REPTALES
เรื่องราวสัตว์จาก ReptTown
แพะถ้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวในโลกที่เป็นสัตว์เลือดเย็น

แพะถ้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวในโลกที่เป็นสัตว์เลือดเย็น

ความจริงแล้วอยากจะบอกว่า เจ้าแพะถ้ำเกาะบาเลอาเรส (Balearic Island cave goat - 𝘔𝘺𝘰𝘵𝘳𝘢𝘨𝘶𝘴 𝘣𝘢𝘭𝘦𝘢𝘳𝘪𝘤𝘶𝘴) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวในโลกที่เป็น Ectothermic แต่ก็กลัวจะไม่เข้าใจเลยใช้คำว่าเลือดเย็นไปก่อนละกัน โอเคเข้าเรื่องกันเถอะ..... ถ้าพูดถึงกลไกสร้างพลังงานให้กับร่างกายแล้ว ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดเป็นพวก Endothermic หรือที่ภาษาบ้านๆเรียกกันว่า "เลือดอุ่น" แต่ก็มีกรณีนึงที่พิเศษและแตกต่างออกไป อย่างในกรณีของเจ้าแพะถ้ำเหล่านี้- ชื่อแพะถ้ำ ไม่ได้แปลว่ามันอยู่ในถ้ำ แต่เพราะฟอสซิลของมันมักพบในถ้ำที่เกิดจากการสะสมกระดูกของหนูแพ็คแร็ท (Packrat) นั่นเอง มีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 5.3 ล้านปี ถึง 4,600 ปีก่อนคริสตกาล อาศัยอยู่บนเกาะบาเลอาเรส ประเทศสเปน ซึ่งเป็นเกาะที่มีสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน แล้วทำไมสัตว์เลือดอุ่นอย่างแพะต้องกลายเป็นสัตว์เลือดเย็นด้วย- นักชีววิทยาศึกษามวลกระดูกพบว่า ผิวเนื้อเยื่อกระดูกส่วน Lamellar มีความคล้ายคลึงกับที่พบในจระเข้ ซึ่งมีผลต่อเรื่องการเจริญเติบโต แทนที่เจ้าแพะถ้ำจะเติบโตเป็นวัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่อายุ 9 เดือนแบบแพะทั่วไป แต่มันกลับต้องเจริญเติบโตช้าถึง 12 ปีถึงจะสืบพันธุ์ได้ แบบเดียวกับจระเข้เลย อีกทั้งอวัยวะต่างๆในร่างกายก็ขนาดเล็กลงด้วยเพื่อลดการเสียพลังงานมากเกินไป พวกมันจึงไม่กระโดดโล้ดเต้นหรือปราดเปรียวนัก เป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้า ซึ่งพวกมันได้พลังงานความร้อนจากการออกมาอาบแดดและหากินช่วงอากาศอบอุ่นเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน- ในเรื่องการเจริญเติบโตนั้น แพะทั่วไปจะมีฟันแท้ขึ้นครบตอนอายุ 2-3 ปี แต่ทว่าแพะถ้ำกลับต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตและมีฟันแท้ขึ้นครบตอนอายุ 6 ปี ! การเจริญเติบโตช้า แสดงให้เห็นว่าเจ้าพวกนี้ไม่เคยมีปัญหาเรื่องผู้ล่ามาลดประชากร ราวกับว่าแพะถ้ำไม่มีศัตรูตามธรรมชาติมานานมาก จนกระทั่งการมาของมนุษย์ยุคโบราณตอน 4,600 ปีก่อน แพะถ้ำก็สูญพันธุ์ไป- ในปัจจุบัน มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใช้ชีวิตแบบก่ำกึ่งแบบนี้อยู่ มันคือ ตัวอิคิดน่าหรือตัวกินมดหนาม (Echidna) ที่สามารถปรับอุณหภูมิร่างกายตัวเองตามสภาพแวดล้อมในสภาวะนอนหลับ และปรับเป็นร่างกายอุ่นได้ตอนกำลังเดินออกหากินและลาดตระเวนไปตามป่าแหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.iflscience.com/worlds-only-known-cold-blooded...
สัตว์ดึกดำบรรพ์
แพะ

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 0 ครั้ง


นกโดโด้ ไม่ได้โง่ !

นกโดโด้ ไม่ได้โง่ !

ภาพลักษณ์ของเจ้านกโดโด้ (Dodo - 𝘙𝘢𝘱𝘩𝘶𝘴 𝘤𝘶𝘤𝘶𝘭𝘭𝘢𝘵𝘶𝘴) ที่หลายคนคิดกันคือนกหน้าตากลมอ้วนที่ดูซื่อๆ และก็ดูทึ่ม บางคนก็มองว่ามันทึ่มมากจนสูญพันธุ์ไป แต่จะกล่าวว่านกโดโด้เป็นสัตว์ที่โง่ก็ไม่ถูกครับ เพราะเพียงแค่เป็นนกเกาะที่ไม่เคยเห็นคนและสัตว์นอกแผ่นดินตัวเองมาก่อนจึงสูญพันธุ์ไป- นกโดโด้ไม่ใช่นกจำพวกเป็ดหรือไก่แต่อย่างใด แต่นกโดโด้คือนกพิราบชนิดหนึ่งที่บินไม่ได้ ! ซึ่งญาติสนิทที่สุดของนกโดโด้ที่หลงเหลือในปัจจุบันคือ นกชาปีไหน (Nicobar pigeon - 𝘊𝘢𝘭𝘰𝘦𝘯𝘢𝘴 𝘯𝘪𝘤𝘰𝘣𝘢𝘳𝘪𝘤𝘢) นกพิราบป่าที่ชอบใช้ชีวิตหากินทั้งบนต้นไม้และพื้นดินในหมู่เกาะห่างไกลในอันดามัน- เมื่อราว 20 ล้านปีก่อน บรรพบุรุษของนกโดโด้ที่เป็นนกพิราบจำพวกหนึ่งบินอพยพมายังหมู่เกาะแถบมหาสมุทรอินเดีย และหนึ่งในนั้นคือ หมู่เกาะมอริเชียสที่ก่อตัวจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเล สวรรค์บนดินนี้ปราศจากนักล่าและภัยอันตราย ทำให้นกพวกนี้ปรับตัวลงมากินอาหารและใช้ชีวิตบนพื้น นกโดโด้อยู่ร่วมกับเต่ายักษ์ นกแก้ว กิ้งก่า และค้างคาวชนิดต่างๆ- นักบรรพชีวินวิทยาพบว่า นกโดโด้เคยผ่านวิกฤติภัยแล้งครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นราว 4,500 ปีก่อน ในตอนนั้นประชากรของนกโดโด้และสัตว์อื่นๆลดลงไปอย่างน่าใจหาย แต่ประชากรของพวกมันก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง จนกระทั่งการมาเยือนของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์มองว่านกโดโด้ไม่มีพิษภัยแถมไม่กลัวคน จึงทำให้ล่าง่าย และคนบางส่วนก็มาตั้งรกรากพาสัตว์ต่างถิ่นอย่างแมว, ลิง และหนูมาด้วย สัตว์ปศุสัตว์อย่างแพะแกะและหมูก็มา คนและแมวล่านกโดโด้ แพะแกะยึดพื้นที่หากินนกโดโด้ หนู ลิง และหมูกินไข่และลูกนกโดโด้ ทำให้นกโดโด้สูญพันธุ์ไปในที่สุด- ตลอดหลายปี คนก็เปรียบเปรยว่า นกโดโด้เป็นนกทึ่มและโง่เลยสูญพันธุ์ แต่เอาเข้าจริงๆ นกเหล่านี้มีอะไรน่าสนใจมาก นักบรรพชีวินวิทยาพบว่า กล่องสมองของนกโดโด้มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว บ่งบอกว่ามันฉลาดไม่น้อย และรูปร่างมันก็ไม่ได้อ้วน แต่เต็มไปด้วยกลามเนื้อแน่นเหมือนนกกระจอกเทศ จึงทำให้นกโดโด้เวอร์ชั่นล่าสุดปี 2022 ดูสง่างามแบบตัวในภาพมากกว่านกอ้วน- แม้เวลาจะผ่านไป นกโดโด้ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งการย้ำเตือนว่า เราคือสาเหตุที่ทำให้นกเหล่านี้ต้องจากโลกนี้ไป เพียงเพื่อเป็นอาหารและมองว่าพวกมันไร้ทางสู้จะทำอย่างไรกับมันก็ยังได้ และขึ้นชื่อว่ามนุษย์ อะไรที่พิเรนทร์มีได้เสมอหากกระทำกับสัตว์แบบนั้น ยากจะจินตนาการให้นึกขึ้นมาได้แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://youtu.be/0EBFpj60LRY?si=DE47j-35dyG1vgPZhttps://www.nationalgeographic.com/.../the-dodo-gets-a...https://museummodelmaking.wordpress.com/2021/12/19/dodo/

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 0 ครั้ง


"เมื่องูเคยมีขา" วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานสุดมหัศจรรย์

"เมื่องูเคยมีขา" วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานสุดมหัศจรรย์

"เมื่องูเคยมีขา" วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานสุดมหัศจรรย์"งู" คำๆเดียวที่สามารถทำให้ใครหลายคนขนลุกชูชันได้ไม่น้อยครับ แต่เราอาจจะมองข้ามมันไปว่า งูนั้นเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการมายาวไกลมาก มันไม่ใช่สัตว์ที่เพิ่งขึ้นในยุคใหม่เลยครับ แต่พวกมันถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้วอยู่อาศัยเคียงข้างกับไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์มากมายแล้วเหตุใดเล่า งูถึงต้องละทิ้งขาตัวเองไป ทั้งๆที่มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานเช่นเดียวกับกิ้งก่าและจระเข้ ? คำตอบนั้นเราต้องย้อนเวลากลับไปดูในช่วงยุครุ่งเรืองของไดโนเสาร์ผ่านฟอสซิลกันครับ จุดเริ่มต้น ฟอสซิลของงูที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุเมื่อ 90 ล้านปีก่อน แต่นักบรรพชีวินวิทยาได้ขุดพบฟอสซิลของสิ่งที่เรียกว่า "รอยต่อแห่งวิวัฒนาการที่หายไป" ในประเทศบราซิล เมื่อพวกเขาพบฟอสซิลของสัตว์เลื้อยคลานที่มีความคล้ายคลึงกับงูมากที่สุด แต่ว่า มันมีขาครับ !มันมีชื่อว่า "เตตระโพโดพริส" (𝘛𝘦𝘵𝘳𝘢𝘱𝘰𝘥𝘰𝘱𝘩𝘪𝘴) ซึ่งมีความหมายของชื่อว่า "งูที่มีสี่ขา" สัตว์เลื้อยคลานที่มีลำตัวและหัวเหมือนงู ไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของงูแต่อย่างใดเพียงแค่ญาติใกล้ชิดเฉยๆ แต่กลับมีขายื่นออกมาสี่ข้างเป็นระยางค์เดินเหมือนกับกิ้งก่า ลำตัวยาว 30 เซนติเมตร ซึ่งดูจากรูปทรงของลำตัวและขนาดของขาแล้ว บ่งบอกว่า ญาติสนิทของงูตัวนี้เริ่มจะปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวจากการมีขาไปใช้ลำตัวในการขยับแทนในทางพันธุกรรมและการอนุกรมวิธาน งูนั้นเป็นสัตว์ที่มีความสนิทกับกิ้บก่ามาก จนทำให้จัดอยู่ในอันดับเดียวกันคือ Order Squamata โดยงูนั้นจะแยกไปอยู่ในสายวิวัฒนาการ จึงทำให้รูปร่างขาของงูไปทางกิ้งก่า มีขาไม่ดีอย่างไรกัน ? แล้วทุกคนสงสัยกันอีกว่า งูมีขาไม่ดีตรงไหนถึงต้องหดขาหายไปจนหมด ทั้งนี้นักบรรพชีวินวิทยาก็ให้คำตอบไม่ชัดเจน แต่ในทางสัตววิทยาแล้ว การไม่มีขาของงูทำให้งูสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ทำให้สามารถมุดเข้าซอกหลีบตามจุดต่างๆที่สัตว์อื่นเข้าไม่ถึงเพื่อหลบพักผ่อนหรือวางไข่ รวมไปถึงยังสามารถใช้ลำตัวรับรู้ภัยอันตรายได้ดีกว่าการใช้หูฟังเสียงอีก ซึ่งงูก็ไม่มีหูด้วยเช่นกันทีนี้มีคำถามสำคัญตามมาอีกว่า แล้วงูหดขาคู่ไหนก่อนกัน ? คำตอบคือ ขาคู่หน้าหดไปก่อนครับ เหตุผลนั้นถ้าทุกคนเคยจำภาพงูเวลาเลื้อยอยู่บนพื้นดิน งูค่อนข้างจะมีส่วนหัวและลำตัวแนบติดพื้นกัน ซึ่งพอไม่มีขาหน้า ประสาทรับรู้ที่ส่งผ่านไปยังสยองจะสามารถรับรู้ได้ทางลำตัวผ่านไปยังกระดูกสันโดยตรงได้เลย ทำให้รู้อันตรายเร็วกว่าแล้วยิ่งงูอยู่มาตั้งแต่ช่วงที่มีไดโนเสาร์ด้วย การรับรู้ว่าแรงสั่นสะเทือนของไดโนเสาร์เดินยังดีกว่ามารู้ตัวตอนที่โดนเหยียบหรือว่าโดนจับกินจากไดโนเสาร์ขนาดเล็ก อย่างเช่นงูดึกดำบรรพ์สกุลหนึ่งที่ชื่อว่า "นาจาซ" (𝘕𝘢𝘫𝘢𝘴𝘩) เป็นงูที่มีชีวิตเมื่อ 90 ล้านปีก่อนในยุคครีเตเชียสตอนปลาย มีหลักฐานการหดไปของขาหน้าแต่ยังมีขาหลังอยู่ ซึ่งฟอสซิลติ่งขาหน้ายังพบอยู่ด้านในลำตัว สิ่งที่นาจาซต่างจากเตตระโพโดพริสก็คือ กระดูกซี่โครงที่มีรูปร่างให้เหมาะแก่การขยับตัวไปข้างหน้าด้วยกล้ามเนื้อลำตัว ซึ่งจะเป็นผลให้งูใช้ลำตัวขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วยไม่ต้องใช้ขาขยับตัวอีกอีกต่อไป แล้วนาจาซเหลือขาหลังเอาไว้ทำอะไร ? ซึ่งถ้ามามองดูในด้านการใช้เพื่อพฤติกรรมจำเป็นต่อชีวิตประจำวันแล้ว มันอาจเอาไว้สำหรับช่วยในการล็อคตัวเมียขณะผสมพันธุ์กันก็เป็นได้ครับ เพราะขณะสัตว์เลื้อยคลานผสมพันธุ์กันนั้น ขาหลังจะช่วยในการขยับส่วนอวัยวะเพศให้สอดใส่ได้ แต่ต่อมาเมื่องูหดขาหลังออก งูก็วิวัฒนาการอวัยวะเพศให้แตกออกเป็นสองข้างเพื่อใช้ผสมแบบใช้ข้างใดข้างหนึ่งแทน แต่งูบางจำพวกอย่างงูกลุ่มไพธ่อน (Python) และ (Boa) ยังคงมีติ่งของระยางค์ขาเล็กช่วงท้ายลำตัว เอาไว้สะกิดขณะการผสมพันธุ์กับตัวเมีย เมื่อขาหดไป ฟอสซิลของงูที่ไม่ปรากฎขาทั้งสี่ข้างเก่าแก่ที่สุดเป็นงูดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อว่า "ไดนิไลเซีย" (𝘋𝘪𝘯𝘪𝘭𝘺𝘴𝘪𝘢) เป็นงูขนาดกลางประมาณงูหลามบอล (Ball python)และงูหลามวัยเด็ก ที่สามารถยาวได้ 1-3 เมตร ที่มีชีวิตเมื่อ 85 ล้านปีก่อนในอเมริกาใต้ โดยสิ่งที่พวกเขาพบจากฟอสซิลงูดึกดำบรรพ์ตัวนี้คือ ขาหดไปจนหมดแล้วประกอบการพบว่าขนาดของกล่องสมองภายในมีขนาดกว้างขึ้น โดยเฉพาะส่วนของสมองส่วนท้ายที่ใช้ในการควบคุมลำตัวและการเคลื่อนที่ กระดูกหูชั้นกลางก็มีการเจริญให้สามารถรับรู้แรงสะเทือนได้ดีขึ้นแบบงูปัจจุบันทั่วไป ยิ่งสนับสนุนเหตุผลของการหดขาไปของงูอีกด้วย"จากมีขา สู่การไม่มีขา" ทำให้งูเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกกว่า 3,800 ชนิด มีหลายรูปร่างทั้งใหญ่และเล็ก พวกที่สวยงามและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม และก็ยังมีพวกที่มีพิษเพื่อการล่าและป้องกันตัว ทั้งนี้ก็เป็นผลวิถีแห่งชีวิตชักนำให้งูปรับตัวและดำรงชีวิตอยู่จนทุกวันนี้มาตั้งแต่ยุคที่พวกไดโนเสาร์อาศัยอยู่กันแล้วReferenceFossil Solves Mystery of How Snakes Lost Their Legshttps://www.amnh.org/explore/news-blogs/how-snakes-lost-legsHow Snakes Lost Their Legshttps://www.npr.org/.../498575639/how-snakes-lost-their-legsDavid M. Martill; Helmut Tischlinger; Nicholas R. Longrich (2015). "A four-legged snake from the Early Cretaceous of Gondwana"Apesteguía, S.; Zaher, H. (2006). "A Cretaceous terrestrial snake with robust hindlimbs and a sacrum".

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 02 ก.พ. 25

อ่าน 2 ครั้ง


เสือดาวหิมะไอบีเรีย ชนิดย่อยใหม่ดึกดำบรรพ์ในโซนยุโรปตะวันตกเฉียงใต้ !

เสือดาวหิมะไอบีเรีย ชนิดย่อยใหม่ดึกดำบรรพ์ในโซนยุโรปตะวันตกเฉียงใต้ !

ฟอสซิลใหม่ของชนิดย่อยเสือดาวหิมะ นามว่า "เสือดาวหิมะไอบีเรีย" (Iberian snow leopard - 𝘗𝘢𝘯𝘵𝘩𝘦𝘳𝘢 𝘶𝘯𝘤𝘪𝘢 𝘭𝘶𝘴𝘪𝘵𝘢𝘯𝘢) ก่อนหน้านั้นมีการพบฟอสซิลเสือดาวหิมะสมัยไพลส์โตซีนในเขตเทือกเขายุโรปตอนกลาง แต่ล่าสุด ฟอสซิลเสือดาวหิมะเจอที่คาบสมุทรไอบีเรียในประเทศโปรตุเกสบ่งบอกว่าเจ้าแมวใหญ่จากหลังคาโลกมีเขตการกระจายพันธุ์กว้างไกลมาก จากเทือกเขาหิมาลัย มาจนถึงเขตเทือกเขาใหญ่ในไอบีเรียด้วย เสือดาวหิมะก็เป็นหนึ่งในแมวใหญ่สกุล 𝘗𝘢𝘯𝘵𝘩𝘦𝘳𝘢 ที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก และเป็นญาติสนิทกับเสือโคร่งมากกว่าเสือดาวอีกด้วยPIC CR.Somniosus insomnusReferenceInsights on the evolution and adaptation toward high-altitude and cold environments in the snow leopard lineagehttps://www.science.org/doi/10.1126/sciadv.adp5243

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 28 ม.ค. 25

อ่าน 0 ครั้ง

REPTALES v1.0.2 by ReptTown
All Right Reserved