

จิงโจ้หนูมัสกี้ จิงโจ้ที่ตัวเล็กที่สุดในโลกและต้นกำเนิดการกระโดดของจิงโจ้
ขอเชิญทุกคนพบกับมาโครพอด (Macropod) มาร์ซูเปียลหรือสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องผู้เป็นต้นกำเนิดการกระโดดแรกเริ่มของจิงโจ้กัน นั้นก็คือ "จิงโจ้หนูมัสกี้" (Musky rat-kangaroo - 𝘏𝘺𝘱𝘴𝘪𝘱𝘳𝘺𝘮𝘯𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘮𝘰𝘴𝘤𝘩𝘢𝘵𝘶𝘴) สัตว์พื้นเมืองออสเตรเลียที่พบได้เฉพาะในป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป จิงโจ้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวนี้เป็นต้นแบบการกระโดดสองขาหลังของจิงโจ้และวัลลาบี้ที่ตัวใหญ่ได้อย่างไร ? • ตระกูลของหนูจิงโจ้นั้นเป็นตระกูลเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโอลิโกซีน นามว่า Hypsiprymnodontidae ซึ่งวงศ์นี้เคยมีมาร์ซูเปียลนักล่าหรือจิงโจ้กินเนื้อเป็นสมาชิกวงศ์หลัง แต่พวกนั้นก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จนเหลือแค่จิงโจ้หนูมัสกี้เพียงชนิดเดียวบนโลกนี้มาตั้งแต่ 20 ล้านปีแล้ว ซึ่งเรียกว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอย่างหนึ่งก็ว่าได้เลยครับ• ชื่อมัสกี้ก็มาจากกลิ่นตัวเป็นเอกลักษณ์ที่ปล่อยออกมาหึ่งเหมือนกับกวางชะมด กลิ่นนี้มีไว้เพื่อสื่อสารกันในช่วงฤดูหาคู่และยังบอกสถานะของแต่ละตัว อีกทั้งยังใช้ป้องกันตัวเวลาถูกคุกคามจากนักล่าตัวใหญ่กว่า ที่น่าสนใจกว่าชื่อก็คือ มันเป็นมาร์ซูเปียลผู้เป็นต้นแบบการเคลื่อนไหวของจิงโจ้แรกเริ่ม• ปกติแล้วพวกตระกูลมาโครพอดทั้งหมดจะกระโดดด้วยสองขาหลังได้ แม้แต่จิงโจ้กินเนื้อญาติของจิงโจ้หนูมัสกี้ก็โดดสองขาหลังได้ แต่จิงโจ้หนูมัสกี้เคลื่อนไหวสี่ขา ไม่มีท่ากระโดดสองขาหลัง โดยขยับขาหน้าไปข้างหน้าพร้อมกัน แล้วตามด้วยขาหลังสองข้างขยับไปข้างหน้าด้วยกัน ซึ่งเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวดั้งเดิมของพวกจิงโจ้ในท่าปกติก่อนจะวิวัฒนาการด้านการกระโดดสองขา • เจ้าสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ไม่จำเป็นต้องกระโดดไกลมากเมื่ออยู่ในป่า พวกมันตัวเล็กและหากินอาหารจำพวกผลไม้และเห็ดตามพื้นดินอย่างสงบ ถือเป็นรอยต่อสำคัญของวิวัฒนาการการปรับตัวของสัตว์ในทวีปออสเตรเลียที่สำคัญ ว่าแม้ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนไป แต่ที่นี่บางอย่างยังคงสภาพเหมือนเดิม PIC CR. Ray wilson Reference'Musky' marsupial could solve hopping kangaroo mysteryhttps://phys.org/.../2025-03-musky-marsupial-kangaroo...Musky Rat-Kangaroo - Facts, Diet, Habitat & Pictures on Animalia.biohttps://animalia.bio/index.php/musky-rat-kangarooMeet the musky rat-kangaroo, our smallest kangaroohttps://www.australiangeographic.com.au/.../meet-the.../
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง



นกเขาโชโครโร่ หนึ่งในนกเขาที่หายากที่สุดในโลก
นกเขาโชโครโร่ สูญพันธุ์ไปจากถิ่นกำเนิดเดิมเมื่อราวๆปี 1972 นกเขาโชโครโร่ (Socorro dove - 𝘡𝘦𝘯𝘢𝘪𝘥𝘢 𝘨𝘳𝘢𝘺𝘴𝘰𝘯𝘪) เหลือเฉพาะในที่เลี้ยงไม่กี่แห่งในสวนสัตว์ยุโรป เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์นี้เอาไว้ ทางสวนสัตว์ลอนดอนร่วมมือกับสวนสัตว์หลายแห่งในอังกฤษและเม็กซิโกช่วยกันฟื้นฟูประชากรนกชนิดนี้ก่อนจะส่งกลับถิ่นกำเนิดตอนนี้ถิ่นกำเนิดเดิมอย่างเกาะโชโครโร่ ประเทศเม็กซิโก ยังเต็มไปด้วยฝูงแกะและแมวจรจัด ซึ่งปัญหาใหญ่คือ แกะกับแมวนี่แหละที่ทำให้นกเขาถิ่นเดียวของเกาะนี้ต้องหายไปนานหลายปี แกะได้ทำลายพื้นที่อยู่อาศัย และแมวจรจัดก็ไล่ล่าเก็บกินนกเขาชนิดนี้บนเกาะจนสูญพันธุ์แผนฟื้นฟูประชากรเริ่มต้นในที่เลี้ยง โดยระหว่างนี้หน่วยงานอนุรักษ์ก็ทำการกวาดต้อนเอาแกะออกจากเกาะและกำจัดพวกแมวจรจัดให้หมดจากเกาะก่อน หลังจากที่ประชากรนกเขาโชโครโร่เริ่มดีขึ้น ก็จะทำการนำกลับสู่ถิ่นฐานเดิมเพื่อไม่ให้ติดสถานะว่าสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติReferenceExtinct-in-the-Wild doves welcomed, as part of project to restore the species to the wildhttps://www.londonzoo.org/.../three-extinct-wild-doves...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 11 ก.พ. 25
อ่าน 2 ครั้ง

นกโดโด้ ไม่ได้โง่ !
ภาพลักษณ์ของเจ้านกโดโด้ (Dodo - 𝘙𝘢𝘱𝘩𝘶𝘴 𝘤𝘶𝘤𝘶𝘭𝘭𝘢𝘵𝘶𝘴) ที่หลายคนคิดกันคือนกหน้าตากลมอ้วนที่ดูซื่อๆ และก็ดูทึ่ม บางคนก็มองว่ามันทึ่มมากจนสูญพันธุ์ไป แต่จะกล่าวว่านกโดโด้เป็นสัตว์ที่โง่ก็ไม่ถูกครับ เพราะเพียงแค่เป็นนกเกาะที่ไม่เคยเห็นคนและสัตว์นอกแผ่นดินตัวเองมาก่อนจึงสูญพันธุ์ไป- นกโดโด้ไม่ใช่นกจำพวกเป็ดหรือไก่แต่อย่างใด แต่นกโดโด้คือนกพิราบชนิดหนึ่งที่บินไม่ได้ ! ซึ่งญาติสนิทที่สุดของนกโดโด้ที่หลงเหลือในปัจจุบันคือ นกชาปีไหน (Nicobar pigeon - 𝘊𝘢𝘭𝘰𝘦𝘯𝘢𝘴 𝘯𝘪𝘤𝘰𝘣𝘢𝘳𝘪𝘤𝘢) นกพิราบป่าที่ชอบใช้ชีวิตหากินทั้งบนต้นไม้และพื้นดินในหมู่เกาะห่างไกลในอันดามัน- เมื่อราว 20 ล้านปีก่อน บรรพบุรุษของนกโดโด้ที่เป็นนกพิราบจำพวกหนึ่งบินอพยพมายังหมู่เกาะแถบมหาสมุทรอินเดีย และหนึ่งในนั้นคือ หมู่เกาะมอริเชียสที่ก่อตัวจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเล สวรรค์บนดินนี้ปราศจากนักล่าและภัยอันตราย ทำให้นกพวกนี้ปรับตัวลงมากินอาหารและใช้ชีวิตบนพื้น นกโดโด้อยู่ร่วมกับเต่ายักษ์ นกแก้ว กิ้งก่า และค้างคาวชนิดต่างๆ- นักบรรพชีวินวิทยาพบว่า นกโดโด้เคยผ่านวิกฤติภัยแล้งครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นราว 4,500 ปีก่อน ในตอนนั้นประชากรของนกโดโด้และสัตว์อื่นๆลดลงไปอย่างน่าใจหาย แต่ประชากรของพวกมันก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง จนกระทั่งการมาเยือนของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์มองว่านกโดโด้ไม่มีพิษภัยแถมไม่กลัวคน จึงทำให้ล่าง่าย และคนบางส่วนก็มาตั้งรกรากพาสัตว์ต่างถิ่นอย่างแมว, ลิง และหนูมาด้วย สัตว์ปศุสัตว์อย่างแพะแกะและหมูก็มา คนและแมวล่านกโดโด้ แพะแกะยึดพื้นที่หากินนกโดโด้ หนู ลิง และหมูกินไข่และลูกนกโดโด้ ทำให้นกโดโด้สูญพันธุ์ไปในที่สุด- ตลอดหลายปี คนก็เปรียบเปรยว่า นกโดโด้เป็นนกทึ่มและโง่เลยสูญพันธุ์ แต่เอาเข้าจริงๆ นกเหล่านี้มีอะไรน่าสนใจมาก นักบรรพชีวินวิทยาพบว่า กล่องสมองของนกโดโด้มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว บ่งบอกว่ามันฉลาดไม่น้อย และรูปร่างมันก็ไม่ได้อ้วน แต่เต็มไปด้วยกลามเนื้อแน่นเหมือนนกกระจอกเทศ จึงทำให้นกโดโด้เวอร์ชั่นล่าสุดปี 2022 ดูสง่างามแบบตัวในภาพมากกว่านกอ้วน- แม้เวลาจะผ่านไป นกโดโด้ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งการย้ำเตือนว่า เราคือสาเหตุที่ทำให้นกเหล่านี้ต้องจากโลกนี้ไป เพียงเพื่อเป็นอาหารและมองว่าพวกมันไร้ทางสู้จะทำอย่างไรกับมันก็ยังได้ และขึ้นชื่อว่ามนุษย์ อะไรที่พิเรนทร์มีได้เสมอหากกระทำกับสัตว์แบบนั้น ยากจะจินตนาการให้นึกขึ้นมาได้แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://youtu.be/0EBFpj60LRY?si=DE47j-35dyG1vgPZhttps://www.nationalgeographic.com/.../the-dodo-gets-a...https://museummodelmaking.wordpress.com/2021/12/19/dodo/
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25
อ่าน 16 ครั้ง

ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบ
ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบหากน้องตัวนี้เกิดในประเทศไทย อาจมีถูกจับไปขอหวยขอเลขเด็ดกันแน่นอน ที่เห็นอยู่ในภาพนี้คือ ลูกอ๊อดของกบบูลฟร็อกอเมริกา (American bullfrog - 𝘓𝘪𝘵𝘩𝘰𝘣𝘢𝘵𝘦𝘴 𝘤𝘢𝘵𝘦𝘴𝘣𝘦𝘪𝘢𝘯𝘶𝘴) ที่เติบโตเกินขนาดกว่าปกติ ! ยาวเกือบ 10 นิ้วจะขนาดเท่ากล้วยหอมแล้ว ! ซึ่งมันใหญ่ใกล้เคียงกับกบตัวเต็มวัยเลย ทว่ากลับไม่มีการพัฒนาตัวให้กลายเป็บกบตัวเต็มวัย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าลูกอ๊อดตัวนี้กันแน่ ?- กระบวนการกลายสภาพหรือ Metamorphosis ของกบนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยการเหนี่ยวนำของฮอร์โมนตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า ฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid hormone) หรือฮอร์โมน TSH จากต่อมไทรอยด์กระตุ้นการพัฒนาตัว ด้วยปัจจัยของอุณหภูมิ แสง และสารอาหารที่ลูกอ๊อดกินเข้าไป กระตุ้นฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตจากลูกอ๊อดเป็นกบเต็มวัย- ในกรณีของลูกอ๊อดยักษ์นั้น บางทีมีสาเหตุได้ 2 สาเหตุ สาเหตุแรกคือ ต่อมไทรอยด์มีปัญหาที่ควบคุมฮอร์โมนในการพัฒนาตัวไม่ดีพอ จนทำให้ลูกอ๊อดขยายร่างเอาแต่ไม่พัฒนาส่วนอวัยวะอย่างขาขึ้นมา กับอีกสาเหตุคือ ปัจจัยโดยรอบไม่กระตุ้นฮอร์โมนเอง น้ำอาจเย็นไป หรือแสงไม่มากพอจะกระตุ้น ขณะเดียวกันสารอาหารไม่เกี่ยว เพราะพวกนี้ถ้าได้สารอาหารน้อยมันก็จะตาย แต่ถ้าตัวโตขนาดนี้แปลว่ามันกินอาหารมาก- เมื่อกบตัวเต็มวัยแล้ว ฮอร์โมนไทรอยด์จะหยุดทำงานเรื่องการเจริญเติบโตทันที ลองกลับมาดูเจ้าลูกอ๊อดยักษ์ ถึงตัวจะโตขึ้นแต่ทุกอย่างในร่างกายก็ยังคงสภาพเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดออกมา และมันก็สามารถอยู่ได้นานเป็นปี เคยมีรายงานว่าลูกอ๊อดยักษ์แบบไม่กลายสภาพสามารถอยู่ได้เกือบ 8 ปี ! เป็นเรื่องสุดแปลกและมหัศจรรย์มาก !แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.americanscientist.org/.../the-giant-tadpole...https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6521741/https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK9986/https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK10035/
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25
อ่าน 3 ครั้ง

"นกกระจอกเทศ" ไม่ได้เอาหัวมุดดิน ! เรื่องน่าสนใจของนกยักษ์
"นกกระจอกเทศ" ไม่ได้เอาหัวมุดดิน !เรื่องน่าสนใจของนกยักษ์หลายคนโตมากับเรื่องนกกระจอกเทศเอาหัวมุดดินกันบ้างหรือไม่ ? ซึ่งความจริงแล้วนกกระจอกเทศทำแบบนั้นไม่ได้ครับ นกกระจอกเทศเป็นนกมหัศจรรย์ที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเหล่าสัตว์ยักษ์มากมายในทุ่งหญ้าซาวันน่าแอฟริกา ตัวผู้สีดำ ตัวเมียสีน้ำตาล เป็นนกที่มีฟองไข่ใหญ่เท่ากับไข่ไก่จำนวน 24 ฟองรวมกันแต่สมาชิกกลุ่มนี่ตัวอะไรก็คงไม่อยากอ่านเรื่องพื้นๆของนกกระจอกเทศที่หาได้ในสวนสัตว์ สารานุกรมเล่มโตหรือสารคดีสัตว์โลกเป็นแน่ แอดบิวเชื่อว่าทุกคนอยากรู้เรื่องสัปดนและเรื่องแปลกชวนอ้าปากกันมากกว่า งั้นจะทำเหตุผลเรื่องหัวมุดดินไม่ได้เรื่องนึง และอีกสามเรื่องเป็นเรื่องแปลกๆ* ไม่ได้เอาหัวมุดดินจริง ! : นกกระจอกเทศนั้นเวลาก้มหัวจากระยะไกลๆ มองผิวเผินแล้วคนก็คิดว่าพวกมันเอาหัวฝังกลบในดินเพื่อหนีสายตาจากนักล่า ทำตัวเนียนเป็นพุ่มไม้ขนาดใหญ่ แต่ความจริงแล้ว นกกระจอกเทศเป็นนกที่ช่วงคอยาวแต่แคบ ทั้งมีจะงอยปากที่ใหญ่ ทำให้เวลากินอาหารมักจะเลือกตามพื้นดินเป็นหลักดังนั้นเรื่องที่นกกระจอกเทศเอาหัวมุดดินจึงไม่เป็นความจริงนั่นเองครับ พวกมันแค่ก้มหาของกินในท้องทุ่งแบบขยับตัวน้อย คนก็เลยคิดว่าพวกมันเอาหัวฝังไว้ใต้ทรายหรือดินนั่นเองต่อไปนี้เป็นเรื่องแปลกและสัปดนของนกกระจอกเทศละนะ นับหนึ่งถึงสามในใจแล้วอ่านบันทึกล่างกันเลย พ่อแม่ผู้ปกครองที่หาเรื่องไปเล่าให้น้องๆฟังค่อยๆพิจารณาด้วยนะครับ....1.มีกระปู๋ ! : นกกระจอกเทศเป็นนกเพียง 3% ของนกทั้งหมด 10,000 กว่าชนิดในโลกที่มีอวัยวะเพศคล้ายกับกระปู๋ ซึ่งเรียกว่า "Hemipenis" โดยท่ออวัยวะไม่ได้อยู่ตรงปลายแบบของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างมนุษย์ แต่ท่อเปิดอยู่ตำแหน่งใต้ฐานกระปู๋นั่นเอง ซึ่งนกกระจอกเทศเป็นสัตว์ที่มีทวารรวม (Cloaca) ที่ใช้ขับถ่ายและสืบพันธุ์ช่องเดียว ซึ่งนกกระจอกเทศตัวผู้มีเจ้ากระปู๋เทียมยาวถึง 18-20 นิ้ว !เวลานกกระจอกเทศผสมพันธุ์นั้นจะทำนองเดียวกับนกอื่นๆ เพียงแต่เพื่อประสิทธิภาพในการถ่ายทอดพันธุกรรม นกกระจอกเทศตัวผู้เลยวิวัฒนาการอวัยวะเพศแบบสุดจัดขนาดนี้มาในรูปแบบการผสมพันธุ์แบบฮาเร็มของพ่อนกกระจอกเทศ2.สมองเล็กกว่าลูกตา ! : นกกระจอกเทศเป็นสัตว์บกที่มีดวงตาใหญ่ที่สุดในโลก ดวงตานกกระจอกเทศแต่ละข้างนั้นมีน้ำหนักพอๆกับลูกเทนนิส เพื่อการมองที่มีประสิทธิภาพ และมีเปลือกตาพิเศษที่กันฝุ่นละอองทรายได้ด้วย ทว่าขนาดดวงตาต้องแลกกับเนื้อที่สมองที่เล็กกว่าเดิม ทำให้นกกระจอกเทศเป็นนกที่มีขนาดสมองเล็กเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวถึงกระนั้น ไม่ใช่ว่านกกระจอกเทศจะโง่นะ นกกระจอกเทศนั้นจดจำคนได้ ว่าคนไหนคนเลี้ยง คนไหนคือคนที่นกเกลียด นกกระจอกเทศก็สามารถเลือกปฏิบัติได้ แถมนกกระจอกเทศยังแยกแยะสีสันได้ด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆเจ้านกยักษ์3.คอเกือบขาดแต่ไม่ตาย ! : นกกระจอกเทศขึ้นชื่อว่าเป็นนกที่ภูมิคุ้มกันร่างกายดีมาก ดีถึงขั้นว่าถ้าเป็นแผลใหญ่ลำคอจนเกือบคอขาดแล้วก็ยังสบายดี ! ยังไงน่ะเหรอ เคยมีเคสหนึ่งในฟาร์มนกกระจอกเทศที่ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น มีนกกระจอกเทศประสบอุบัติเหตุเป็นแผลใหญ่บนลำคอจนเกือบขาดสัตวแพทย์ทำการผ่าตัดเย็บแผลทั้งภายในและภายนอก พักฟื้นระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เจ้านกก็กลับมากินอาหารได้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ! และในทางการแพทย์ยังมีคนสนใจฮอร์โมนในนกกระจอกเทศที่ช่วยบำรุงเรื่องการเกิดเส้นผมในคนหัวล้านด้วย ! นกกระจอกเทศเป็นสัตว์ที่มหัศจรรย์จริงๆReference10 Fun Facts About Ostriches – Swift Runners of the Plainshttps://www.ultimatekilimanjaro.com/10-fun-facts-about.../The Largest Bird On Earth Also Has The Largest Eyes Of Any Land Animalhttps://www.iflscience.com/the-largest-bird-on-earth-also...Ostrich penis clears up evolutionary mysteryhttps://www.nature.com/articles/nature.2011.9600Application of Ostrich Antibodies to the Restoration of Hair Growth, a Preliminary and Case Reporthttps://www.scirp.org/journal/paperinformation?paperid=87898Wild Life สัตวแพทย์มือใหม่ หัวใจเมโลดี้ เล่ม 7 ตอนเกี่ยวกับนกกระจอกเทศ
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 ก.พ. 25
อ่าน 1 ครั้ง

นกเพนกวินแอฟริกา นกที่เสี่ยงจะสูญพันธุ์ใน 2035
เป็นเรื่องน่าเศร้าของการประเมินสถานภาพสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ระดับโลกจาก IUCN Red List ทีมีการประกาศออกมาว่า นกเพนกวินแอฟริกา (African penguin - 𝘚𝘱𝘩𝘦𝘯𝘪𝘴𝘤𝘶𝘴 𝘥𝘦𝘮𝘦𝘳𝘴𝘶𝘴) ประกาศปรับสถานะจากใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) เป็นใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically endangered) ถือว่าสถานภาพแย่ลงเรื่อยๆสาเหตุนั้นมาจากการที่สภาพแวดล้อมในทะเลเปิดรอบแอฟริกาใต้มีการแปรปรวนบ่อยครั้ง มีการทำประมงแบบอุตสาหรกรรมมากขึ้น ทั้งนี้เรื่องอาหารและแหล่งทำรังของนกเพนกวินก็น้อยลง ทำให้ประชากรนกเพนกวินแอฟริกาลดจำนวนลงจากประชากรเดิมไปเกือบ 70% ! ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการคุกคามต่อประชากรนกเพนกวินที่เหลือในธรรมชาติแค่ 20,000 ตัวเท่านั้น ฟังดูอาจจะเยอะ แต่ประชากรเลขนี้กับนกที่มีประมาณนี้ถือว่าน่าห่วงสุดๆทางหน่วยงานอนุรักษ์สัตว์ เริ่มมีการวางแผนพื้นที่อ่าวห้ามจับปลาที่เป็นแหล่งหากินของนกเพนกวินแอฟริกา เพื่อฟื้นฟูให้นกเพนกวินได้อาหารและขยายพันธุ์กันเพิ่มขึ้น ตั้งพื้นที่อนุรักษ์ป้องกันไม่ให้คนคุกคามนกเพนกวิน ทั้งยังควบคุมเรื่องเอเลี่ยนสปีชีส์อย่างพวกแมวและสุนัขจรจัดที่จะมีผลต่อประชากรนกเพนกวินด้วย อนาคตของนกเพนกวินพวกนี้ขึ้นอยู่กับการปกป้องของมนุษย์แล้วแหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://phys.org/news/2024-11-african-penguins-extinct.html
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง

นกแก้วมาคอว์แดง นกผู้รักลูกไม่เท่ากัน !
การตัดสินอนาคตของลูกอยู่ที่พ่อแม่ ในสัตว์หลายชนิดมักกำหนดว่าลูกตัวไหนมีโอกาสเติบโตมากสุดก็พร้อมทุ่มเทให้ ขณะที่ตัวที่อ่อนแอจะค่อยๆถูกลืมลงจนบางทีไม่มีอาจได้มีชีวิตรอดจนเติบใหญ่ ซึ่งนกแก้วมาคอว์แดง (Scarlet macaw - 𝘈𝘳𝘢 𝘮𝘢𝘤𝘢𝘰) คือหนึ่งในตัวอย่างของสัตว์ที่มีพฤติกรรมนั้นออกมา แม้ว่านักวิจัยและคนในวงการ Psittaculture จะรู้กันดี แต่งานวิจัยใหม่ก็เพิ่งตีพิมพ์ออกมาไม่นานนกแก้วมาคอว์แดงแต่ละคู่จะออกไข่ราวๆ 3-4 ฟองโดยเฉลี่ย เมื่อลูกนกฟักออกมา พบว่าพ่อแม่นกให้ความสำคัญกับนกตัวที่แข็งแรงที่สุดในแต่ละครอก ขณะที่ลูกนกตัวอื่นๆจะมีความสำคัญน้อยลงไป แต่ความเสี่ยงมากตามลำดับจำนวนตัว ซึ่งนักวิจัยเขาคิดเป็นอัตราส่วน 26% ของกรณีที่มีลูกนกสองตัว และคิดอัตราส่วน 45% กรณีที่มีลูกนกจำนวนมาก ก็คือ ลูกตัวที่สองจนถึงตัวสุดท้ายนั้นจะมีความสำคัญน้อยลง ได้กินอาหารเหมือนกันแต่ปริมาณไม่เท่ากัน จะไปเน้นที่นกตัวที่แข็งแรงสุดหรือนกที่เป็นพี่คนโตในครอกนั้นๆ ทั้งนี้เป็นการคัดสรรโดยธรรมชาติที่พ่อแม่นกมองอนาคตของตัวที่จะทำให้เผ่าพันธุ์ยืนยาวขึ้นวิธีที่ทำให้อัตราส่วนการตายไม่เกิดเลยคือ พ่อแม่บุญธรรม แต่ทำแบบนั้นกับนกในธรรมชาติยากมาก มักเกิดในกรณีของนกในที่เลี้ยงมากกว่า ไม่ใช่แค่นกแก้วมาคอว์แดงเท่านั้น ในวงการ Psittaculture ก็พบเรื่องของนกที่รักลูกไม่เท่ากันบ่อยครั้งจึงมีการแยกลูกออกมาเลี้ยงแบบลูกป้อนต่างหากเพื่อให้เจริญเติบโตแบบสมบูรณ์แข็งแรงแหล่งข้อมูลอ้างอิงGabriela Vigo-Trauco et al, Age Difference, Not Food Scarcity or Sibling Interactions, May Drive Brood Reduction in Wild Scarlet Macaws in Southeastern Peru, Diversity (2024).https://www.mdpi.com/1424-2818/16/11/657
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง

รู้หรือไม่??? โคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสบนกิ่งเท่านั้น !" พฤติกรรมกินอาหารของโคอาล่า 🐨
รู้หรือไม่ โคอาล่า (Koala - 𝘗𝘩𝘢𝘴𝘤𝘰𝘭𝘢𝘳𝘤𝘵𝘰𝘴 𝘤𝘪𝘯𝘦𝘳𝘦𝘶𝘴) นั้นค่อนข้างจุกจิกเรื่องการกินอาหารอยู่ไม่น้อย นอกจากเรื่องมากที่เลือกกินใบยูคาลิปตัสแค่ 600 ชนิดแล้ว (เยอะนะ) พวกมันยังมีนิสัยการกินอาหารที่เรื่องมาก ก็คือหากเราเอาใบยูคาลิปตัสวางบนถาดอาหารให้โคอาล่ากิน โคอาล่าจะไม่ยอมทานถ้าหากไม่อยู่บนกิ่งต้น ! มีงี้ด้วย• เหตุผลนั้นก็เพราะว่า ใบยูคาลิปตัสที่เป็นแหล่งอาหารของโคอาล่านั้นเมื่อหลุดออกจากต้นแล้ว มันจะเกิดการคลายน้ำไวมากทำให้ใบไม้แห้งเร็ว และกลิ่นเปลี่ยนจนโคอาล่าไม่ค่อยจะสนใจใบยูคาลิปตัสที่เด็ดเป็นใบๆแล้วนั่นเอง ซึ่งอารมณ์เหมือนคนกินมาม่าโดยไม่ต้มก่อนอะไรประมาณนั้น• ในหนึ่งวันโคอาล่าต้องกินยูคาลิปตัสมากถึง 200-500 กรัมต่อวัน ด้วยระบบทางเดินลำไส้ที่ยาวกว่า 2 เมตร ทำให้พวกมันดูดซึมสารอาหารจากใบได้ แต่ต้องแลกกับการเจอสารอาหารอันน้อยนิดและสารพิษที่มีในใบยูคาลิปตัส เลยทำให้มันต้องนอนหลับวันนึงเกือบ 22 ชั่วโมงต่อวันเพื่อรักษาพลังงานไปกับการย่อยใบยูคาลิปตัสที่กิน• เรื่องนึงที่น่าสนใจเลยคือ โคอาล่านั้นมีภูมิคุ้มกันร่างกายในการขับสารพิษออกไป โดยภูมิคุ้มกันสร้างโปรตีนแบบพิเศษขึ้นมาเพื่อต่อต้านสารพิษในใบยูคาลิปตัสออกไป แต่ในทางตรงกันข้าม หากโคอาล่าป่วยขึ้นมาแล้วต้องฉีดยาละก็ ร่างกายมันจะขับยาออกไปจนหมดเลย เลยทำให้โคอาล่าเป็นสัตว์ที่เลี้ยงยากหากเวลาป่วยขึ้นมานั่นเอง• ความแปลกของมาร์ซูเปียลคือกุญแจสำคัญในการอยู่รอด โคอาล่านั้นสามารถดำรงชีวิตและปรับตัวอยู่โลกนี้มานานแสนนานมาก แต่อนาคตของพวกมันไม่ได้แน่นอนเสมอไป พวกมันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แล้วในปัจจุบันนี้ReferenceIs it true that Koala are so dumb that they can't recognise eucalyptus leaves unless they're still attached to the tree?https://www.quora.com/Is-it-true-that-Koala-bears-are-so...The Koalas’ Diet & Digestionhttps://www.savethekoala.com/about.../koalas-diet-digestion/Effects of Eucalypt Plant Monoterpenes on Koala (Phascolarctos Cinereus) Cytokine Expression In Vitrohttps://www.nature.com/articles/s41598-019-52713-5Koalas Eat Toxic Leaves to Survive—Now Scientists Know Howhttps://www.nationalgeographic.com/.../scientists...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 28 ม.ค. 25
อ่าน 2 ครั้ง
