กน้อย 20 แบบ สิ่งที่เราแนะนำคือให้คุณศึกษาหาข้อมูลจากหลากหลายแหล่งและค้นหาวิธีที่เหมาะสมกับคุณที่สุด บทความนี้จะแบ่งปันวิธีที่ได้ผลสำหรับเรา และหากคุณทำสิ่งที่แตกต่างไปบ้างก็ไม่ได้หมายความว่าคุณทำผิดการเตรียมความพร้อมของงูสำหรับการผสมพันธุ์ไม่มีเกณฑ์ตายตัวสำหรับขนาดหรืออายุของงูที่เหมาะสมสำหรับการผสมพันธุ์ โดยทั่วไป เราใช้การประเมินร่วมกันทั้งอายุและน้ำหนักเป็นเกณฑ์ สำหรับตัวเมีย ส่วนใหญ่จะพร้อมผสมพันธุ์ในช่วงฤดูหนาวที่3ของชีวิต หากน้ำหนักตัวมากกว่า 1,500 กรัม งูบางตัวอาจมีน้ำหนักถึง 1,500 กรัมในฤดูหนาวที่2 แต่ในกรณีนี้ เราให้ความสำคัญกับเรื่องอายุมากกว่า หากงูตัวเมียอายุเพียง 2 ปี เราต้องการให้น้ำหนักเกิน 1,800 กรัมก่อนเริ่มการจับคู่อย่างไรก็ตาม งูตัวเมียอายุ 4 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนัก 1,500 กรัมหลังการวางไข่ก็ยังอาจถือว่าเล็กเกินไปสำหรับการผสมพันธุ์ เพราะอาจต้องการน้ำหนักเกิน 2,000 กรัมเพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรงพอสำหรับการวางไข่ในครอกที่สมบูรณ์ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการพิจารณาแค่น้ำหนักอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอทั้งตัวผู้และตัวเมียควรมีโครงสร้างร่างกายที่สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่อ้วนจากการให้อาหารมากเกินไป งูที่สมบูรณ์ควรดูหนาแน่นและมีความแข็งแรงเมื่อสัมผัส ไม่ใช่อ้วนท้วมจากการเลี้ยงแบบเร่งการเจริญเติบโตการพิจารณาสำหรับตัวผู้ตัวผู้สามารถพร้อมผสมพันธุ์ได้ในฤดูกาลแรก แต่เราต้องการให้ตัวผู้มีน้ำหนักอย่างน้อย 600 กรัมและยังคงกินอาหารก่อนเริ่มผสมพันธุ์ในฤดูหนาวแรก ตัวผู้บางตัวอาจหยุดกินอาหารหรือกินน้อยลงในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงควรให้มีน้ำหนักที่เพียงพอก่อนเริ่มการจับคู่ตัวผู้ที่เล็กเกินไปอาจไม่มีน้ำหนักพอสำหรับการหยุดกินอาหารในฤดูผสมพันธุ์ และตัวผู้ที่อ้วนเกินไปจากการให้อาหารมากเกินไปก็อาจขี้เกียจและไม่สนใจการผสมพันธุ์การเริ่มต้นจับคู่เมื่อคุณมีตัวผู้และตัวเมียที่มีน้ำหนักและอายุเหมาะสมสำหรับการผสมพันธุ์แล้ว คุณสามารถเริ่มจับคู่ได้ฤดูผสมพันธุ์ของงูบอลไพธอนสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี แต่ส่วนใหญ่ตัวเมียจะวางไข่ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนเราเริ่มจับคู่ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน และพยายามให้ตัวเมียทุกตัวได้จับคู่ครั้งแรกภายในเดือนมกราคม โดยปกติ ตัวผู้จะถูกจับคู่กับตัวเมีย 4-6 ตัวต่อฤดูสัญญาณของการตั้งท้องและการวางไข่หลังจากได้รับการจับคู่ ตัวเมียอาจแสดงพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น หลีกเลี่ยงจุดความร้อนหรือขดตัวใกล้ถ้วยน้ำ คุณอาจสังเกตเห็นร่างกายของตัวเมียมีลักษณะเป็นก้อน หรือ สีสว่างขึ้นเมื่อเข้าใกล้ช่วงวางไข่การตกไข่ (ovulation) คือช่วงที่ไข่ได้รับการผสมกับสเปิร์ม โดยปกติจะเกิดขึ้นเมื่อไข่มีขนาดประมาณ 40 มม. หลังการตกไข่ ตัวเมียจะลอกคราบครั้งสุดท้าย (pre-lay shed) ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังตกไข่ และวางไข่ประมาณ 30 วันหลังจากการลอกคราบการฟักไข่เมื่อถึงเวลาวางไข่ ตัวเมียจะขดตัวรอบไข่เพื่อปกป้อง เราค่อยๆ แยกตัวเมียออกจากไข่อย่างระมัดระวังและจัดไข่ลงในกล่องฟักไข่เราใช้กล่องขนาด 12 ควอร์ตส์ โดยจะใช้เวอร์มิคูไลท์ เพอร์ไลต์ หรือ แฮชไรท์ก็ได้ปริมาณ 300 กรัมกับน้ำ 150 กรัม ผสมให้ทั่วแล้วจัดเรียงไข่โดยทำเครื่องหมายจุดด้านบนของไข่แต่ละฟองเพื่อรักษาตำแหน่งเดิมสรุปการเพาะพันธุ์งูบอลไพธอนเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความระมัดระวังและการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด การคำนึงถึงสุขภาพและความพร้อมของงูเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเพาะพันธุ์อย่างยั่งยืนและปลอดภัยสำหรับการระบุหรือตีมอร์ฟลูกงูในช่วงเริ่มต้น อาจจะต้องใช้ประสบการณ์ของบรีดเดอร์ที่ชำนาญ หรือใช้ บริการตรวจมอร์ฟโดยใช้คราบงู กับ แลป ProHerper Thailand ติดต่อได้ที่ https://www.facebook.com/repttownหากต้องการขายลูกงูสามารถลงขายได้ที่ Repttown.com ใช้งานง่าย ลงขายฟรี มีผู้ใช้งานไม่ต่ำกว่า 35,000 Users/เดือน มีฟาร์มชั้นนำไม่ต่ำกว่า 1,000 ฟาร์มทั่วไทย

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 14 ม.ค. 25

อ่าน 13 ครั้ง


วิธีแก้ไขเมื่องู Ball Python ไม่ยอมกินอาหาร /คู่มือฉบับสมบูรณ์  By LRP Ballpythons

วิธีแก้ไขเมื่องู Ball Python ไม่ยอมกินอาหาร /คู่มือฉบับสมบูรณ์ By LRP Ballpythons

การที่งู Ball Python ไม่ยอมกินอาหารเป็นปัญหาที่ผู้เลี้ยงหลายคนต้องเผชิญ แม้ว่างูชนิดนี้จะมีชื่อเสียงในเรื่องการกินง่าย แต่ก็มีหลายสาเหตุที่อาจทำให้พวกมันปฏิเสธอาหาร บทความนี้จะแนะนำวิธีวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางแก้ไขอย่างละเอียดแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมหรือซื้องูที่น่าไว้วางใจได้ที่ https://www.repttown.com/stores/s/631c5cf562e4de9e2ebdca23 หรือ https://soulbkkreptiles.com/ หรือเข้าเยี่ยมชมฟาร์มงูบอลไพธอน LRP Ball Pythons ได้ที่ https://www.facebook.com/lrpballpythonsสาเหตุที่ Ball Python ไม่ยอมกินอาหาร1. การเปลี่ยนแปลงฤดูกาลและช่วงผสมพันธุ์Ball Python มักลดการกินอาหารในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงผสมพันธุ์ โดยเฉพาะตัวผู้อาจอดอาหารได้นานถึง 4–6 เดือน ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมปกติตามธรรมชาติ2. ความเครียดจากสภาพแวดล้อมปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดมีหลายอย่าง เช่น:- อุณหภูมิหรือความชื้นไม่เหมาะสม- ที่อยู่อาศัยมีขนาดเล็กหรือใหญ่เกินไป- ขาดที่หลบซ่อนหรือพื้นที่ปกปิด- การรบกวนบ่อยเกินไป- การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมกะทันหัน3. ปัญหาสุขภาพอาการไม่กินอาหารอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ เช่น:- การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ- ปรสิตภายใน- การติดเชื้อปากและเหงือก- ความเจ็บป่วยอื่นๆ4. ปัญหาเกี่ยวกับอาหาร- เหยื่อมีขนาดไม่เหมาะสม- อุณหภูมิของเหยื่อไม่พอดี- คุณภาพของเหยื่อไม่ดี- การเปลี่ยนชนิดของเหยื่อกะทันหันวิธีแก้ไขเมื่อ Ball Python ไม่ยอมกินอาหาร1. ตรวจสอบสภาพแวดล้อมตรวจสอบและปรับแต่งปัจจัยต่างๆ ให้เหมาะสม:- อุณหภูมิด้านอุ่น: 88–92°F (31–33°C)- อุณหภูมิด้านเย็น: 78–80°F (25–27°C)- ความชื้น: 50–60%- มีที่หลบซ่อนอย่างน้อย 2 จุด- พื้นที่อยู่อาศัยสะอาด ไม่แออัด2. ปรับเทคนิคการให้อาหาร-ให้อาหารในช่วงกลางคืนเมื่องูมีความกระตือรือร้น- อุ่นเหยื่อให้ได้อุณหภูมิ 98–100°F (37–38°C)- ลองเปลี่ยนสถานที่หรือกล่องที่อยู่ใหม่- เคลื่อนไหวเหยื่อเพื่อกระตุ้นสัญชาตญาณการล่า- ลองเปลี่ยนขนาดของเหยื่อให้เล็กลง3. เทคนิคพิเศษในการกระตุ้นการกิน- Brain Scenting: ทำให้หัวของเหยื่อมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย- ทำให้เหยื่อเปียกน้ำเล็กน้อย จะช่วยกระตุ้นการรับรู้ความร้อน- ย้ายงูไปที่กล่องให้อาหารแยกต่างหาก- ให้อาหารในที่มืดสมบูรณ์4. เมื่อไรควรพบสัตวแพทย์ควรพาไปพบสัตวแพทย์เมื่อ:- อดอาหารนานเกิน 3 เดือนในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์- มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลด หายใจลำบาก- ไม่มีพลังงาน ซึม หรือพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนการป้องกันปัญหาการไม่กินอาหาร1. จดบันทึกการให้อาหารอย่างสม่ำเสมอ2. ชั่งน้ำหนักงูทุกเดือนเพื่อติดตามการเจริญเติบโต3. รักษาสภาพแวดล้อมให้คงที่และเหมาะสม4. หลีกเลี่ยงการรบกวนโดยไม่จำเป็น5. สังเกตพฤติกรรมผิดปกติตั้งแต่เริ่มแรกสรุปการที่ Ball Python ไม่ยอมกินอาหารอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ สิ่งสำคัญคือต้องวิเคราะห์สาเหตุอย่างรอบคอบและแก้ไขอย่างเป็นระบบ หากทำตามขั้นตอนที่แนะนำแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลานโดยเร็ว เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจรุนแรงขึ้น—แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม https://soulbkkreptiles.com/ติดตามข่าวสาร LRP Ball Pythons ได้ที่ https://www.facebook.com/lrpballpythons

เขียนโดย LRP Ballpythons

โพสต์เมื่อ 14 ม.ค. 25

อ่าน 49 ครั้ง


วิธีการเพาะปลากัด เคล็ดลับการเพาะพันธุ์ปลากัด: การเลือกพ่อแม่พันธุ์ การดูแลลูกปลา และวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง

วิธีการเพาะปลากัด เคล็ดลับการเพาะพันธุ์ปลากัด: การเลือกพ่อแม่พันธุ์ การดูแลลูกปลา และวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง

ปลากัดถือเป็นปลาสวยงามที่มีความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ การเพาะพันธุ์ปลากัดให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้น ต้องเริ่มจากการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่เหมาะสม การเตรียมสภาพแวดล้อม และการดูแลลูกปลาในระยะเริ่มต้นอย่างถูกวิธี บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเคล็ดลับเหล่านี้อย่างละเอียด1. การคัดเลือกพ่อ-แม่พันธุ์การเลือกพ่อแม่พันธุ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพของลูกปลา ปลากัดควรมีอายุ 4-6 เดือนขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจว่าปลามีความสมบูรณ์ทางกายภาพและพร้อมต่อการเพาะพันธุ์ลักษณะพ่อพันธุ์: เลือกปลาที่แข็งแรง มีความคล่องตัวสูง และไม่มีร่องรอยของโรค มีการสร้างหวอดบนผิวน้ำลักษณะแม่พันธุ์: เลือกปลาที่มีลำตัวอวบสมบูรณ์ ท้องมีไข่ชัดเจน และตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น เช่น การไล่ปลา2. การเพาะพันธุ์ปลากัดการเพาะพันธุ์ปลากัดต้องแยกพ่อแม่พันธุ์ออกจากกันก่อนนำมาเข้าคู่ เพื่อกระตุ้นให้ปลามีความพร้อมในการผสมพันธุ์เตรียมบ่อหรือภาชนะใส่น้ำสะอาดใส่ใบตองหรือใบไม้น้ำเพื่อสร้างความเป็นธรรมชาติแนะนำให้นำพ่อพันธุ์ลงก่อน 1-2 วันเพื่อปรับตัว3. การอนุบาลลูกปลากัดหลังจากปล่อยให้พ่อพันธุ์ดูแลไข่จนฟักเป็นตัว ลูกปลาควรได้รับการอนุบาลในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้อาหารที่ย่อยง่าย เช่น ไรแดงหมั่นเปลี่ยนน้ำสะอาดเพื่อลดความเสี่ยงของโรค4. วิธีการเลี้ยงปลากัดใช้ภาชนะที่เหมาะสม เช่น โหลแก้ว หรือบ่อขนาดเล็กเปลี่ยนน้ำอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 1 ครั้งให้อาหารวันละ 1-2 ครั้ง และไม่ควรให้เกินความจำเป็นสรุปการเพาะพันธุ์และเลี้ยงปลากัดให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก หากมีการวางแผนและดูแลอย่างถูกต้อง นอกจากจะได้ลูกปลาที่แข็งแรงและสวยงามแล้ว ยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการเลี้ยงปลากัดในเชิงพาณิชย์อีกด้วยหากต้องการขายสัตว์เลี้ยงสามารถลงขายได้ที่ Repttown.com ใช้งานง่าย ลงขายฟรี มีผู้ใช้งานไม่ต่ำกว่า 35,000 Users/เดือน มีฟาร์มชั้นนำไม่ต่ำกว่า 1,000 ฟาร์มทั่วไทย

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 14 ม.ค. 25

อ่าน 1 ครั้ง


คาปิบารา สัตว์เลี้ยง "Exotic" ยอดฮิตของคนรุ่นใหม่

คาปิบารา สัตว์เลี้ยง "Exotic" ยอดฮิตของคนรุ่นใหม่

เคยไหม? อยากเลี้ยงสัตว์ Exotic pets แต่กลัวว่าจะคาดเดาพฤติกรรมไม่ได้จนได้ถูกกัด ข่วน หรือได้รับบาดเจ็บพบกับสัตว์เลี้ยงสุดเชื่องที่ไม่ว่าจะกลัวสัตว์อะไรจะต้องหลงไหลกับความนิ่งสุขุมที่ไม่มีแววก้าวร้าวหรือแสดงความน่ากลัวของเขา"คาปิบารา" หรือที่คนไทยเรียกว่า หมามะพร้าว หนูขนาดยักษ์สุดเชื่อง เป็นสัตว์ฟันแทะที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยทั่วไปมักอาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือและตอนกลางของอเมริกาใต้ที่มีอุปนิสัยนิ่ง ไม่ดุร้าย ทำให้เลี้ยงรวมกับสัตว์อะไรก็ได้ เราจึงมักพบน้องเป็นพนักงานต้อนรับตามสวนสัตว์หรือคาเฟ่เป็นประจำถ้าหากต้องการมีน้องคาปิบาราเป็นของตัวเองละก็ต้องทำยังไงบ้าง นี่เลยคาปิบาราเป็นสัตว์สังคม ดังนั้นถ้าให้ดีควรเลี้ยงเป็นคู่หรือมากกว่า ไม่อยากให้ลูกเหงาก็ตังเอาตังไปเปย์มาเพิ่มพื้นที่ขนาด 12*20 ฟุต ขึ้นไปสำหรับ 1 คู่บ่อน้ำ คาปิบาร่าเป็นสัตว์ที่ชอบแช่น้ำมาก รวมถึงการขับถ่ายและผสมพันธุ์ส่วนมากจะเกิดขึ้นในน้ำอาหารจำพวกหญ้าไม่ว่าจะเป็นทิมโมธีหรือออชาร์ดที่หาได้ง่ายตามร้านขายอาหารสัตว์ และ ให้ผักสดสะอาดเพื่อเพิ่มวิตามิน C ( สามารถใช้อาหารเควี่บางยี่ห้อทดแทนได้ )รั้วที่สูงมากพอ เพราะเขากระโดดได้สูงพอตัวเลย ขึ้นอยู่กับนิสัยเขาด้วยเลือกซื้อคาปิบาราจากร้านที่ดูแลดี มีการรับประกัน เช่นร้านใน Repttown.comเว็บไซต์ดี แอดมินสวย มีการยืนยันตัวตนผู้ขาย ใช้งานฟรีไม่มีค่าบริการเทียบกับสัตว์อื่นๆที่แอดมินเคยแนะนำบอกเลยว่ามีข้อจำกัดน้อยมาก ( แต่ละข้อใช้เงินเยอะมาก 555 )แต่ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยเลย มีหมามะพร้าวเป็นของตัวเอง เท่ไม่ซ้ำใครแน่นอนRepttown.comเว็บไซต์สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงที่ครบจบตั้งแต่ซื้อขายไปจนถึงบริการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคนรักสัตว์เลี้ยงมีผู้ใช้งานไม่ต่ำกว่า 35,000 user/เดือน และ มีฟาร์มที่ผ่านการยืนยันตัวตนไม่ต่ำกว่า 950+ ฟาร์ม

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 14 ม.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง

REPTALES v1.0.2 by ReptTown
All Right Reserved