REPTALES
เรื่องราวสัตว์จาก ReptTown
กระต่ายสีส้มขนมีเขม่าเยอะมากไม่เหมือนส้มตัวอื่นเลย เกิดจากอะไร??? ทำความรู้จักกับ Rufus Modifiers และ Wideband Gene: ปัจจัยสำคัญของสีขนในกระต่าย

กระต่ายสีส้มขนมีเขม่าเยอะมากไม่เหมือนส้มตัวอื่นเลย เกิดจากอะไร??? ทำความรู้จักกับ Rufus Modifiers และ Wideband Gene: ปัจจัยสำคัญของสีขนในกระต่าย

Rufus Modifiers และ Wideband Gene คืออะไร?Rufus Modifiers และ Wideband Gene เป็นปัจจัยทางพันธุกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสีขนของกระต่าย โดยเฉพาะในสายพันธุ์ที่มีสีแดง (Red) ส้ม (Orange) หรือฟอว์น (Fawn) ทั้งสองยีนนี้ทำงานร่วมกันเพื่อปรับเฉดสีและการกระจายตัวของเม็ดสีในขนของกระต่ายRufus Modifiers คืออะไร?Rufus Modifiers เป็นชุดของยีนที่ส่งผลต่อระดับของเม็ดสี phaeomelanin (เม็ดสีเหลือง-แดง) ในขนของกระต่าย ยีนเหล่านี้ไม่ได้เป็นยีนเดี่ยว แต่เป็นกลุ่มของยีนหลายตัวที่ควบคุมความเข้มหรืออ่อนของสีแดงลักษณะทางพันธุกรรมของ Rufus Modifiers:ลักษณะทางพันธุกรรม: Rufus Modifiers ไม่ใช่ยีนเดี่ยวที่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่เป็นกลุ่มของ polygenes หรือ modifier genes ที่ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มความเข้มของเม็ดสีเหลือง-แดง (phaeomelanin) ในขนของกระต่าย ​การแสดงออก: เนื่องจากเป็น polygenic การแสดงออกของ Rufus Modifiers จึงไม่เป็นแบบเด่นหรือด้อยตามกฎของ Mendel แต่เป็นการเพิ่มหรือลดระดับของสีแดงในขน ขึ้นอยู่กับจำนวนและความเข้มข้นของ modifiers ที่มีอยู่หน้าที่ของ Rufus Modifiers:เพิ่มความเข้มของสีแดงในขนทำให้สีของกระต่ายดูสดใสขึ้น เช่น จากสีส้มอ่อนเป็นสีแดงเข้มพบได้ในกระต่ายที่มีสี Orange, Red และ Fawnระดับของ Rufus Modifiers:ระดับต่ำ: สีขนออกไปทางเหลืองหรือส้มอ่อนระดับสูง: สีขนออกไปทางแดงเข้ม (พบในกระต่าย Red เช่น Thrianta หรือ Red New Zealand)Wideband Gene คืออะไร?Wideband Gene (W/w) เป็นยีนที่มีอิทธิพลต่อการกระจายของเม็ดสีในขน โดยเฉพาะในกระต่ายที่มีลวดลายแบบ Agouti (A_) และสีแดง-ส้ม ช่วยให้สีขนดูเรียบเนียน ไม่มีการแซมของสีดำหรือสีเข้มลักษณะทางพันธุกรรมของ Wideband Gene:ลักษณะทางพันธุกรรม: Wideband Gene ถูกระบุด้วยสัญลักษณ์ W และ w โดยที่ w เป็นยีนด้อย ซึ่งหมายความว่ากระต่ายต้องได้รับยีน w จากทั้งพ่อและแม่ (genotype: ww) เพื่อให้แสดงลักษณะ wideband อย่างเต็มที่ ​การแสดงออก: ยีน Wideband มีผลต่อการขยายความกว้างของแถบสีในขนของกระต่ายที่มีลวดลายแบบ Agouti ทำให้สีขนดูสว่างขึ้นและลดการแซมของสีดำ (ticking) อย่างไรก็ตาม ผลของยีนนี้จะเห็นได้ชัดเจนในกระต่ายที่มีลวดลาย Agouti และอาจไม่แสดงผลในกระต่ายที่มีลวดลายอื่นหน้าที่ของ Wideband Gene:ลดการเกิดสีแซมดำ (ticking) ในขนของกระต่ายขยายพื้นที่ของเม็ดสีเหลือง-แดง ทำให้สีขนดูสดขึ้นพบมากในกระต่ายที่มีสี Red, Orange และ Harlequinยีน Wideband (W/w) ทำงานอย่างไร?WW หรือ Ww: กระต่ายอาจมีสีขนแซมหรือมีลวดลายชัดขึ้นww: ขนจะเป็นสีเดียวตลอดทั้งเส้น (ไม่มี ticking) ทำให้กระต่ายมีสีแดงสด เช่นใน ThriantaRufus Modifiers และ Wideband Gene ทำงานร่วมกันอย่างไร?กระต่ายสี Red หรือ Orange ที่มีสีขนเข้มและสดใส มักต้องมีการทำงานร่วมกันของ Rufus Modifiers สูง และ ww (Wideband แบบด้อย) เช่น:ตัวอย่างชุดยีนและสีขนที่เกิดขึ้น:ee ww + Rufus Modifiers สูง → กระต่ายสีแดงเข้ม (เช่น Thrianta)ee Ww + Rufus Modifiers ปานกลาง → กระต่ายสีส้ม (เช่น Orange Holland Lop)Ee WW + Rufus Modifiers ต่ำ → สีขนอ่อนกว่าและมีสีแซมดำA_ ww ee + Rufus Modifiers สูง → กระต่ายสีแดงแบบ Agouti (Fawn หรือ Red Agouti)A_ WW Ee + Rufus Modifiers ต่ำ → กระต่ายสี Agouti ธรรมดา (Chestnut)หมายเหตุ: ชุดยีนเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างและอาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อสีขนของกระต่ายด้วยตัวอย่างชุดยีนและสีขนที่เกิดขึ้นA_ B_ C_ D_ ee ww: กระต่ายสีแดง (Red) ที่มีสีขนสม่ำเสมอและไม่มีการแซมของสีดำ​A_ B_ C_ D_ ee Ww: กระต่ายสีส้ม (Orange) ที่อาจมีการแซมของสีดำเล็กน้อย​A_ B_ C_ D_ Ee ww: กระต่ายสีเชสนัท (Chestnut) ที่มีสีขนอ่อนกว่าและอาจมีการแซมของสีดำ​เพียงเล็กน้อยสรุปRufus Modifiers และ Wideband Gene เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดสีขนของกระต่าย โดย Rufus Modifiers ควบคุมความเข้มหรืออ่อนของสีแดง ส่วน Wideband Gene ควบคุมการกระจายตัวของเม็ดสี การทำงานร่วมกันของทั้งสองยีนนี้ช่วยให้กระต่ายมีสีแดง-ส้มที่สวยงามและสม่ำเสมอ ดังนั้น หากต้องการกระต่ายสีแดงเข้ม ต้องมี ee ww + Rufus Modifiers สูง เพื่อให้สีขนออกมาตามต้องการหากคุณกำลังเพาะพันธุ์กระต่ายที่มีสีขนสวยงาม การเข้าใจเรื่อง Rufus Modifiers และ Wideband Gene จะช่วยให้คุณคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น!เด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder Repttown
กระต่าย

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 30 มี.ค. 25

อ่าน 0 ครั้ง


จิงโจ้หนูมัสกี้ จิงโจ้ที่ตัวเล็กที่สุดในโลกและต้นกำเนิดการกระโดดของจิงโจ้

จิงโจ้หนูมัสกี้ จิงโจ้ที่ตัวเล็กที่สุดในโลกและต้นกำเนิดการกระโดดของจิงโจ้

ขอเชิญทุกคนพบกับมาโครพอด (Macropod) มาร์ซูเปียลหรือสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องผู้เป็นต้นกำเนิดการกระโดดแรกเริ่มของจิงโจ้กัน นั้นก็คือ "จิงโจ้หนูมัสกี้" (Musky rat-kangaroo - 𝘏𝘺𝘱𝘴𝘪𝘱𝘳𝘺𝘮𝘯𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘮𝘰𝘴𝘤𝘩𝘢𝘵𝘶𝘴) สัตว์พื้นเมืองออสเตรเลียที่พบได้เฉพาะในป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป จิงโจ้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวนี้เป็นต้นแบบการกระโดดสองขาหลังของจิงโจ้และวัลลาบี้ที่ตัวใหญ่ได้อย่างไร ? • ตระกูลของหนูจิงโจ้นั้นเป็นตระกูลเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโอลิโกซีน นามว่า Hypsiprymnodontidae ซึ่งวงศ์นี้เคยมีมาร์ซูเปียลนักล่าหรือจิงโจ้กินเนื้อเป็นสมาชิกวงศ์หลัง แต่พวกนั้นก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จนเหลือแค่จิงโจ้หนูมัสกี้เพียงชนิดเดียวบนโลกนี้มาตั้งแต่ 20 ล้านปีแล้ว ซึ่งเรียกว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอย่างหนึ่งก็ว่าได้เลยครับ• ชื่อมัสกี้ก็มาจากกลิ่นตัวเป็นเอกลักษณ์ที่ปล่อยออกมาหึ่งเหมือนกับกวางชะมด กลิ่นนี้มีไว้เพื่อสื่อสารกันในช่วงฤดูหาคู่และยังบอกสถานะของแต่ละตัว อีกทั้งยังใช้ป้องกันตัวเวลาถูกคุกคามจากนักล่าตัวใหญ่กว่า ที่น่าสนใจกว่าชื่อก็คือ มันเป็นมาร์ซูเปียลผู้เป็นต้นแบบการเคลื่อนไหวของจิงโจ้แรกเริ่ม• ปกติแล้วพวกตระกูลมาโครพอดทั้งหมดจะกระโดดด้วยสองขาหลังได้ แม้แต่จิงโจ้กินเนื้อญาติของจิงโจ้หนูมัสกี้ก็โดดสองขาหลังได้ แต่จิงโจ้หนูมัสกี้เคลื่อนไหวสี่ขา ไม่มีท่ากระโดดสองขาหลัง โดยขยับขาหน้าไปข้างหน้าพร้อมกัน แล้วตามด้วยขาหลังสองข้างขยับไปข้างหน้าด้วยกัน ซึ่งเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวดั้งเดิมของพวกจิงโจ้ในท่าปกติก่อนจะวิวัฒนาการด้านการกระโดดสองขา • เจ้าสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ไม่จำเป็นต้องกระโดดไกลมากเมื่ออยู่ในป่า พวกมันตัวเล็กและหากินอาหารจำพวกผลไม้และเห็ดตามพื้นดินอย่างสงบ ถือเป็นรอยต่อสำคัญของวิวัฒนาการการปรับตัวของสัตว์ในทวีปออสเตรเลียที่สำคัญ ว่าแม้ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนไป แต่ที่นี่บางอย่างยังคงสภาพเหมือนเดิม PIC CR. Ray wilson Reference'Musky' marsupial could solve hopping kangaroo mysteryhttps://phys.org/.../2025-03-musky-marsupial-kangaroo...Musky Rat-Kangaroo - Facts, Diet, Habitat & Pictures on Animalia.biohttps://animalia.bio/index.php/musky-rat-kangarooMeet the musky rat-kangaroo, our smallest kangaroohttps://www.australiangeographic.com.au/.../meet-the.../

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25

อ่าน 0 ครั้ง


ลักษณะทางพันธุกรรมและการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของงูบอลไพธอน และการประยุคใช้นวัตกรรมการตรวจ DNA เพื่อใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ของงูบอลไพธอน (Python regius)

ลักษณะทางพันธุกรรมและการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของงูบอลไพธอน และการประยุคใช้นวัตกรรมการตรวจ DNA เพื่อใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ของงูบอลไพธอน (Python regius)

ในปัจจุบัน การเลี้ยงงูบอลได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย เนื่องจากเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดูแลง่าย ไม่ต้องการพื้นที่มาก และไม่จำเป็นต้องให้อาหารทุกวัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด แต่ยังต้องการสัตว์เลี้ยงเพื่อช่วยลดความเครียดและสร้างความเพลิดเพลิน นอกจากนี้ งูบอลยังเป็นสัตว์ที่มีนิสัยสงบ ไม่ดุร้าย และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในบ้านได้ดี ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบและมีเวลาพักผ่อนน้อย อีกทั้งความหลากหลายของสีสันและลวดลายที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์และความน่าสะสมให้กับงูบอลไพธอนมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดของสัตว์เลี้ยงชนิดนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สีสันและลวดลายของงูบอล หรือที่เรียกว่า Morph เป็นผลมาจากการผสมพันธุ์แบบ Selective Breeding ซึ่งช่วยสร้างความหลากหลายทางพันธุกรรมและเพิ่มความสวยงามให้กับงูบอลที่เลี้ยงในปัจจุบัน กระบวนการนี้ทำให้เกิด Morph ใหม่ ๆ ที่มีสีสันและลวดลายแตกต่างจากงูในธรรมชาติ ทำให้ตลาดงูบอลไพธอนเติบโตอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาสายพันธุ์งูบอลไพธอนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน งูบอลไพธอน (Python regius) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา พบได้ในพื้นที่แห้งแล้งและทุ่งหญ้าสะวันนา ด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่มากและนิสัยที่สงบ ไม่ดุร้าย ทำให้งูชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 การค้าขายงูบอลเริ่มต้นจากการจับจากธรรมชาติเพื่อนำมาจำหน่าย แต่เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น การเพาะพันธุ์ในระบบปิดจึงกลายเป็นแนวทางหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป อย่างไรก็ตาม การค้าสัตว์ป่าข้ามประเทศต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับของอนุสัญญา CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) ซึ่งจัดให้งูบอลไพธอนอยู่ในบัญชีหมายเลข 2 (Appendix II) หมายความว่าสามารถซื้อขายได้ แต่ต้องมีการควบคุมเพื่อลดผลกระทบต่อประชากรในธรรมชาติ หลายประเทศมีกฎหมายควบคุมการนำเข้าและส่งออกงูบอล เช่น การกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาต หรือการอนุญาตเฉพาะงูที่เพาะพันธุ์ในระบบปิดเท่านั้นเพื่อป้องกันการล่าจากธรรมชาติ ส่งผลให้ตลาดงูบอลในปัจจุบันพัฒนาไปในทิศทางที่เน้นการเพาะพันธุ์เชิงพาณิชย์มากกว่าการนำเข้าจากธรรมชาติ การผสมพันธุ์แบบเลือกสรร (Selective Breeding) เป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาสายพันธุ์ของงูบอลไพธอน ซึ่งช่วยให้สามารถสร้าง Morph ใหม่ ๆ ที่มีลวดลายและสีสันที่แตกต่างจากงูในธรรมชาติ กระบวนการนี้อาศัยการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ต้องการ เช่น สีที่โดดเด่น ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ หรือคุณสมบัติทางกายภาพเฉพาะ และนำมาผสมพันธุ์กันเพื่อถ่ายทอดลักษณะเหล่านั้นไปยังลูกหลาน ลักษณะทางพันธุกรรมของงูบอลไพธอน ลักษณะทางพันธุกรรมของงูบอลไพธอนสามารถอธิบายได้ตามกฎของเมนเดล (Mendel’s Laws of Inheritance และ Non-Mendelian inheritance) ซึ่งระบุว่าลักษณะทางพันธุกรรมถูกกำหนดโดยคู่ของอัลลีล (Alleles) ที่ได้รับมาจากพ่อและแม่ โดยแต่ละตัวมีอัลลีล 2 ชิ้นที่ควบคุมลักษณะต่าง ๆ ลักษณะทางพันธุกรรมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่: ลักษณะเด่น (Dominant Trait) คือ ลักษณะที่จะแสดงออกมาเมื่อมีอัลลีลของลักษณะนั้นอย่างน้อย 1 ชิ้น ซึ่งหมายความว่า หากงูได้รับอัลลีลเด่นจากพ่อหรือแม่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะแสดงลักษณะนั้นออกมา ลักษณะด้อย (Recessive Trait) คือ ลักษณะที่จะแสดงออกก็ต่อเมื่อได้รับอัลลีลของลักษณะนั้นจากทั้งพ่อและแม่ (2 ชิ้น) หากมีเพียงชิ้นเดียว ลักษณะนั้นจะถูกซ่อนไว้และไม่แสดงออก (แต่ยังสามารถส่งต่อให้รุ่นลูกได้) โดยสามารถแบ่งการจัดเรียงของอัลลีลออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ Homozygous (มีอัลลีลเหมือนกันทั้งสองชิ้น) และ Heterozygous (มีอัลลีลแตกต่างกัน) ลักษณะทางพันธุกรรมสามารถจำแนกออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่: ลักษณะเด่นพันธุ์แท้ (Homozygous Dominant) งูที่มีอัลลีลเด่นทั้งสองชิ้น ลักษณะเด่นจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้อย่างแน่นอนลักษณะเด่นพันธุ์ทาง (Heterozygous Dominant) งูที่มีทั้งอัลลีลเด่นและอัลลีลด้อย ในกรณีนี้ ลักษณะเด่นจะยังคงแสดงออกมา เนื่องจากอัลลีลเด่นมีอิทธิพลเหนืออัลลีลด้อยลักษณะด้อยพันธุ์แท้ (Homozygous Recessive) งูที่มีอัลลีลด้อยทั้งสองชิ้น จะทำให้แสดงลักษณะด้อยออกมากลักษณะด้อยพันธุ์ทาง (Heterozygous Recessive) งูที่มีอัลลีลเด่นหนึ่งชิ้นและอัลลีลด้อยหนึ่งชิ้น แม้ว่าลักษณะด้อยจะไม่แสดงออกมา แต่สามารถส่งต่อไปยังลูกหลานได้อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าคำศัพท์ต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นไม่ได้ถูกใช้ในงูบอลไพธอนอย่างแพร่หลาย โดยในงูบอลไพธอน การเรียกชื่อ Morph นั้นอ้างอิงจากลักษณะนั้นเป็นลักษณะเด่นหรือลักษณะด้อย การเรียกชื่อลักษณะเด่นในงูบอล ลักษณะเด่นพันธุ์แท้ (Homozygous Dominant) จะถูกเรียกด้วยคำว่า Super และตามด้วยชื่อ Morph เช่น Super Pastel, Super OD เป็นต้น ลักษณะเด่นพันธุ์ทาง (Heterozygous Dominant) จะถูกเรียกด้วยชื่อ Morph เลย เช่น Cinnamon, Mojave เป็นต้น การเรียกชื่อลักษณะด้อยในงูบอล ลักษณะด้อยพันธุ์แท้ (Homozygous Recessive) จะถูกเรียกด้วยชื่อของ Morph เลย เช่น Albino, Axanthic เป็นต้น ลักษณะด้อยพันธุ์ทาง (Heterozygous Recessive) จะถูกเรียกด้วยคำว่า Het ตามด้วยชื่อ Morph เช่น Het Desert Ghost, Het Hypo เมื่อเข้าใจลักษณะทางพันธุกรรมพื้นฐานแล้ว เราจะมาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominant) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแสดงออกของ Morph งูบอลไพธอน ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominant) หมายถึง ลักษณะที่แสดงออกแตกต่างกันระหว่าง Heterozygous Dominant และ Homozygous Dominant ซึ่งเป็นเหตุผลที่คำว่า "Super" ถูกนำมาใช้ในวงการงูบอลไพธอน เนื่องจาก Morph ส่วนใหญ่ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มลักษณะเด่นนั้นเป็น Incomplete Dominant ส่งผลให้มีความแตกต่างระหว่างงูที่มีอัลลีลเด่นเพียงชิ้นเดียวกับงูที่มีอัลลีลเด่นทั้งสองชิ้น ตัวอย่างเช่น ความแตกต่างระหว่าง Pastel และ Super Pastel ซึ่ง Super Pastel จะมีสีสันที่เข้มและชัดเจนกว่าปกติ เมื่อเกิดลักษณะเด่นร่วมกันบนตำแหน่งยีน หรือ Locus เดียวกัน เรียกว่า Incomplete Dominance คือ การที่อัลลีลทั้งสองซึ่งแตกต่างกัน แต่ถูกกำหนดอยู่บนตำแหน่งยีน (Locus) เดียวกันและสามารถแสดงลักษณะของตัวเองออกมาได้พร้อมกัน ในงูบอลไพธอน ลักษณะที่เกิดจากการรวมกันของอัลลีลจาก Morph ที่อยู่บนตำแหน่งยีนเดียวกัน เช่น Black Pastel และ Cinnamon มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า 8 Ball Complex เมื่อเมื่องูได้รับอัลลีลจาก Morph เหล่านี้ร่วมกัน จะส่งผลให้เกิดลักษณะที่แตกต่างจาก Morph ต้นกำเนิดและแสดงออกเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือที่เรียกว่า "Act Like Super" (ALS) คล้ายกับการที่งูแสดงลักษณะเป็น Super Form ตัวอย่างของ Morph ที่เกิดจากการผสมใน Complex นี้ ได้แก่ 8 Ball, Super Black Pastel และ Super Cinnamon ซึ่งมักปรากฏด้วยสีเข้มเกือบดำสนิท Compound Heterozygosityการทำความเข้าใจ Complex มีความสำคัญอย่างมากสำหรับนักเพาะพันธุ์ เนื่องจากการจับคู่ Morph ใน Complex เดียวกันอาจทำให้เกิดลักษณะที่รุนแรงเกินไปหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกงู เช่น ในกรณีของ 8 Ball Complex ที่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างร่างกาย (เช่น ความผิดปกติของกระดูกสันหลัง) หรือ Spider Complex ที่มีปัญหาการเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในไข่ นอกจากนี้ บางลักษณะด้อยสามารถแสดงออกในรูปแบบ Compound Heterozygosity ได้ โดยที่สิ่งมีชีวิตมีอัลลีลด้อยสองตัวที่แตกต่างกันบน locus เดียวกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดลักษณะพิเศษ ตัวอย่างเช่นใน Albino Complex ที่เป็น Candino ซึ่งรวมอัลลีล Albino และ Candy ไว้ด้วยกัน ลักษณะทางพันธุกรรมแบบ Polygenic หมายถึงลักษณะที่ถูกควบคุมโดยหลายยีนร่วมกันแทนที่จะเป็นยีนเดียวที่มีอิทธิพลอย่างเดียว ยีนแต่ละตัวที่เกี่ยวข้องอาจส่งผลกระทบน้อย ๆ ต่อการแสดงออกของลักษณะนั้น แต่เมื่อรวมกันแล้ว ผลกระทบจะมีความชัดเจนและเด่นขึ้น ตัวอย่างเช่น Fader ซึ่งถูกระบุว่าเป็นลักษณะทางพันธุกรรมแบบ Polygenic ลักษณะเหล่านี้ไม่สามารถจำแนกได้ในรูปแบบ "มี" หรือ "ไม่มี" (Qualitative) แต่จะอยู่ในรูปแบบ "มาก" หรือ "น้อย" (Quantitative) ตามระดับการแสดงออกของยีนหลายตัวร่วมกัน ลักษณะทางพันธุกรรมสามารถแบ่งตามตำแหน่งของยีนที่ควบคุมได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ Autosomal Traits (ลักษณะทางพันธุกรรมที่อยู่บนออโตโซม) ลักษณะที่ถูกควบคุมโดยยีนที่อยู่บน Autosome (โครโมโซมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเพศ) ทำให้การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมประเภทนี้เกิดขึ้นโดยไม่ขึ้นอยู่กับเพศของสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างเช่น ลักษณะทางพันธุกรรมของงูบอลไพธอนส่วนใหญ่ เช่น Albino, Piebald และ Clown เป็นลักษณะ Autosomal Recessive หรือ Autosomal Dominant ขึ้นอยู่กับวิธีการแสดงออกของยีนนั้น ๆ Sex-Linked Traits (ลักษณะทางพันธุกรรมที่อยู่บนโครโมโซมเพศ) ลักษณะที่ถูกควบคุมโดยยีนที่อยู่บน Sex Chromosome (X หรือ Y) ซึ่งมีบทบาทโดยตรงในการกำหนดเพศ ทำให้ลักษณะดังกล่าวสามารถถ่ายทอดโดยมีความแตกต่างระหว่างเพศ ตัวอย่างเช่น Banana (X, FMK) ในงูบอลไพธอนเป็นลักษณะ Sex-Linked ซึ่งถูกควบคุมโดยยีนบนโครโมโซม X ทำให้ลักษณะนี้มีรูปแบบการถ่ายทอดที่แตกต่างจากลักษณะทั่วไป เช่น เพศผู้ที่ได้รับยีนนี้จะสามารถถ่ายทอดให้ลูกสาวได้เสมอ แต่หากเป็นเพศเมียที่มียีนนี้ อาจถ่ายทอดไปยังลูกทั้งเพศผู้และเพศเมียได้ เพิ่มเติม Banana นั้นจะแบ่งเป็น Banana (Y หรือ Male Maker) และ Banana (X หรือ Female Maker) การผสมพันธุ์แบบคัดสรร (Selective Breeding) Selective Breeding คือกระบวนการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ต้องการ เพื่อพัฒนาและคงไว้ซึ่งลักษณะเฉพาะของลูกหลาน กระบวนการนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้งูบอลไพธอนมีความหลากหลายของ Morph ที่พบเห็นในปัจจุบัน การคำนวณลักษณะของลูกงูบอลไพธอนจากพ่อและแม่ การคาดการณ์ลักษณะของลูกงูสามารถทำได้โดยใช้ ตารางพันเนตต์ (Punnett Square) ซึ่งอาศัยหลักการทางพันธุกรรมของ Mendel’s Laws โดยการนำอัลลีลจากพ่อและแม่มาจับคู่กัน ตัวอย่างการคำนวณการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ตัวอย่างที่ 1: การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบ Incomplete Dominant พ่อเป็น Orange Dream (Oo, Autosomal Heterozygous Incomplete Dominant Orange Dream) มาผสมกับ แม่เป็น Super Orange Dream (OO, Autosomal Homozygous Incomplete Dominant Orange Dream) โดยกำหนดให้ O แทนยีนของลักษณะทางพันธุกรรมของ Orange Dream และ o แทนยีนของลักษณะทางพันธุกรรมของ Wild Type โอกาสที่ลูกจะได้รับลักษณะทางพันธุกรรมมีดังนี้ 50% เป็น Orange Dream (Oo) ได้รับยีน Orange Dream มาเพียงอันเดียวจากแม่ 50% เป็น Super Orange Dream (OO) ได้รับยีน Orange Dream จากทั้งพ่อและแม่ ในกรณีของลักษณะ Incomplete Dominant เช่น Orange Dream นี้ ลูกที่เป็น Heterozygous (Oo) และ Homozygous (OO) จะมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้สามารถระบุลักษณะทางพันธุกรรมได้ง่ายกว่าลักษณะ Recessive ตัวอย่างที่ 2: การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบ Recessive หากนำ พ่อที่เป็น Het Desert Ghost (Dd, Autosomal Heterozygous Recessive Desert Ghost) มาผสมกับ แม่ที่เป็น Het Desert Ghost (Dd, Autosomal Heterozygous Recessive Desert Ghost) โดยกำหนดให้ D เป็นยีนของลักษณะทางพันธุกรรม Desert Ghost และ d เป็นยีนของลักษณะทางพันธุกรรม Wild Type โอกาสที่ลูกจะได้รับลักษณะทางพันธุกรรมมีดังนี้ 25% เป็น Desert Ghost (DD) ได้รับยีน Desert Ghost แบบ Homozygous Recessive จากทั้งพ่อและแม่ ทำให้แสดงลักษณะ Desert Ghost ออกมา 50% เป็น Het Desert Ghost (Dd) ได้รับยีน Desert Ghost มาเพียงตัวเดียวจากพ่อหรือแม่ ทำให้ไม่แสดงลักษณะ Desert Ghost แต่สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นถัดไปได้ 25% เป็น Wild Type (dd) ไม่ได้รับยีน Desert Ghost จากทั้งพ่อและแม่เลย ทำให้ไม่มีลักษณะ Desert Ghost และไม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ หนึ่งในความท้าทายของนักพัฒนาสายพันธุ์ในการผสมพันธุ์ยีนที่เป็นลักษณะด้อยคือ Heterozygous Recessive ไม่สามารถแยกจาก Wild Typeได้จากลักษณะภายนอก ทำให้ในบางกรณีต้องระบุเป็น 66% Het ซึ่งอาจส่งผลต่อการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์และทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาสายพันธุ์ต่อไป การตรวจ DNA ช่วยให้สามารถระบุได้อย่างแม่นยำว่างูตัวนั้นมียีนแฝงที่สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกได้หรือไม่ ส่งผลให้การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในกรณีของ Desert Ghost หากมีการตรวจ DNA ในรุ่นลูก นักพัฒนาสายพันธุ์จะสามารถตัดสินใจในการคัดเลือกงูสำหรับพัฒนาสายพันธุ์ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วขึ้นเนื่องจาก Het Desert Ghost และ Wild Type มีลักษณะภายนอกเหมือนกัน การตรวจ DNA จึงเป็นวิธีที่แม่นยำกว่า ในการยืนยันว่าแต่ละตัวเป็น Het Desert Ghost หรือไม่ ตัวอย่างที่ 3: การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบหลายลักษณะ หากนำ พ่อที่เป็น Lesser Het DG มาผสมกับ แม่ที่เป็น Pastel Russo อย่างแรกที่ต้องพิจารณาคือ เนื่องจาก Lesser และ Russo ถูกจัดอยู่ใน Blue Eyed Leucistic (BEL) Complex ทำให้ต้องคำนวณร่วมกัน จึงกำหนดให้ BL แทนยีน Lesser, BR แทนยีน Russo และ b แทน Wild Type ให้ D เป็นยีน Desert Ghost และ d แทน Wild Type ให้ P แทนยีน Pastel และ p แทน Wild Type จากนั้นคำนวณแยกความเป็นไปได้ของแต่ละลักษณะ จากนั้นนำความเป็นไปได้ของแต่ละลักษณะมาคำนวณร่วมกันตามตารางด้านล่าง จากตัวอย่างจะเห็นว่าการผสมพันธุ์งูให้ได้ลักษณะทางพันธุกรรมที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นการวางแผนอย่างรอบคอบจึงมีความสำคัญมาก นอกจากนี้ การเกิด Bel Complex จากการผสม Lesser และ Russo ทำให้งูมีสีขาวทั้งตัว ซึ่งอาจบดบังการแสดงออกของ Pastel ส่งผลให้การระบุ Morph เป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม การตรวจ DNA สามารถช่วยยืนยันลักษณะพันธุกรรมที่ซ่อนอยู่ และสนับสนุนการวางแผนผสมพันธุ์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างที่ 4: การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของยีนบนโครโมโซมเพศ ในงูบอลมี Morph หนึ่งที่ถ่ายทอดผ่านยีนบนโครโมโซมเพศ นั่นคือ Banana โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบตามชนิดของโครโมโซมเพศ ได้แก่ Banana X หรือ Banana Female Maker (FMK) ซึ่งยีน Banana อยู่บนโครโมโซม X Banana Y หรือ Banana Male Maker (MMK) ซึ่งยีน Banana อยู่บนโครโมโซม Y ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการคำนวณการผสมพันธุ์ระหว่าง Banana Y (ตัวผู้) กับ Banana X (ตัวเมีย) โดยกำหนดให้ YB หมายถึงยีน Banana บนโครโมโซม Y, Y เป็น Wild Type, XB หมายถึงยีน Banana บนโครโมโซม X และ X เป็น Wild Type จากตัวอย่างจะเห็นว่า การคำนวณยีน Banana สัมพันธ์กับเพศโดยตรง ทำให้การพัฒนาสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับยีน Banana มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น การผสม Banana Y กับ Banana X จะไม่สามารถได้ Super Banana เพศเมีย แต่จะได้ Super Banana เพศผู้ แทน ในขณะที่หากผสม Banana X กับ Banana X จะมีโอกาสได้ Super Banana เพศเมีย แต่จะไม่มีโอกาสได้ Super Banana เพศผู้ ปัญหาและข้อจำกัดของการคัดเลือกสายพันธุ์ด้วยการสังเกต Phenotype เพียงอย่างเดียว ในหลายกรณี การระบุ Morph ของงูบอลไพธอนอาศัยการสังเกต Phenotype (ลักษณะที่ปรากฏ) ควบคู่กับการตรวจสอบแผนผังเครือญาติ (Pedigree Chart) เพื่อคาดการณ์ลักษณะทางพันธุกรรมที่แฝงอยู่ อย่างไรก็ตาม หนึ่งในประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดคือ ความแม่นยำในการระบุ Morph ซึ่งขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ของผู้สังเกต เป็นหลัก ปัจจัยที่ทำให้การระบุ Morph มีความซับซ้อน การแสดงออกของยีนที่ซับซ้อน งูบางตัวอาจมียีนหลายชนิดทำงานร่วมกัน ทำให้การระบุ Morph ด้วยตาเปล่ายากขึ้น เช่น Black Pastel Redstripe Spotnose YB Clown (POMPEII) ซึ่งมีสีและลายที่ซับซ้อนมาก ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ง่าย ผลของยีนที่กดทับกัน (Epistasis) ยีนบางตัวสามารถบดบังการแสดงออกของยีนอื่น เช่น Lesser และ Mojave ซึ่งอยู่ใน BEL Complex สามารถกดทับลวดลายและสีของยีนอื่น ๆ ได้ ทำให้ Morph ที่แฝงอยู่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ชัดเจน นอกจากนี้ การผสมพันธุ์ระหว่าง Heterozygous Recessive ยังมีความท้าทายเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การผสมระหว่าง Het Albino × Het Albino จะให้ลูกงูที่มีโอกาสเป็น Albino 25%, Het Albino 50%, และ Wildtype (Normal) 25% เนื่องจาก Het Albino ไม่มีลักษณะภายนอกที่แตกต่างจาก Wildtype ทำให้เมื่อลูกงูที่เกิดมาไม่ได้แสดงลักษณะ Albino จะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าตัวใดเป็น Het Albino และตัวใดเป็น Wildtype ด้วยตาเปล่า ดังนั้น ตามหลักความน่าจะเป็น งูที่ไม่ได้แสดงลักษณะ Albino จะถูกจัดกลุ่มเป็น 66% Het Albino หรือหมายความว่ามีโอกาส 2 ใน 3 ที่จะเป็น Het Albino หากนำงูกลุ่ม 66% Het Albino นี้ไปใช้ในการเพาะพันธุ์ต่อ ก็อาจต้องใช้การตรวจสอบทางพันธุกรรม (DNA Testing) หรือการทดสอบการผสมพันธุ์ (Test Breeding) เพื่อยืนยันว่าตัวใดเป็น Het Albino จริง ๆ วิธีการแก้ไขสามารถทำได้โดย Test Breeding หรือ การทดสอบการผสมพันธุ์ เป็นกระบวนการใช้การผสมพันธุ์เพื่อยืนยันลักษณะทางพันธุกรรมของงูที่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด โดยเฉพาะในกรณีของ Heterozygous Recessive (Het) ที่ไม่มีการแสดงลักษณะภายนอกแตกต่างจาก Wildtype ตัวอย่างเช่น หากมีงูบอลไพธอนที่ถูกระบุว่าเป็น 66% Het Albino แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามี ยีน Albino หรือไม่ การทำ Test Breeding กับงูที่เป็น Albino หรือ Het Albino จะช่วยให้ทราบผล หากลูกงูที่ออกมามี Albino แสดงว่างูตัวนั้นเป็น Het Albino จริง แต่หากไม่มีลูก Albino เลยในจำนวนที่มากพอ ก็มีแนวโน้มว่างูตัวนั้นอาจเป็น Wildtype แม้ว่าการทำ Test Breeding จะเป็นวิธีหนึ่งในการยืนยันลักษณะทางพันธุกรรมของงูบอลไพธอนที่เป็น Heterozygous Recessive (Het) แต่ก็มีข้อจำกัดของการ Test Breeding ได้แก่ 1. ต้องใช้เวลานาน งูบอลไพธอนมีวงจรการเจริญเติบโตช้า โดยทั่วไปต้องใช้เวลาประมาณ 1.5 - 3 ปี ก่อนที่งูจะพร้อมผสมพันธุ์ เมื่อลูกงูเกิดมาแล้ว อาจต้องใช้เวลาหลายรอบการผสมพันธุ์จึงจะได้จำนวนลูกงูที่เพียงพอในการสรุปผล 2. ต้องมีจำนวนลูกงูมากพอ หากจำนวนลูกงูที่เกิดมาน้อย อาจทำให้การประเมินลักษณะทางพันธุกรรมมีความคลาดเคลื่อนได้ ตัวอย่างเช่น หากงู Het Albino × Het Albino ให้ลูกเพียง 2-3 ตัว ก็อาจไม่มีตัวที่เป็น Albino เลย ทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่างูตัวพ่อหรือแม่เป็น Het Albino จริงหรือไม่ 3. ความไม่แน่นอนของผลลัพธ์ แม้ว่าการทำ Test Breeding จะมีหลักการทางสถิติรองรับ แต่ก็ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้ในรอบการผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียว ในบางกรณี งูที่เป็น Het Recessive อาจไม่ได้ให้ลูกที่แสดงลักษณะด้อยออกมาเสมอไป 4. ต้องมีการวางแผนการผสมพันธุ์ที่ดี หากไม่มีการวางแผนที่เหมาะสม เช่น การเลือกคู่ผสมที่ถูกต้อง อาจทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ หรือทำให้เกิดงูที่มีลักษณะไม่สามารถระบุชัดเจน 5. ใช้พื้นที่และทรัพยากรมาก การเลี้ยงงูจำนวนมากเพื่อรอผล Test Breeding ต้องใช้พื้นที่เลี้ยงดู อาหาร และการดูแลในระยะยาว สำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด อาจไม่สามารถทำ Test Breeding ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทบาทของการตรวจ DNA เพื่อตรวจสอบ Morph ในงูบอลไพธอน ในอดีต การระบุ Morph ของงูบอลไพธอนอาศัยการสังเกตลักษณะที่ปรากฏ (Phenotype) และการศึกษาประวัติการผสมพันธุ์ (Pedigree Chart) ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาด โดยเฉพาะเมื่อลักษณะทางพันธุกรรมซับซ้อน หรือถูกยีนอื่นบดบังทำให้การระบุ Morph ด้วยสายตาเป็นเรื่องยาก ปัจจุบัน การตรวจ DNA ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ Morph อย่างแม่นยำ โดยสามารถยืนยันการมีอยู่ของยีนลักษณะด้อย (Recessive), ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominant), หรือความซับซ้อนของยีนในกลุ่ม Locus Complex ได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการระบุ Morph และช่วยให้ผู้เพาะพันธุ์สามารถวางแผนการผสมพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลักการทำงานของการตรวจ DNA เพื่อตรวจสอบ Morph ในงูบอลไพธอน การตรวจ DNA เพื่อระบุ Morph ในงูบอลไพธอน เป็นการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรม (Genome) ที่กำหนดลักษณะของงูแต่ละตัว คล้ายกับการอ่าน "คู่มือแนะนำตัว" ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งจะบอกว่าแต่ละตัวมีคุณสมบัติทางพันธุกรรมอะไรบ้าง หลักการทำงานมีดังนี้ เก็บตัวอย่าง DNA – โดยทั่วไปมักใช้ตัวอย่างเซลล์ เช่น เกล็ด, เลือด, หรือคราบงู ซึ่งมี DNA ของงูอยู่ เปรียบเทียบรหัสพันธุกรรม – DNA ของงูจะถูกนำไปตรวจเทียบกับฐานข้อมูลที่มีข้อมูลของ Morph ต่าง ๆ เช่น Clown, Pied, Albino เป็นต้น วิเคราะห์ผลลัพธ์ – หากพบว่ารหัสพันธุกรรมตรงกับ Morph ใด ก็สามารถสรุปได้ว่างูตัวนั้นมียีนของ Morph นั้นจริง หรือเป็นพาหะของลักษณะด้อยบางอย่าง วิธีนี้ช่วยให้สามารถตรวจสอบ Morph ได้แม่นยำกว่าใช้สายตา และยังสามารถระบุยีนที่ซ่อนอยู่ซึ่งอาจไม่แสดงออกมาในลักษณะภายนอก (Heterozygous Recessive) ได้อีกด้วย ประโยชน์ของการตรวจ DNA ในการพัฒนาสายพันธุ์ ลดความเสี่ยงจากการผสมพันธุ์ผิดพลาด (Hidden Genes & Het Morphs) การตรวจ DNA ช่วยให้ผู้เพาะพันธุ์สามารถระบุ ยีนแฝง ที่อาจไม่แสดงออกในลักษณะภายนอก เช่น Het Morphs ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งช่วยลดโอกาสในการผสมพันธุ์ผิดพลาด ทำให้สามารถวางแผนการเพาะพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีศักยภาพ การรู้ข้อมูลทางพันธุกรรมของงูบอลไพธอนอย่างแม่นยำ ช่วยให้ผู้เพาะพันธุ์สามารถเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีศักยภาพในการพัฒนา Morph ใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถสร้าง Combo ใหม่ ๆ หรือลักษณะที่มีมูลค่าสูงในตลาดได้เร็วขึ้นกว่าการใช้วิธี Test Breeding แบบเดิม สนับสนุนการพัฒนา Morph หายากและ Morph ใหม่ ๆ บาง Morph หายากหรือ Morph ที่เพิ่งถูกค้นพบอาจมีความซับซ้อนทางพันธุกรรมสูง การตรวจ DNA ช่วยให้ผู้เพาะพันธุ์สามารถเข้าใจรูปแบบการถ่ายทอดพันธุกรรมของ Morph นั้น ๆ ได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระบุว่า Morph นั้น ๆ เป็น Morph ใหม่หรือไม่ได้เร็วขึ้นผ่านกระบวนการทางพันธุศาสตร์ โดยไม่ต้องใช้เวลาหลายปีในการทดลองผสมพันธุ์ การรับรองคุณภาพและความโปร่งใสในตลาดการซื้อขายงู ตลาดงูบอลไพธอนมีมูลค่าสูง และบางครั้งการระบุ Morph อาจมีข้อผิดพลาดหรือความคลาดเคลื่อน การตรวจ DNA ช่วยให้สามารถ ยืนยันสายพันธุ์ ของงูได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะ Het ซึ่งไม่สามารถระบุได้ด้วยตาเปล่า เพิ่มความมั่นใจให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ลดปัญหาการซื้อขายงูที่มีการระบุ Morph ผิดพลาด และช่วยสร้างมาตรฐานที่ดีให้กับวงการงูบอลไพธอน ProHerper Thailand ทดสอบ DNA เพื่อตรวจยืนยัน Morph ในงูบอลไพธอนในปัจจุบัน ProHerper Thailand ได้ร่วมมือกับ ProHerper Belgium เพื่อให้บริการตรวจ DNA งูบอลไพธอน ในประเทศไทย สำหรับการระบุ Morph อย่างแม่นยำ สนับสนุนผู้เพาะพันธุ์ (Breeder) ที่ต้องการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ ๆ และช่วยยกระดับมาตรฐานวงการงูบอลไพธอนในไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น การตรวจ DNA นี้มี ความแม่นยำสูง ด้วย Sensitivity 95% และ Specificity 99% ทำให้สามารถวิเคราะห์ลักษณะทางพันธุกรรมของงูบอลได้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันมีบริการตรวจ Morph จาก DNA ดังนี้ Albino Asphalt Axanthic VPI Bamboo Bongo Butter Candy Champagne Chocolate Clown Cryptic Desert Ghost Genetic Stripe Gravel Hurricane Hypo Lavender Albino Mojave Phantom Pied Puzzle Russo Spark Special Specter Spider Spotnose Sunset Ultramel Woma Wookie Yellow Belly Zebra และยังคงพัฒนาการตรวจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุม Morph ให้มากที่สุด ท่านใดที่ต้องการใช้บริการตรวจมอร์ฟงูกับ ProHerper Thailand สามารถติดต่อมาได้ที่ https://www.facebook.com/profile.php?id=61565213311605สำหรับผู้อ่านท่านใดที่อ่านมาถึงตรงนี้บอกเลยว่าเก่งมาก คุณได้เป็นเซียนงูบอลของจริงแล้ว-ProHerper Thailand

เขียนโดย ProHerper Thailand

โพสต์เมื่อ 13 ก.พ. 25

อ่าน 53 ครั้ง


เพาะกระต่ายยังไงให้สวย? เคล็ดลับในการเพาะกระต่าย

เพาะกระต่ายยังไงให้สวย? เคล็ดลับในการเพาะกระต่าย

"กระต่ายสวยไม่ได้แปลว่าจะได้ลูกสวยเสมอไป" คำนี้บรีดเดอร์หลายๆท่านอาจจะได้ยินบ่อยๆจากปากของบรีดเดอร์ชั้นนำมากมายแล้วทำไมกระต่ายสวยถึงไม่ได้จ่ายลูกสวยล่ะ?ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ากระต่ายสายพันธุ์ที่เรานิยมเลี้ยงและนำมาประกวดเป็นกระต่ายที่ถูกพัฒนามาจากหลายๆสายพันธุ์ถ้าเราดูลักษณะยังไม่ชำนาญและประสบการณ์ยังน้อย การที่เราจะไปเลือกซื้อกระต่ายมาเพาะเอง ก็อาจจะทำให้เราได้ลูกไม่สวยตามที่หวังได้การเพาะพันธุ์กระต่ายมีหลายเทคนิคที่สามารถใช้ได้ตามเป้าหมายของผู้เพาะพันธุ์ ซึ่งแต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ Inbreeding, Line Breeding และ Crossbreeding1. Inbreeding (การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกัน)คือ การผสมพันธุ์ระหว่างกระต่ายที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิดกัน เช่นพ่อ-ลูกแม่-ลูกพี่-น้องจุดประสงค์คงลักษณะเด่นของสายพันธุ์ เช่น สี ขนาด รูปร่าง หรือพฤติกรรมใช้คัดเลือกกระต่ายที่มีคุณภาพดีในระยะยาวข้อดี✅ ช่วยรักษาลักษณะเด่นของสายพันธุ์แท้✅ ได้ลูกกระต่ายที่มีคุณสมบัติคล้ายพ่อแม่มาก✅ ใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความบริสุทธิ์ข้อเสีย❌ เพิ่มโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมและลักษณะด้อย❌ ลูกกระต่ายอาจอ่อนแอ อัตราการรอดต่ำ❌ อาจเกิดความผิดปกติทางกายภาพ เช่น ตัวเล็กผิดปกติ หรือมีโครงสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์วิธีลดความเสี่ยงจาก Inbreedingใช้ Inbreeding เฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่แข็งแรง ไม่มีประวัติโรคทางพันธุกรรมใช้เทคนิค Line Breeding เพื่อช่วยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม2. Line Breeding (การผสมพันธุ์แบบไลน์)คือ การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกันแต่มีความห่างกันระดับหนึ่ง เช่นปู่-หลานลุง-หลานลูกพี่ลูกน้องจุดประสงค์คงลักษณะเด่นของสายพันธุ์ แต่ลดความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมใช้คัดเลือกกระต่ายที่มีคุณภาพดีที่สุดจากครอบครัวเดียวกันข้อดี✅ ลดความเสี่ยงจากปัญหาทางพันธุกรรมเมื่อเทียบกับ Inbreeding✅ ช่วยรักษาลักษณะเด่นของสายพันธุ์ได้โดยไม่เสี่ยงต่อความผิดปกติ✅ มีความปลอดภัยมากกว่าการผสมพ่อ-ลูก หรือพี่-น้องข้อเสีย❌ หากทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเกิดปัญหาความแข็งแรงทางพันธุกรรมลดลง❌ ต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีมาก ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการสะสมลักษณะด้อยวิธีทำ Line Breeding อย่างมีประสิทธิภาพใช้กระต่ายตัวผู้หลัก (Stud) ที่มีคุณภาพดีและแข็งแรงเว้นระยะห่างของสายเลือดเพื่อป้องกันความเสี่ยงนำกระต่ายจากสายพันธุ์เดียวกันที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงมาเสริม3. Crossbreeding (การผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์)คือ การนำกระต่ายที่มาจากสายพันธุ์ต่างที่มาผสมกัน เช่นHolland Lop × Netherland DwarfNew Zealand White × Flemish Giantหรือ เป็นสายพันธุ์เดียวกันแต่มาจากคนละฟาร์มจุดประสงค์เพิ่มความแข็งแรงทางพันธุกรรม (Hybrid Vigor)สร้างกระต่ายที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิมลดโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมข้อดี✅ ลูกกระต่ายแข็งแรงขึ้น เนื่องจากได้ความหลากหลายทางพันธุกรรม✅ ลดความเสี่ยงของโรคพันธุกรรมที่พบในสายพันธุ์แท้✅ สามารถพัฒนาลักษณะเฉพาะที่ดีขึ้นจากทั้งสองสายพันธุ์ข้อเสีย❌ ผลลัพธ์คาดเดาได้ยาก เพราะลักษณะพันธุกรรมอาจผสมกันแบบไม่เป็นไปตามที่ต้องการ❌ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์แท้❌ หากเลือกพ่อแม่พันธุ์ไม่ดี อาจได้ลูกที่มีลักษณะด้อยวิธีเลือกพ่อแม่พันธุ์สำหรับ Crossbreedingควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดีและสุขภาพแข็งแรงศึกษาลักษณะของแต่ละสายพันธุ์ก่อนผสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผสมกระต่ายที่มีขนาดแตกต่างกันมาก เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพของลูกกระต่าย**** Cr.I'm So Fancy Rabbitry ตัวอย่างการ Cross breeding เพื่อเป้าหมายการทำ HL สี Lutino ****สรุปเทคนิคจุดเด่นความเสี่ยงเหมาะกับใคร?Inbreeding เพื่อรักษาสายพันธุ์แท้และลักษณะเฉพาะเพิ่มโรคทางพันธุกรรมผู้ที่ต้องการพัฒนาสายพันธุ์แท้Line Breeding รักษาลักษณะพันธุกรรมโดยลดความเสี่ยงหากทำต่อเนื่องอาจลดความแข็งแรงทางพันธุกรรมผู้ที่ต้องการควบคุมสายพันธุ์โดยมีความปลอดภัยมากขึ้นCrossbreedingเพิ่มความแข็งแรง ลดปัญหาทางพันธุกรรมผลลัพธ์คาดเดายากผู้ที่ต้องการสร้างสายพันธุ์ใหม่ หรือพัฒนากระต่ายให้แข็งแรงแนะนำเพิ่มเติมถ้าต้องการพัฒนาสายพันธุ์แท้ ควรใช้ Inbreeding + Line Breeding แต่ต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีถ้าต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกระต่าย ควรใช้ Crossbreedingหลีกเลี่ยงการทำ Inbreeding ติดต่อกันหลายชั่วอายุ เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระต่ายในระยะยาวคุณต้องการใช้วิธีไหนในการเพาะพันธุ์กระต่ายของคุณ? 😊_____________________________________เด็กๆพร้อมย้ายบ้านจากฟาร์มของเราสามารถเข้าชมได้ที่ >>> https://www.repttown.com/stores/s/6208f8a6627da1804d2bf678?store=trueบทความอื่นๆเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกระต่ายและสัตว์ฟันแทะอื่นๆ >>> https://tales.repttown.com/?search=author:Anixoticเขียนโดย Theme Anixotic และ CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Anixotic

โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 25

อ่าน 40 ครั้ง


นกเขาโชโครโร่   หนึ่งในนกเขาที่หายากที่สุดในโลก

นกเขาโชโครโร่ หนึ่งในนกเขาที่หายากที่สุดในโลก

นกเขาโชโครโร่ สูญพันธุ์ไปจากถิ่นกำเนิดเดิมเมื่อราวๆปี 1972 นกเขาโชโครโร่ (Socorro dove - 𝘡𝘦𝘯𝘢𝘪𝘥𝘢 𝘨𝘳𝘢𝘺𝘴𝘰𝘯𝘪) เหลือเฉพาะในที่เลี้ยงไม่กี่แห่งในสวนสัตว์ยุโรป เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์นี้เอาไว้ ทางสวนสัตว์ลอนดอนร่วมมือกับสวนสัตว์หลายแห่งในอังกฤษและเม็กซิโกช่วยกันฟื้นฟูประชากรนกชนิดนี้ก่อนจะส่งกลับถิ่นกำเนิดตอนนี้ถิ่นกำเนิดเดิมอย่างเกาะโชโครโร่ ประเทศเม็กซิโก ยังเต็มไปด้วยฝูงแกะและแมวจรจัด ซึ่งปัญหาใหญ่คือ แกะกับแมวนี่แหละที่ทำให้นกเขาถิ่นเดียวของเกาะนี้ต้องหายไปนานหลายปี แกะได้ทำลายพื้นที่อยู่อาศัย และแมวจรจัดก็ไล่ล่าเก็บกินนกเขาชนิดนี้บนเกาะจนสูญพันธุ์แผนฟื้นฟูประชากรเริ่มต้นในที่เลี้ยง โดยระหว่างนี้หน่วยงานอนุรักษ์ก็ทำการกวาดต้อนเอาแกะออกจากเกาะและกำจัดพวกแมวจรจัดให้หมดจากเกาะก่อน หลังจากที่ประชากรนกเขาโชโครโร่เริ่มดีขึ้น ก็จะทำการนำกลับสู่ถิ่นฐานเดิมเพื่อไม่ให้ติดสถานะว่าสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติReferenceExtinct-in-the-Wild doves welcomed, as part of project to restore the species to the wildhttps://www.londonzoo.org/.../three-extinct-wild-doves...

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 11 ก.พ. 25

อ่าน 2 ครั้ง


นกโดโด้ ไม่ได้โง่ !

นกโดโด้ ไม่ได้โง่ !

ภาพลักษณ์ของเจ้านกโดโด้ (Dodo - 𝘙𝘢𝘱𝘩𝘶𝘴 𝘤𝘶𝘤𝘶𝘭𝘭𝘢𝘵𝘶𝘴) ที่หลายคนคิดกันคือนกหน้าตากลมอ้วนที่ดูซื่อๆ และก็ดูทึ่ม บางคนก็มองว่ามันทึ่มมากจนสูญพันธุ์ไป แต่จะกล่าวว่านกโดโด้เป็นสัตว์ที่โง่ก็ไม่ถูกครับ เพราะเพียงแค่เป็นนกเกาะที่ไม่เคยเห็นคนและสัตว์นอกแผ่นดินตัวเองมาก่อนจึงสูญพันธุ์ไป- นกโดโด้ไม่ใช่นกจำพวกเป็ดหรือไก่แต่อย่างใด แต่นกโดโด้คือนกพิราบชนิดหนึ่งที่บินไม่ได้ ! ซึ่งญาติสนิทที่สุดของนกโดโด้ที่หลงเหลือในปัจจุบันคือ นกชาปีไหน (Nicobar pigeon - 𝘊𝘢𝘭𝘰𝘦𝘯𝘢𝘴 𝘯𝘪𝘤𝘰𝘣𝘢𝘳𝘪𝘤𝘢) นกพิราบป่าที่ชอบใช้ชีวิตหากินทั้งบนต้นไม้และพื้นดินในหมู่เกาะห่างไกลในอันดามัน- เมื่อราว 20 ล้านปีก่อน บรรพบุรุษของนกโดโด้ที่เป็นนกพิราบจำพวกหนึ่งบินอพยพมายังหมู่เกาะแถบมหาสมุทรอินเดีย และหนึ่งในนั้นคือ หมู่เกาะมอริเชียสที่ก่อตัวจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเล สวรรค์บนดินนี้ปราศจากนักล่าและภัยอันตราย ทำให้นกพวกนี้ปรับตัวลงมากินอาหารและใช้ชีวิตบนพื้น นกโดโด้อยู่ร่วมกับเต่ายักษ์ นกแก้ว กิ้งก่า และค้างคาวชนิดต่างๆ- นักบรรพชีวินวิทยาพบว่า นกโดโด้เคยผ่านวิกฤติภัยแล้งครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นราว 4,500 ปีก่อน ในตอนนั้นประชากรของนกโดโด้และสัตว์อื่นๆลดลงไปอย่างน่าใจหาย แต่ประชากรของพวกมันก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง จนกระทั่งการมาเยือนของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์มองว่านกโดโด้ไม่มีพิษภัยแถมไม่กลัวคน จึงทำให้ล่าง่าย และคนบางส่วนก็มาตั้งรกรากพาสัตว์ต่างถิ่นอย่างแมว, ลิง และหนูมาด้วย สัตว์ปศุสัตว์อย่างแพะแกะและหมูก็มา คนและแมวล่านกโดโด้ แพะแกะยึดพื้นที่หากินนกโดโด้ หนู ลิง และหมูกินไข่และลูกนกโดโด้ ทำให้นกโดโด้สูญพันธุ์ไปในที่สุด- ตลอดหลายปี คนก็เปรียบเปรยว่า นกโดโด้เป็นนกทึ่มและโง่เลยสูญพันธุ์ แต่เอาเข้าจริงๆ นกเหล่านี้มีอะไรน่าสนใจมาก นักบรรพชีวินวิทยาพบว่า กล่องสมองของนกโดโด้มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว บ่งบอกว่ามันฉลาดไม่น้อย และรูปร่างมันก็ไม่ได้อ้วน แต่เต็มไปด้วยกลามเนื้อแน่นเหมือนนกกระจอกเทศ จึงทำให้นกโดโด้เวอร์ชั่นล่าสุดปี 2022 ดูสง่างามแบบตัวในภาพมากกว่านกอ้วน- แม้เวลาจะผ่านไป นกโดโด้ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งการย้ำเตือนว่า เราคือสาเหตุที่ทำให้นกเหล่านี้ต้องจากโลกนี้ไป เพียงเพื่อเป็นอาหารและมองว่าพวกมันไร้ทางสู้จะทำอย่างไรกับมันก็ยังได้ และขึ้นชื่อว่ามนุษย์ อะไรที่พิเรนทร์มีได้เสมอหากกระทำกับสัตว์แบบนั้น ยากจะจินตนาการให้นึกขึ้นมาได้แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://youtu.be/0EBFpj60LRY?si=DE47j-35dyG1vgPZhttps://www.nationalgeographic.com/.../the-dodo-gets-a...https://museummodelmaking.wordpress.com/2021/12/19/dodo/

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 16 ครั้ง


ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบ

ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบ

ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบหากน้องตัวนี้เกิดในประเทศไทย อาจมีถูกจับไปขอหวยขอเลขเด็ดกันแน่นอน ที่เห็นอยู่ในภาพนี้คือ ลูกอ๊อดของกบบูลฟร็อกอเมริกา (American bullfrog - 𝘓𝘪𝘵𝘩𝘰𝘣𝘢𝘵𝘦𝘴 𝘤𝘢𝘵𝘦𝘴𝘣𝘦𝘪𝘢𝘯𝘶𝘴) ที่เติบโตเกินขนาดกว่าปกติ ! ยาวเกือบ 10 นิ้วจะขนาดเท่ากล้วยหอมแล้ว ! ซึ่งมันใหญ่ใกล้เคียงกับกบตัวเต็มวัยเลย ทว่ากลับไม่มีการพัฒนาตัวให้กลายเป็บกบตัวเต็มวัย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าลูกอ๊อดตัวนี้กันแน่ ?- กระบวนการกลายสภาพหรือ Metamorphosis ของกบนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยการเหนี่ยวนำของฮอร์โมนตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า ฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid hormone) หรือฮอร์โมน TSH จากต่อมไทรอยด์กระตุ้นการพัฒนาตัว ด้วยปัจจัยของอุณหภูมิ แสง และสารอาหารที่ลูกอ๊อดกินเข้าไป กระตุ้นฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตจากลูกอ๊อดเป็นกบเต็มวัย- ในกรณีของลูกอ๊อดยักษ์นั้น บางทีมีสาเหตุได้ 2 สาเหตุ สาเหตุแรกคือ ต่อมไทรอยด์มีปัญหาที่ควบคุมฮอร์โมนในการพัฒนาตัวไม่ดีพอ จนทำให้ลูกอ๊อดขยายร่างเอาแต่ไม่พัฒนาส่วนอวัยวะอย่างขาขึ้นมา กับอีกสาเหตุคือ ปัจจัยโดยรอบไม่กระตุ้นฮอร์โมนเอง น้ำอาจเย็นไป หรือแสงไม่มากพอจะกระตุ้น ขณะเดียวกันสารอาหารไม่เกี่ยว เพราะพวกนี้ถ้าได้สารอาหารน้อยมันก็จะตาย แต่ถ้าตัวโตขนาดนี้แปลว่ามันกินอาหารมาก- เมื่อกบตัวเต็มวัยแล้ว ฮอร์โมนไทรอยด์จะหยุดทำงานเรื่องการเจริญเติบโตทันที ลองกลับมาดูเจ้าลูกอ๊อดยักษ์ ถึงตัวจะโตขึ้นแต่ทุกอย่างในร่างกายก็ยังคงสภาพเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดออกมา และมันก็สามารถอยู่ได้นานเป็นปี เคยมีรายงานว่าลูกอ๊อดยักษ์แบบไม่กลายสภาพสามารถอยู่ได้เกือบ 8 ปี ! เป็นเรื่องสุดแปลกและมหัศจรรย์มาก !แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.americanscientist.org/.../the-giant-tadpole...https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6521741/https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK9986/https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK10035/

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 3 ครั้ง


"นกกระจอกเทศ" ไม่ได้เอาหัวมุดดิน ! เรื่องน่าสนใจของนกยักษ์

"นกกระจอกเทศ" ไม่ได้เอาหัวมุดดิน ! เรื่องน่าสนใจของนกยักษ์

"นกกระจอกเทศ" ไม่ได้เอาหัวมุดดิน !เรื่องน่าสนใจของนกยักษ์หลายคนโตมากับเรื่องนกกระจอกเทศเอาหัวมุดดินกันบ้างหรือไม่ ? ซึ่งความจริงแล้วนกกระจอกเทศทำแบบนั้นไม่ได้ครับ นกกระจอกเทศเป็นนกมหัศจรรย์ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเหล่าสัตว์ยักษ์มากมายในทุ่งหญ้าซาวันน่าแอฟริกา ตัวผู้สีดำ ตัวเมียสีน้ำตาล เป็นนกที่มีฟองไข่ใหญ่เท่ากับไข่ไก่จำนวน 24 ฟองรวมกันแต่สมาชิกกลุ่มนี่ตัวอะไรก็คงไม่อยากอ่านเรื่องพื้นๆของนกกระจอกเทศที่หาได้ในสวนสัตว์ สารานุกรมเล่มโตหรือสารคดีสัตว์โลกเป็นแน่ แอดบิวเชื่อว่าทุกคนอยากรู้เรื่องสัปดนและเรื่องแปลกชวนอ้าปากกันมากกว่า งั้นจะทำเหตุผลเรื่องหัวมุดดินไม่ได้เรื่องนึง และอีกสามเรื่องเป็นเรื่องแปลกๆ* ไม่ได้เอาหัวมุดดินจริง ! : นกกระจอกเทศนั้นเวลาก้มหัวจากระยะไกลๆ มองผิวเผินแล้วคนก็คิดว่าพวกมันเอาหัวฝังกลบในดินเพื่อหนีสายตาจากนักล่า ทำตัวเนียนเป็นพุ่มไม้ขนาดใหญ่ แต่ความจริงแล้ว นกกระจอกเทศเป็นนกที่ช่วงคอยาวแต่แคบ ทั้งมีจะงอยปากที่ใหญ่ ทำให้เวลากินอาหารมักจะเลือกตามพื้นดินเป็นหลักดังนั้นเรื่องที่นกกระจอกเทศเอาหัวมุดดินจึงไม่เป็นความจริงนั่นเองครับ พวกมันแค่ก้มหาของกินในท้องทุ่งแบบขยับตัวน้อย คนก็เลยคิดว่าพวกมันเอาหัวฝังไว้ใต้ทรายหรือดินนั่นเองต่อไปนี้เป็นเรื่องแปลกและสัปดนของนกกระจอกเทศละนะ นับหนึ่งถึงสามในใจแล้วอ่านบันทึกล่างกันเลย พ่อแม่ผู้ปกครองที่หาเรื่องไปเล่าให้น้องๆฟังค่อยๆพิจารณาด้วยนะครับ....1.มีกระปู๋ ! : นกกระจอกเทศเป็นนกเพียง 3% ของนกทั้งหมด 10,000 กว่าชนิดในโลกที่มีอวัยวะเพศคล้ายกับกระปู๋ ซึ่งเรียกว่า "Hemipenis" โดยท่ออวัยวะไม่ได้อยู่ตรงปลายแบบของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างมนุษย์ แต่ท่อเปิดอยู่ตำแหน่งใต้ฐานกระปู๋นั่นเอง ซึ่งนกกระจอกเทศเป็นสัตว์ที่มีทวารรวม (Cloaca) ที่ใช้ขับถ่ายและสืบพันธุ์ช่องเดียว ซึ่งนกกระจอกเทศตัวผู้มีเจ้ากระปู๋เทียมยาวถึง 18-20 นิ้ว !เวลานกกระจอกเทศผสมพันธุ์นั้นจะทำนองเดียวกับนกอื่นๆ เพียงแต่เพื่อประสิทธิภาพในการถ่ายทอดพันธุกรรม นกกระจอกเทศตัวผู้เลยวิวัฒนาการอวัยวะเพศแบบสุดจัดขนาดนี้มาในรูปแบบการผสมพันธุ์แบบฮาเร็มของพ่อนกกระจอกเทศ2.สมองเล็กกว่าลูกตา ! : นกกระจอกเทศเป็นสัตว์บกที่มีดวงตาใหญ่ที่สุดในโลก ดวงตานกกระจอกเทศแต่ละข้างนั้นมีน้ำหนักพอๆกับลูกเทนนิส เพื่อการมองที่มีประสิทธิภาพ และมีเปลือกตาพิเศษที่กันฝุ่นละอองทรายได้ด้วย ทว่าขนาดดวงตาต้องแลกกับเนื้อที่สมองที่เล็กกว่าเดิม ทำให้นกกระจอกเทศเป็นนกที่มีขนาดสมองเล็กเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวถึงกระนั้น ไม่ใช่ว่านกกระจอกเทศจะโง่นะ นกกระจอกเทศนั้นจดจำคนได้ ว่าคนไหนคนเลี้ยง คนไหนคือคนที่นกเกลียด นกกระจอกเทศก็สามารถเลือกปฏิบัติได้ แถมนกกระจอกเทศยังแยกแยะสีสันได้ด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆเจ้านกยักษ์3.คอเกือบขาดแต่ไม่ตาย ! : นกกระจอกเทศขึ้นชื่อว่าเป็นนกที่ภูมิคุ้มกันร่างกายดีมาก ดีถึงขั้นว่าถ้าเป็นแผลใหญ่ลำคอจนเกือบคอขาดแล้วก็ยังสบายดี ! ยังไงน่ะเหรอ เคยมีเคสหนึ่งในฟาร์มนกกระจอกเทศที่ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น มีนกกระจอกเทศประสบอุบัติเหตุเป็นแผลใหญ่บนลำคอจนเกือบขาดสัตวแพทย์ทำการผ่าตัดเย็บแผลทั้งภายในและภายนอก พักฟื้นระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เจ้านกก็กลับมากินอาหารได้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ! และในทางการแพทย์ยังมีคนสนใจฮอร์โมนในนกกระจอกเทศที่ช่วยบำรุงเรื่องการเกิดเส้นผมในคนหัวล้านด้วย ! นกกระจอกเทศเป็นสัตว์ที่มหัศจรรย์จริงๆReference10 Fun Facts About Ostriches – Swift Runners of the Plainshttps://www.ultimatekilimanjaro.com/10-fun-facts-about.../The Largest Bird On Earth Also Has The Largest Eyes Of Any Land Animalhttps://www.iflscience.com/the-largest-bird-on-earth-also...Ostrich penis clears up evolutionary mysteryhttps://www.nature.com/articles/nature.2011.9600Application of Ostrich Antibodies to the Restoration of Hair Growth, a Preliminary and Case Reporthttps://www.scirp.org/journal/paperinformation?paperid=87898Wild Life สัตวแพทย์มือใหม่ หัวใจเมโลดี้ เล่ม 7 ตอนเกี่ยวกับนกกระจอกเทศ

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 02 ก.พ. 25

อ่าน 1 ครั้ง


นกเพนกวินแอฟริกา นกที่เสี่ยงจะสูญพันธุ์ใน 2035

นกเพนกวินแอฟริกา นกที่เสี่ยงจะสูญพันธุ์ใน 2035

เป็นเรื่องน่าเศร้าของการประเมินสถานภาพสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ระดับโลกจาก IUCN Red List ทีมีการประกาศออกมาว่า นกเพนกวินแอฟริกา (African penguin - 𝘚𝘱𝘩𝘦𝘯𝘪𝘴𝘤𝘶𝘴 𝘥𝘦𝘮𝘦𝘳𝘴𝘶𝘴) ประกาศปรับสถานะจากใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) เป็นใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically endangered) ถือว่าสถานภาพแย่ลงเรื่อยๆสาเหตุนั้นมาจากการที่สภาพแวดล้อมในทะเลเปิดรอบแอฟริกาใต้มีการแปรปรวนบ่อยครั้ง มีการทำประมงแบบอุตสาหรกรรมมากขึ้น ทั้งนี้เรื่องอาหารและแหล่งทำรังของนกเพนกวินก็น้อยลง ทำให้ประชากรนกเพนกวินแอฟริกาลดจำนวนลงจากประชากรเดิมไปเกือบ 70% ! ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการคุกคามต่อประชากรนกเพนกวินที่เหลือในธรรมชาติแค่ 20,000 ตัวเท่านั้น ฟังดูอาจจะเยอะ แต่ประชากรเลขนี้กับนกที่มีประมาณนี้ถือว่าน่าห่วงสุดๆทางหน่วยงานอนุรักษ์สัตว์ เริ่มมีการวางแผนพื้นที่อ่าวห้ามจับปลาที่เป็นแหล่งหากินของนกเพนกวินแอฟริกา เพื่อฟื้นฟูให้นกเพนกวินได้อาหารและขยายพันธุ์กันเพิ่มขึ้น ตั้งพื้นที่อนุรักษ์ป้องกันไม่ให้คนคุกคามนกเพนกวิน ทั้งยังควบคุมเรื่องเอเลี่ยนสปีชีส์อย่างพวกแมวและสุนัขจรจัดที่จะมีผลต่อประชากรนกเพนกวินด้วย อนาคตของนกเพนกวินพวกนี้ขึ้นอยู่กับการปกป้องของมนุษย์แล้วแหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://phys.org/news/2024-11-african-penguins-extinct.html

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 25

อ่าน 0 ครั้ง


นกแก้วมาคอว์แดง นกผู้รักลูกไม่เท่ากัน !

นกแก้วมาคอว์แดง นกผู้รักลูกไม่เท่ากัน !

การตัดสินอนาคตของลูกอยู่ที่พ่อแม่ ในสัตว์หลายชนิดมักกำหนดว่าลูกตัวไหนมีโอกาสเติบโตมากสุดก็พร้อมทุ่มเทให้ ขณะที่ตัวที่อ่อนแอจะค่อยๆถูกลืมลงจนบางทีไม่มีอาจได้มีชีวิตรอดจนเติบใหญ่ ซึ่งนกแก้วมาคอว์แดง (Scarlet macaw - 𝘈𝘳𝘢 𝘮𝘢𝘤𝘢𝘰) คือหนึ่งในตัวอย่างของสัตว์ที่มีพฤติกรรมนั้นออกมา แม้ว่านักวิจัยและคนในวงการ Psittaculture จะรู้กันดี แต่งานวิจัยใหม่ก็เพิ่งตีพิมพ์ออกมาไม่นานนกแก้วมาคอว์แดงแต่ละคู่จะออกไข่ราวๆ 3-4 ฟองโดยเฉลี่ย เมื่อลูกนกฟักออกมา พบว่าพ่อแม่นกให้ความสำคัญกับนกตัวที่แข็งแรงที่สุดในแต่ละครอก ขณะที่ลูกนกตัวอื่นๆจะมีความสำคัญน้อยลงไป แต่ความเสี่ยงมากตามลำดับจำนวนตัว ซึ่งนักวิจัยเขาคิดเป็นอัตราส่วน 26% ของกรณีที่มีลูกนกสองตัว และคิดอัตราส่วน 45% กรณีที่มีลูกนกจำนวนมาก ก็คือ ลูกตัวที่สองจนถึงตัวสุดท้ายนั้นจะมีความสำคัญน้อยลง ได้กินอาหารเหมือนกันแต่ปริมาณไม่เท่ากัน จะไปเน้นที่นกตัวที่แข็งแรงสุดหรือนกที่เป็นพี่คนโตในครอกนั้นๆ ทั้งนี้เป็นการคัดสรรโดยธรรมชาติที่พ่อแม่นกมองอนาคตของตัวที่จะทำให้เผ่าพันธุ์ยืนยาวขึ้นวิธีที่ทำให้อัตราส่วนการตายไม่เกิดเลยคือ พ่อแม่บุญธรรม แต่ทำแบบนั้นกับนกในธรรมชาติยากมาก มักเกิดในกรณีของนกในที่เลี้ยงมากกว่า ไม่ใช่แค่นกแก้วมาคอว์แดงเท่านั้น ในวงการ Psittaculture ก็พบเรื่องของนกที่รักลูกไม่เท่ากันบ่อยครั้งจึงมีการแยกลูกออกมาเลี้ยงแบบลูกป้อนต่างหากเพื่อให้เจริญเติบโตแบบสมบูรณ์แข็งแรงแหล่งข้อมูลอ้างอิงGabriela Vigo-Trauco et al, Age Difference, Not Food Scarcity or Sibling Interactions, May Drive Brood Reduction in Wild Scarlet Macaws in Southeastern Peru, Diversity (2024).https://www.mdpi.com/1424-2818/16/11/657

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 25

อ่าน 0 ครั้ง


รู้หรือไม่??? โคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสบนกิ่งเท่านั้น !"  พฤติกรรมกินอาหารของโคอาล่า 🐨

รู้หรือไม่??? โคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสบนกิ่งเท่านั้น !" พฤติกรรมกินอาหารของโคอาล่า 🐨

รู้หรือไม่ โคอาล่า (Koala - 𝘗𝘩𝘢𝘴𝘤𝘰𝘭𝘢𝘳𝘤𝘵𝘰𝘴 𝘤𝘪𝘯𝘦𝘳𝘦𝘶𝘴) นั้นค่อนข้างจุกจิกเรื่องการกินอาหารอยู่ไม่น้อย นอกจากเรื่องมากที่เลือกกินใบยูคาลิปตัสแค่ 600 ชนิดแล้ว (เยอะนะ) พวกมันยังมีนิสัยการกินอาหารที่เรื่องมาก ก็คือหากเราเอาใบยูคาลิปตัสวางบนถาดอาหารให้โคอาล่ากิน โคอาล่าจะไม่ยอมทานถ้าหากไม่อยู่บนกิ่งต้น ! มีงี้ด้วย• เหตุผลนั้นก็เพราะว่า ใบยูคาลิปตัสที่เป็นแหล่งอาหารของโคอาล่านั้นเมื่อหลุดออกจากต้นแล้ว มันจะเกิดการคลายน้ำไวมากทำให้ใบไม้แห้งเร็ว และกลิ่นเปลี่ยนจนโคอาล่าไม่ค่อยจะสนใจใบยูคาลิปตัสที่เด็ดเป็นใบๆแล้วนั่นเอง ซึ่งอารมณ์เหมือนคนกินมาม่าโดยไม่ต้มก่อนอะไรประมาณนั้น• ในหนึ่งวันโคอาล่าต้องกินยูคาลิปตัสมากถึง 200-500 กรัมต่อวัน ด้วยระบบทางเดินลำไส้ที่ยาวกว่า 2 เมตร ทำให้พวกมันดูดซึมสารอาหารจากใบได้ แต่ต้องแลกกับการเจอสารอาหารอันน้อยนิดและสารพิษที่มีในใบยูคาลิปตัส เลยทำให้มันต้องนอนหลับวันนึงเกือบ 22 ชั่วโมงต่อวันเพื่อรักษาพลังงานไปกับการย่อยใบยูคาลิปตัสที่กิน• เรื่องนึงที่น่าสนใจเลยคือ โคอาล่านั้นมีภูมิคุ้มกันร่างกายในการขับสารพิษออกไป โดยภูมิคุ้มกันสร้างโปรตีนแบบพิเศษขึ้นมาเพื่อต่อต้านสารพิษในใบยูคาลิปตัสออกไป แต่ในทางตรงกันข้าม หากโคอาล่าป่วยขึ้นมาแล้วต้องฉีดยาละก็ ร่างกายมันจะขับยาออกไปจนหมดเลย เลยทำให้โคอาล่าเป็นสัตว์ที่เลี้ยงยากหากเวลาป่วยขึ้นมานั่นเอง• ความแปลกของมาร์ซูเปียลคือกุญแจสำคัญในการอยู่รอด โคอาล่านั้นสามารถดำรงชีวิตและปรับตัวอยู่โลกนี้มานานแสนนานมาก แต่อนาคตของพวกมันไม่ได้แน่นอนเสมอไป พวกมันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แล้วในปัจจุบันนี้ReferenceIs it true that Koala are so dumb that they can't recognise eucalyptus leaves unless they're still attached to the tree?https://www.quora.com/Is-it-true-that-Koala-bears-are-so...The Koalas’ Diet & Digestionhttps://www.savethekoala.com/about.../koalas-diet-digestion/Effects of Eucalypt Plant Monoterpenes on Koala (Phascolarctos Cinereus) Cytokine Expression In Vitrohttps://www.nature.com/articles/s41598-019-52713-5Koalas Eat Toxic Leaves to Survive—Now Scientists Know Howhttps://www.nationalgeographic.com/.../scientists...

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 28 ม.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง


เมื่อความน่ารักไม่ได้มีแค่ในการ์ตูน มังกรเขี้ยวกุดในชีวิตจริง "จิ้งเหลนจระเข้ตาแดง"

เมื่อความน่ารักไม่ได้มีแค่ในการ์ตูน มังกรเขี้ยวกุดในชีวิตจริง "จิ้งเหลนจระเข้ตาแดง"

ปกติแล้วเวลาเพื่อนๆดูหนังหรือการ์ตูนที่ชอบ เราก็อาจจะอินมากจนอยากดูซ้ำหรือเก็บสะสมสิ่งที่ระลึกจากหนังซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทำใช่ไหม?แต่สำหรับคนที่ชอบน้อง "เขี้ยวกุด ( Night fury )" จากภาพยนตร์แอนิเมชั่นชื่อดังอย่าง "How to train you dragon"แอดมินอยากแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกับ "จิ้งเหลนจระเข้ตาแดง ( Red Eyed Crocodile Skink )"ถึงแม้ในชื่อจะมีคำว่าจระเข้แต่จริงๆแล้วน้องนิสัยไม่ดุร้ายและกินแมลงเป็นอาหาร เป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงที่แอดมินชอบมากและก็ยังอยากเลี้ยงอยู่แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่น้องต้องการอย่างอากาศชื้นและเย็น แอดมินจึงไม่สะดวกที่จะเลี้ยงน้องจริงๆได้แต่ติดตามใน Social Mediaแอดมินจะนำเช๊คลิสต์สำหรับคนที่ต้องการเลี้ยงน้องมาแปะไว้ให้- ถังขนาด 15-20 แกลลอน หรือ Terrarium พร้อมพื้นที่ใส่ดิน- วัสดุรองที่ชื้น เช่น คลุมด้วยหญ้าไซเปรส สแฟกนั่มมอส ดิน หรือที่รองประเภทมะพร้าว- จานน้ำแบนกว้างและน้ำสะอาดสำหรับให้น้องดื่มและลงไปเล่น- ที่ซ่อนตัว เช่น เปลือกไม้ไม่มียาง กาบมะพร้าว เศษไม้ Hidebox แบบพลาสติก- อุณหภูมิคงที่ระหว่าง 23-27 องศา- พ่นหมอกทุกวันหรือสองครั้งเพื่อคงความชื้นในอากาศ- อาหารแมลงหลากหลายชนิดให้อาหาร 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ในช่วงเย็นที่น้องออกหากินสำหรับใครที่มีความพร้อมก็ลุยได้เลย อย่าลืมส่งภาพมาให้แอดมินชมด้วยน้าาRepttown.comเว็บไซต์สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงที่ครบจบตั้งแต่ซื้อขายไปจนถึงบริการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับคนรักสัตว์เลี้ยงมีผู้ใช้งานไม่ต่ำกว่า 35,000 user/เดือน และ มีฟาร์มที่ผ่านการยืนยันตัวตนไม่ต่ำกว่า 950+ ฟาร์ม

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 14 ม.ค. 25

อ่าน 3 ครั้ง

REPTALES v1.0.2 by ReptTown
All Right Reserved