
ทำไม "ชิวาว่า" และ "ปอมเมอริเนี่ยน" ไม่เหมาะเป็น "K-9" ?
แด่คนรักน้องหมาทุกท่านที่เห็นโพสต์นี้ ก่อนจะดราม่า กรุณาอ่านบทความให้จบเสียก่อน ห้ามมาบีบน้ำตาหรือโมโหในนี้ ใครไม่ฟังแบนถาวร นับตั้งแต่ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ตึกถล่มจากแรงสะเทือนแผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา หน่วยกู้ภัยและทีมช่วยเหลือพร้อมกับหน่วยสุนัข K-9 เข้าทำการช่วยเหลือคนที่ติดในซากอาคารออกมา ขณะเดียวกันนั่นเอง ผู้คนบางกลุ่มอาศัยจังหวะนี้ในการสร้างภาพ AI น้องหมาปอมและชิวาว่าเข้าไปเหมือนปฏิบัติการณ์กู้ตึก แล้วกลายเป็นมีคนหลงเชื่อในจำนวนมาก คนที่เข้าไปเตือนก็โดนคนรักหมาทุ่งลาเวนเดอร์ด่าเสียหายกัน ดังนั้นวันนี้แอดบิวจะมาบอกเล่ากันว่า "ทำไมชิวาว่าและปอมเมอริเนี่ยนถึงไม่เหมาะเป็น K-9 ?" คนรักหมาอย่าเพิ่งเอาเรื่องความเท่าเทียมมาพูดนะ ฟังก่อน• ก่อนอื่นต้องรู้จักก่อนว่า K-9 คืออะไร ซึ่งหน่วย K-9 คือสุนัขที่ผ่านการฝึกฝนทางการทหารและตำรวจเพื่อใช้ปฏิบัติการณ์หลายรูปแบบ ทั้งการจับกุมผู้ร้ายและอาชญากร การอารักขา การเฝ้ายาม ดมหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงงานกู้ชีพต่างๆ ซึ่งสุนัขที่เหมาะแก่การฝึกเป็น K-9 จะต้องเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่เหมาะแก่การทำงานหนัก และสายพันธุ์ที่มีความอึดความอดทนในการฟังคำสั่ง • ซึ่งสุนัขที่เป็น K-9 ที่เราเห็นกันบ่อยๆในสื่อก็จะเป็นสายพันธุ์เยอรมันเชิร์พเพิร์ด (หรืออัลเซเชี่ยน) ที่มักเป็นสุนัขตำรวจและสุนัขทหารชั้นเลิศในด้านงานบู๊หลายแบบ นอกจากนี้ก็ยังมีลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์, เบลเจียนมาลินัวส์, บีเกิ้ล, โดเบอร์แมนพินเชอร์, ดัทซ์เชิร์พเพิร์ด และสายพันธุ์อื่นๆที่แก่งานสายทหารและตำรวจ • กรณีของปอมเมอริเนี่ยนและชิวาว่านั้น ไม่มีคุณสมบัติการเป็น K-9 เลยสักนิด การเป็นสุนัข K-9 ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีการรับฟังคำสั่งดี สั่งหมอบคือหมอบ สั่งคอยคือคอย สั่งไล่คือไล่เท่านั้น แต่กรณีทั้งสองตัวนี้พัฒนามาเพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงาของมนุษย์เท่านั้น ได้ยินเสียงปูนถล่มอาจช็อกตายคาที่ไม่ก็สั่นทั้งตัวเป็นเจ้าเข้าตลอดเวลา • แต่กรณีชิวาว่านั้น เป็นสุนัขที่นิสัยโคตรจะใจกล้าและกร่างไปทั่ว เห่าเสียงดังเหมาะแก่การแจ้งเตือน แต่เอาเข้าจริงๆ น้องขาดคุณสมบัติการเป็น K-9 เพียบ ยกเว้นหน้าที่สุนัขบำบัดหรือ Theraphy dog ที่เหมาะกับชิวาว่าที่สุด บางตัวฝึกมาเพื่อเป็นสุนัขบำบัดโรคซึมเศร้าในโรงพยาบาลจิตเวชนั่นเอง • ฉะนั้นก็มีเพียงเท่านี้ที่แอดบิวจะมาบอกทุกคนครับ ดังนั้นก่อนแชร์รูปอะไรก็ต้องรู้ความจริง อย่าเพิ่งเอาความน่ารักและความโรแมนซ์มาใส่ให้บรรยากาศมันดี เพราะมันจะบิดเบือนข้อเท็จจริงไปจนหมดนั่นเอง
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 เม.ย. 25
อ่าน 4 ครั้ง

ปลาก็ใช้เครื่องมือได้ !
เรื่องน่ารู้ของความฉลาดของหมู่มวลมัจฉา โลกนี้การใช้เครื่องมือนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สัตว์มีความก้าวหน้า ช้างใช้ต้นไม้ช่วยเกาหลังในจุดงวงเอื้อมไม่ถึง ลิงอุรังอุตังสามารถทำรังนอนบนต้นไม้ด้วยการสานใบไม้เป็นเปลนอน อีกาใช้หินถ่วงให้น้ำเพิ่มระดับเพื่อเอาอาหารออกจากขวดแคบๆ หรือแม้แต่มนุษย์เราที่ใช้เครื่องมือต่างๆอำนวยความสะดวก เห็นได้ชัดว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกับนกมีความสามารถในการใช้เครื่องมือได้ แล้วมองมาที่บรรพบุรุษอย่างปลากันบ้าง พวกนี้มีการใช้เครื่องมือหรือไม่ ? • คำตอบคือ ปลาก็เป็นพวกใช้เครื่องมือเหมือนกัน ! ฟังดูแปลกๆ แต่ปลาบางพวกเองก็รู้จักการใช้สิ่งรอบตัวเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้วย ซึ่งส่วนมากพฤติกรรมใช้เครื่องมือของปลาจะเป็นเพื่อการล่าและกินอาหารกับสร้างอาณาเขตมากกว่าจะใช้เพื่อความสะดวกสบาย แม้สมองของปลาอาจจะดูไม่ก้าวหน้าเท่าสัตว์มีกระดูกสันหลังบนบกก็ตาม แต่พวกมันเน้นการเอาตัวรอด อย่างปลาแก้วกู่ (Blackspot tuskfish - 𝘊𝘩𝘰𝘦𝘳𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘴𝘤𝘩𝘰𝘦𝘯𝘭𝘦𝘪𝘯𝘪𝘪) ตัวในภาพประกอบบทความนี้ กำลังคาบหอยเอาไว้ในปากแล้วไปโขกกับก้อนหินตรงหน้าเพื่อเปิดหอยออก • เคยมีรายงานชุดนึงกล่าวว่า ปลากระเบนน้ำจืดจำพวกโมโตโร่ (Motoro stingray) จากลุ่มแม่น้ำแอมะซอนในอเมริกาใต้ ก็ใช้น้ำรอบตัวเป็นเครื่องมือในการหาอาหาร ด้วยการควบคุมการขยับของร่างกายทั้งลำตัว เพื่อเป็นการควบคุมการไหลของน้ำเพื่อสกัดให้แพลงตอนและพืชเล็กๆบางส่วนไหลเข้าปากของปลากระเบนได้โดยไม่ต้องว่ายออกแรงด้วย • ปลาสลิดหินบางชนิดก็ยังใช้ทรายและกรวดหินเป็นเครื่องมือในการทำรังของตัวเองด้วย พ่อแม่ปลาจะทำการเอาทรายและหินกรวยมารวมกันด้วยการคาบเอาไว้ในปากก่อนจะพ่นออกมาทำเป็นรังวางไข่ หรือปลาหมอสีในอเมริกาใต้ก็ใช้ใบไม้แห้งในการทำรังด้วยเช่นกัน โดยเลือกใบไม้ที่มีการงอตัวได้ดีไม่แตกหรือขาดง่ายมาทำคลุมไข่เอาไว้ • จะเห็นได้ชัดว่า ปลาเองก็เป็นสัตว์ที่ใช้เครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาในการเอาชีวิตรอดได้ เพื่อให้ได้อาหาร และการปกป้องเผ่าพันธุ์ตัวเองให้มีโอกาสรอดจนเติบโตได้ PIC CR. SCOTT GARDNERReferenceBernardi, G. (2011). "The use of tools by wrasses (Labridae)".Bourton, J. (January 13, 2010). "Clever stingray fish use tools to solve problems".Keenleyside, M.H.A., (1979). Diversity and Adaptation in Fish Behaviour, Springer-Verlag, Berlin.Keenleyside, M.H.A.; Prince, C. (1976). "Spawning-site selection in relation to parental care of eggs in Aequidens paraguayensis (Pisces: Cichlidae)". Canadian Journal of Zoology.
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 เม.ย. 25
อ่าน 0 ครั้ง

ตะขาบวิวัฒนาการพิษแบบไม่ลดความแรง
การปรับตัวของสัตว์ผู้ล่าร้อยขา !!ทุกคนเห็นตะขาบอาจจะมีสองแง่คือ สัตว์ผู้ล่าที่มีพิษน่าสะพรึง และสัตว์ผู้ล่าชวนขนลุก แต่ถึงกระนั้นแล้ว ตะขาบอยู่บนโลกเรามา 400 ล้านปีนับตั้งแต่ปลาขึ้นบกยันไดโนเสาร์สูญพันธุ์และมนุษย์ครองโลก ตะขาบยังคงน่าเกรงขามและมีพิษมาตลอดนับแต่อดีต แต่ที่น่าสนใจก็คือ นักชีววิทยาพบว่า ตะขาบเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการด้านพิษมานานก่อนที่จะมีงูพิษเสียอีก • ซึ่งตะขาบนั้นมีพิษเป็นสารโปรตีนที่สกัดจากต่อมพิษภายในร่างกายส่งผ่านพิษด้วยการกัดเป็นหลัก พิษมีผลต่อระบบประสาทของเหยื่อและศัตรูที่มันกัด โดยพิษของพวกมันประกอบด้วยสารพิษสองตัวคือ ฮิสตามีน (Histamine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งปริมาณพิษที่ปล่อยออกมาจะขึ้นอยู่กับขนาดตัวของตะขาบ พูดง่ายๆก็คือ ตะขาบยิ่งตัวใหญ่พิษยิ่งแรงนั่นเอง • ซึ่งนักชีววิทยาทำงานวิจัยชิ้นนึงเกี่ยวกับวิวัฒนาการของพิษจากตะขาบ 5 อันดับที่เหลืออยู่บนโลก โดยเริ่มจากพวกที่เก่าแก่ที่สุดอย่างพวกตะขาบบ้านขายาว (House centipede - Order Scutigeromorpha) ที่มีพิษอ่อนที่สุดและไม่สามารถทำร้ายคนได้เลย จนถึงพวกที่มีพิษรุนแรงสุดๆพอจะทำให้คนเข้าห้องไอซียูได้ถ้าเผลอไปลองจับมันเข้า • อย่างเช่นตะขาบยักษ์ออสเตรเลีย (Australian giant centipede - 𝘌𝘵𝘩𝘮𝘰𝘴𝘵𝘪𝘨𝘮𝘶𝘴 𝘳𝘶𝘣𝘳𝘪𝘱𝘦𝘴) ตัวในภาพประกอบบทความนี้ เป็นหนึ่งในตะขาบที่มีพิษรุนแรงที่สุดในภูมิภาคโอเชียเนีย พวกมันมีพิษรุนแรงพอจะสามารถทำให้เหยื่อจำพวกแมลงและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วเพื่อง่ายต่อการจัดการ แล้วด้วยพิษที่รุนแรงกับขนาดตัวแล้ว มันก็มีผลให้คนที่โดนกัดเจ็บปวดรุนแรงด้วยนั่นเอง • นอกจากพิษที่สร้างเองแล้ว ตะขาบบางชนิดยังสะสมพิษจากพวกแบคทีเรียและเชื้อรามาเพื่อประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างที่พบได้ในตะขาบหัวแดงแทนซาเนีย (Red-headed centipede - 𝘚𝘤𝘰𝘭𝘰𝘱𝘦𝘯𝘥𝘳𝘢 𝘮𝘰𝘳𝘴𝘪𝘵𝘢𝘯𝘴) ที่นักชีววิทยาพบและตีพิมพ์ลงวารสารวิจัยในปี 2021 ว่าพิษของพวกมันเพิ่มประสิทธิภาพจากการมีแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดที่ส่งผลต่อเหยื่อและศัตรูด้วย ดังนั้นโอกาสหน้าถ้าเจอตะขาบ อย่าหมายลองจับเองเด็ดขาดPIC CR. Jackson NugentReferenceThese Animals Have Been Around For Over 400 Million Years And Evolved Venom 5 Timeshttps://www.iflscience.com/these-animals-have-been-around...Centipede Venom Is A Cocktail Of Genetic Material Nicked From Bacteria And Fungihttps://www.iflscience.com/centipede-venom-is-a-cocktail...Giant centipede - Ethmostigmus rubripes / Australian Geographyhttps://www.australiangeographic.com.au/.../fact-file.../
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 31 มี.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง

สัตว์ถ้ำต้องตาบอดเสมอหรือไม่ ?
คุณสมบัติของการเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในถ้ำแสนมืดมิด ถ้ำ เป็นสถานที่และชีวนิเวศที่น่าอัศจรรย์ แม้ถิ่นอาศัยแห่งนี้จะมืดมิดเพียงใด สัตว์ก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนอาศัยอยู่โลกข้างนอกที่มีแสงสว่าง หลายคนจะจินตนาการว่า สัตว์ถ้ำเกือบทั้งหมดจะต้องตาบอดหรือไม่มีดวงตาเสมอ ความจริงแล้ว บรรดาสัตว์ที่อยู่ในถ้ำนั้นมีหลายรูปแบบและหลายหน้าตา ขึ้นอยู่กับสภาพความลึกของถ้ำนั่นเอง เรามาดูคุณสมบัติของสัตว์ถ้ำกันครับ ประเภทสัตว์ถ้ำ สัตว์ถ้ำนั้นจะแบ่งออกเป็นจำพวกการอยู่อาศัย 3 แบบครับ อาทิ 1.Troglobite : ผู้อาศัยถ้ำถาวร พวกนี้คือสัตว์ถ้ำของแท้ก็ว่าได้ เช่น ตัวโอล์ม (Olm) และปลาถ้ำตาบอด (Blind cave fish)2.Troglophile : ผู้อาศัยถ้ำเป็นพื้นที่นอนหลับพักผ่อน มีประสาทสัมผัสการใช้ชีวิตในถ้ำได้ดี แต่หากินโลกภายนอกได้ เช่น แมงป่องแส้ และ งูกาบหมากหางนิล เป็นต้น3.Trogloxene : ผู้เยี่ยมเยือนถ้ำแบบชั่วคราว ประสาทสัมผัสใช้ชีวิตในถ้ำต่ำ เช่น ค้างคาว และ หมี เป็นต้น คุณสมบัติสัตว์ถ้ำ คุณสมบัติการอยู่อาศัยในถ้ำนั้น สัตว์หลายชนิดมีวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวใช้ชีวิต แม้ชั่วคราวก็มีเซ้นต์ในการอยู่อาศัยได้ คุณสมบัติมีดังนี้1.เคลื่อนไหวช้า - การอยู่ถ้ำไม่จำเป็นต้องขยับตัวเยอะมาก เนื่องด้วยการขยับตัวนั้นเสี่ยงต่อการเสียพลังงานร่างกายไปแล้วทำให้หิวง่าย ดังนั้นการขยับตัวช้าจะช่วยรักษาพลังงานและสามารถไม่กินอาหารได้นานเป็นเดือนช่วงที่หาอาหารไม่ได้นั่นเอง 2.ไม่มีตาหรือตาหดลง - สัตว์ถ้ำหลายชนิดโดยเฉพาะพวก Troglobite จะวิวัฒนาการดวงตาหายไป เนื่องด้วยการใช้ชีวิตในถ้ำไม่อาศัยการมอง แต่อาศัยการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆแทน ทั้งการรับรู้การสั่นไหว การดมกลิ่น และการรับรู้สนามแม่เหล็กและการใช้ตรวจจับด้วยกระแสไฟฟ้าได้3.ไม่มีเม็ดสี - สัตว์ถ้ำหลายชนิดมักจะไม่มีเม็ดสีหรือสีดูขุ่นๆหมองๆ เนื่องด้วยการอยู่ในถ้ำไม่จำเป็นต้องทำตัวเด่นเกินไป เพื่อเลี่ยงการถูกจับตามองเห็น ดังนั้นสีซีดเหมือนวิญญาณคือหนทางที่ดีสุดในการอยู่ถ้ำ4.มีอวัยวะที่ตรวจจับสัมผัสได้ - จะมีหนวดยาวแบบแมลงถ้ำ หรืออวัยวะพิเศษในร่างกายที่ทำให้รับรู้ภายในโลกอันมืดมิด ช่วยให้สัตว์นั้นๆสามารถปรับตัวได้ในโลกอันมืดมิด ซึ่งที่กล่าวมาทั้ง 4 ประการนั้น ตัวโอล์ม (ตัวในภาพประกอบ) ผู้เป็นซาลาแมนเดอร์ถ้ำแห่งยุโรปตอนใต้คือสัตว์ที่มีคุณสมบัติการเป็นสัตว์ถ้ำทั้งหมดเลย ทั้งเคลื่อนไหวช้า ไม่มีดวงตา ไม่เม็ดสีจนตัวซีด และมีอวัยวะประสาทสัมผัสอย่างเหงือก ปลายเท้า และลำตัวในการรับรู้แรงสั่นไหวได้นั่นเอง PIC CR. lucacavallariReferenceThe Dark!: Wild Life in the Mysterious World of Caves / Lindsey Leigh How have animals living only in caves adapted?https://oceanexplorer.noaa.gov/facts/cave-adapt.htmlWhat Are The Adaptations In Cave-Dwelling Animals?https://www.worldatlas.com/.../what-are-the-adaptations...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 30 มี.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง

จิงโจ้หนูมัสกี้ จิงโจ้ที่ตัวเล็กที่สุดในโลกและต้นกำเนิดการกระโดดของจิงโจ้
ขอเชิญทุกคนพบกับมาโครพอด (Macropod) มาร์ซูเปียลหรือสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องผู้เป็นต้นกำเนิดการกระโดดแรกเริ่มของจิงโจ้กัน นั้นก็คือ "จิงโจ้หนูมัสกี้" (Musky rat-kangaroo - 𝘏𝘺𝘱𝘴𝘪𝘱𝘳𝘺𝘮𝘯𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘮𝘰𝘴𝘤𝘩𝘢𝘵𝘶𝘴) สัตว์พื้นเมืองออสเตรเลียที่พบได้เฉพาะในป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป จิงโจ้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวนี้เป็นต้นแบบการกระโดดสองขาหลังของจิงโจ้และวัลลาบี้ที่ตัวใหญ่ได้อย่างไร ? • ตระกูลของหนูจิงโจ้นั้นเป็นตระกูลเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโอลิโกซีน นามว่า Hypsiprymnodontidae ซึ่งวงศ์นี้เคยมีมาร์ซูเปียลนักล่าหรือจิงโจ้กินเนื้อเป็นสมาชิกวงศ์หลัง แต่พวกนั้นก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จนเหลือแค่จิงโจ้หนูมัสกี้เพียงชนิดเดียวบนโลกนี้มาตั้งแต่ 20 ล้านปีแล้ว ซึ่งเรียกว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอย่างหนึ่งก็ว่าได้เลยครับ• ชื่อมัสกี้ก็มาจากกลิ่นตัวเป็นเอกลักษณ์ที่ปล่อยออกมาหึ่งเหมือนกับกวางชะมด กลิ่นนี้มีไว้เพื่อสื่อสารกันในช่วงฤดูหาคู่และยังบอกสถานะของแต่ละตัว อีกทั้งยังใช้ป้องกันตัวเวลาถูกคุกคามจากนักล่าตัวใหญ่กว่า ที่น่าสนใจกว่าชื่อก็คือ มันเป็นมาร์ซูเปียลผู้เป็นต้นแบบการเคลื่อนไหวของจิงโจ้แรกเริ่ม• ปกติแล้วพวกตระกูลมาโครพอดทั้งหมดจะกระโดดด้วยสองขาหลังได้ แม้แต่จิงโจ้กินเนื้อญาติของจิงโจ้หนูมัสกี้ก็โดดสองขาหลังได้ แต่จิงโจ้หนูมัสกี้เคลื่อนไหวสี่ขา ไม่มีท่ากระโดดสองขาหลัง โดยขยับขาหน้าไปข้างหน้าพร้อมกัน แล้วตามด้วยขาหลังสองข้างขยับไปข้างหน้าด้วยกัน ซึ่งเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวดั้งเดิมของพวกจิงโจ้ในท่าปกติก่อนจะวิวัฒนาการด้านการกระโดดสองขา • เจ้าสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ไม่จำเป็นต้องกระโดดไกลมากเมื่ออยู่ในป่า พวกมันตัวเล็กและหากินอาหารจำพวกผลไม้และเห็ดตามพื้นดินอย่างสงบ ถือเป็นรอยต่อสำคัญของวิวัฒนาการการปรับตัวของสัตว์ในทวีปออสเตรเลียที่สำคัญ ว่าแม้ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนไป แต่ที่นี่บางอย่างยังคงสภาพเหมือนเดิม PIC CR. Ray wilson Reference'Musky' marsupial could solve hopping kangaroo mysteryhttps://phys.org/.../2025-03-musky-marsupial-kangaroo...Musky Rat-Kangaroo - Facts, Diet, Habitat & Pictures on Animalia.biohttps://animalia.bio/index.php/musky-rat-kangarooMeet the musky rat-kangaroo, our smallest kangaroohttps://www.australiangeographic.com.au/.../meet-the.../
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง

"อิกัวน่าฟิจิลายแถบ" ผู้มาจากดินแดนโพ้นทะเล
เป็นระยะเวลากว่า 50-35 ล้านปีแล้ว ที่กิ้งก่าอิกัวน่าลายแถบฟิจิ (Fiji banded iguana - 𝘉𝘳𝘢𝘤𝘩𝘺𝘭𝘰𝘱𝘩𝘶𝘴 𝘣𝘶𝘭𝘢𝘣𝘶𝘭𝘢) และอิกัวน่าชนิดใหม่ที่แตกสายอีก 3 ชนิด เดินทางไกลแบบติดแพธรรมชาติข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากเม็กซิโก ทวีปอเมริกาเหนือ ถึงหมู่เกาะแปซิฟิกที่ห่างเกือบ 8,000-9,000 กิโลเมตร ถือเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดเดียวในโลกที่การกระจายพันธุ์ข้ามแดนไกลที่สุด พวกมันคือกิ้งก่าที่ปรับตัวกับเกาะที่เป็นแดนสวรรค์อย่างเป็นอย่างดี • ครั้งหนึ่งก่อนที่มนุษย์จะมาถึงหมู่เกาะฟิจิ เคยมีกิ้งก่าอิกัวน่ายักษ์ขนาดตัวเหี้ย 1.2-1.5 เมตรเดินย่ำกินใบไม้และพุ่มไม้บนเกาะตองก้า ก่อนจะหายไปเมื่อราว 2,800 ปีก่อน เหลือแต่ญาติตัวเล็กที่ปรับตัวเป็นกิ้งก่าต้นไม้ หนึ่งในนั้นคือเจ้าอิกัวน่าฟิจิลายแถบผู้มีขนาดเล็กแค่ 19 เซนติเมตรที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุด• ชื่อลาบแถบฟิจิ มาจากลักษณะของตัวผู้ที่มีลายแถบบั้งสีขาวเป็นเอกลักษณ์ ส่วนตัวเมียจะไม่ปรากฎลวดลายบนลำตัว พวกมันเร่งสีให้สดใสขึ้นได้จากอารมณ์ ถ้าหากมันรู้สึกโดนคุกคามมันจะเปล่งสีเขียวจัดจ้านขึ้น แต่ถ้ามันโกรธมันจะเปล่งสีเขียวเข้มลง เมื่อรู้สึกโดนคุกคามหนัก • พวกมันอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 200-500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ชอบกินใบไม้ ดอกไม้ และผลไม้เหมือนกับญาติของพวกมันในป่าฝนแอมะซอน ทวีปอเมริกาใต้ พวกมันชื่นชอบการอยู่บนต้นไม้สูงที่หลบพ้นสายตาของนักล่าบนพื้นดินอย่างมนุษย์และพังพอนที่เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ • อิกัวน่าชนิดนี้มีอัตราการขยายพันธุ์ต่ำ ออกไข่ครั้งนึงแค่ 4 ฟอง และใช้ระยะเวลากกไข่นาน 9 เดือนเต็ม แถมอายุขัยยังน้อย อยู่ที่ 10-15 ปี เลยทำให้มันมีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์แล้ว โชคดีที่สวนสัตว์ใหญ่หลายแห่งทั่วโลกให้การสนใจในการอนุรักษ์และเพาะขยายพันธุ์อิกัวน่าชนิดนี้ให้มีประชากรที่ดีขึ้นในอนาคตอยู่นั่นเอง PIC CR. RatioTileReferenceIguanas “Rafted” 8,000 Kilometers From North America To Fiji – A Record For Land Vertebrateshttps://www.iflscience.com/iguanas-rafted-8000-kilometers...Fiji banded iguana - Smithsonian's zoohttps://nationalzoo.si.edu/animals/fiji-banded-iguanaFiji Island Banded Iguana - Los Angeles zoohttps://lazoo.org/explo.../our-animals/reptiles/fiji-iguana/
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง

แมวน้ำรับรู้ระดับออกซิเจนในเลือดได้ !
กลไกมหัศจรรย์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ทั้งแมวน้ำ สิงโตทะเล แมวน้ำขนปุย และวอลรัส ต่างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อที่วิวัฒนาการตัวเองกลับสู่ท้องทะเลในฐานะนักล่าปลาและสัตว์น้ำขนาดย่อม แมวน้ำบางตัวก็ดูน่าเอ็นดู และบางตัวก็ดูน่าสะพรึงกลัวจนเราช็อคคาใต้น้ำได้ แต่ถึงกระนั้นแมวน้ำก็เป็นสัตว์ที่น่าทึ่งไม่แพ้สัตว์บนบกเลย โดยเฉพาะเรื่องที่พวกมันรู้ระดับออกซิเจนในเลือดได้ ! • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหายใจด้วยปอดทั้งสิ้นทุกชนิด แต่สัตว์บกไม่ว่าจะมนุษย์ ช้าง ลิง สล็อธและสัตว์ส่วนมากไม่สามารถรู้ระดับภาวะออกซิเจนในเลือด ทำให้เวลาที่หายใจเข้าออกจะปล่อยอากาศออกนอกร่างกาย แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในน้ำอย่างพวกวาฬและแมวน้ำไม่สามารถหายใจเข้าออกขณะอยู่ใต้น้ำ พวกมันจึงมีกลไกพิเศษที่อยู่ใต้น้ำนานๆหรือระยะสั้นได้ • มีการทดสอบความสามารถในการดำน้ำของแมวน้ำสีเทา (Gray seal - 𝘏𝘢𝘭𝘪𝘤𝘩𝘰𝘦𝘳𝘶𝘴 𝘨𝘳𝘺𝘱𝘶𝘴) ที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง โดยพวกเขาทดสอบให้แมวน้ำแต่ละตัวว่ายน้ำไปกลับรอบสระ 60 เมตร โดยที่ปลายทางก่อนว่ายกลับจะมีจุดให้อาหารแบบมีช่องหายใจที่มีแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เข้มข้นสะสมบริเวณช่อง โดยพวกเขาลองกับภาวะแก๊ส 3 ระดับคือ ระดับแก๊สปกติจากสภาพแวดล้อม, ระดับแก๊สออกซิเจน 2 เท่า และระดับแก๊สออกซิเจนผสมคาร์บอนไดออกไซด์ 200 เท่า ! • พวกเขาพบว่า ระดับออกซิเจนในเลือดของแมวน้ำมีภาวะต่างกัน กรณีที่ได้รับแก๊สออกซิเจนปริมาณมากจากการหายใจ แมวน้ำสามารถอยู่ใต้น้ำได้ยาวนานกว่า ขณะที่ภาวะที่แก๊สออกซิเจนน้อย แมวน้ำจะดำอยู่ใต้น้ำสั้นกว่าได้รับออกซิเจนเยอะ นั้นแปลว่าแมวน้ำนั้นสามารถรับรู้ระดับออกซิเจนในระดับเลือดได้จากการหายใจและดำน้ำได้แต่ละครั้ง เวลาที่ออกซิเจนน้อยเท่ากับขึ้นหายใจบ่อยครั้งกว่าที่หายใจเต็มปอด • บางครั้งธรรมชาติก็สร้างหลายสิ่งให้มีความแปลก แต่ความแปลกนั้นอยู่คู่กับการคัดสรรทางธรรมชาติที่มีผลต่อเผ่าพันธุ์ของสัตว์นั้นๆอีกด้วยนั่นเอง PIC CR. Amos NachoumReferenceJ. Chris McKnight et al, Cognitive perception of circulating oxygen in seals is the reason they don't drown, Science (2025).https://www.science.org/doi/10.1126/science.adw1936
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง

"Japanese king ratsnake" ราชาแห่งงูญี่ปุ่นเขตร้อน
หนึ่งในงูที่ตัวใหญ่ที่สุดและยาวที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สมญานามว่า "งูจงอางจำแลง" นามนั้นคือ คิงแร็ทสเน็ค (King ratsnake - 𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢) งูไม่มีพิษขนาดใหญ่แห่งพื้นที่กึ่งเขตร้อนของเกาะเซ็งคาคุและเกาะโยนากุนิ พรมแดนระหว่างประเทศไต้หวันและหมู่เกาะริวกิวของประเทศญี่ปุ่น นี่ถือว่าเป็นงูขนาดใหญ่ที่งดงามและน่าสะพรึงกับท่าทางของมันไม่น้อย • คนญี่ปุ่นเรียกคิงแร็ทสเน็คว่า "ชูดะ" (シュウダ) แปลว่า "งูเหม็น" ซึ่งในญี่ปุ่นนั้นจะมีงูคิงแร็ทสเน็คอยู่ 2 ชนิดย่อยคือ ชนิดย่อยของจีน (𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢) ที่พบในเกาะเซ็งคาคุใกล้กับไต้หวัน และชนิดย่อยโยนากุนิ (𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢 𝘺𝘰𝘯𝘢𝘨𝘶𝘯𝘪𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴) ที่งดงามแบบตัวในภาพนี้จากเกาะโยนากุนิและมีชื่อเสียงมาก ใช้ชื่อเรียกกันว่า "Japanese king ratsnake" หรือโยนากุนิชูดะ (ヨナグニシュウダ) • ซึ่งทั้งคิงแร็ทสเน็คทั้งสองชนิดย่อยนี้ความยาวเฉลี่ยไล่เลี่ยกันคือ 1.5-2.4 เมตรโดยประมาณ ซึ่งตัวคิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นจากเกาะโยนากุนินั้นมีสีสันค่อนข้างเด่นสะดุดตาเนื่องด้วยพวกมันอาศัยอยู่ในตามป่าฝนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนนั่นเอง ตอนเป็นวัยอ่อนจะมีสีน้ำตาลที่กลมกลืนกับพื้นดิน พอโตขึ้นจะมีสีสันสวยงาม• คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นได้ชื่อว่า "งูจงอางจำแลง" เนื่องด้วยบริเวณหัวนั้นมีแผ่นเกล็ดขนาดใหญ่เด่นชัด ซึ่งแผ่นเกล็ดขนาดใหญ่นี่เองที่ทำให้ชาวตะวันตกสับสนเข้าใจว่าเป็นงูจงอางมาก่อน เลยตั้งชื่อลักษณะความใหญ่โตเสมือนราชาแบบงูจงอาง ว่า "King ratsnake" หรือราชาแห่งงูสิงผู้กินงูอื่นๆ ซึ่งงูที่มีพฤติกรรมกินงูด้วยกันเองจะมีแผ่นเกล็ดเรียงตัวลักษณะแบบนี้ • คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นยังมีอีกสมญานามว่า "เทพธิดากลิ่นเหม็น" เพราะเมื่อถูกคุกคามแบบขั้นสุด นอกจากการกัดป้องกันตัวด้วยฟันคมกริบแล้ว ยังปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาทำให้สัตว์ที่พยายามจะล่าไม่ว่าจะสุนัขกับแมวจรจัดและนกนักล่าต้องถอยหนีทันทีถ้าโดนปล่อยกลิ่นใส่ • คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นชอบกินงูชนิดอื่นๆที่มีหลายชนิดด้วยกันทั้งงูมีพิษและงูไม่มีพิษ, หนู, นก, ไข่นก, กบ, กิ้งก่ากับจิ้งเหลน (เหยื่อสุดโปรดในเมนูกิ้งก่าคือ จิ้งเหลนยักษ์คิชิโนะอุเอะ (Kishinoue's giant skink)), ด้วง และตั๊กแตนเป็นอาหารอีกด้วย เรียกว่าเจ้าตัวนี้กินได้หลากหลายมาก สมกับราชาแห่งงูสิงโดยแท้ PIC CR. Jaehyeon-leeReferenceヨナグニシュウダ / Japan herptology https://herpetology.raindrop.jp/elaphe_carinata...Elaphe carinata yonaguniensis (Takara, 1962)/ヨナグニシュウダ/Yonaguni Shu-Dahttps://1pixel.sakura.ne.jp/.../elaphe_c_yonaguniensis.htm
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 7 ครั้ง

Spotted bush snake encounter-False green mamba !
ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับงูตัวนี้ เกริ่นก่อนว่าน้องไม่ใช่งูแมมบ้าเขียว (Green mamba) นะครับ แต่เป็นเจ้า Spotted bush snake (𝘗𝘩𝘪𝘭𝘰𝘵𝘩𝘢𝘮𝘯𝘶𝘴 𝘴𝘦𝘮𝘪𝘷𝘢𝘳𝘪𝘦𝘨𝘢𝘵𝘶𝘴) หรืองูเขียวลายจุดแอฟริกาเป็นงูพื้นเมืองของทุ่งหญ้าซาวันน่า ทวีปแอฟริกา ว่องไว ปราดเปรียวสมฉายา "แมมบ้าเขียวปลอม" แต่ไม่มีพิษ ! งูชนิดนี้โตเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 60-90 เซนติเมตร เป็นงูไม่มีพิษขนาดเล็กที่มักอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ในท้องทุ่งกว้าง สีเขียวบนตัวของมันช่วยกลมกลืนไม่ให้เตะตาจากสัตว์ใหญ่อย่างแอนทีโลปที่มาเล็มพุ่มไม้ หรือนักล่าอย่างพวกนกนักล่าที่บินผ่านไปมา จริงๆแล้วสีปกติของงูชนิดนี้จะต้องมีแต้มจุดสีดำบนลำตัว แต่งูบางตัวก็เป็นสีเขียวอ่อนทั้งตัวเหมือนงูแมมบ้าเขียว เวลาถูกคุกคามจะอ้าปากสีดำขู่เหมือนงูแมมบ้าดำเพื่อเตือนสัตว์ที่มาใกล้มัน พวกมันชอบกินกิ้งก่าและปาดตัวเล็กๆ ปีนต้นไม้คล่องแคล่ว และว่ายน้ำเก่งมาก เป็นงูไม่กี่ชนิดที่นักชีววิทยาพูดตรงกันว่า มีสายตาตอบสนองดีสุดในบรรดางูก็ว่าได้ โปรดสังเกตว่าน้องไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับกล้องเท่าไร จะสวบเอาๆอย่างเดียว ในทวีปแอฟริกา มีงูที่มีลำตัวสีเขียวหลักๆที่พบเจอบ่อยๆอยู่ประมาณ 6 ชนิด อาทิ 1.Green water snake (ไม่มีพิษ) 2.Spotted bush snake (ไม่มีพิษ ตัวที่สัมผัส)3.Eastern natal green snake (ไม่มีพิษ)4.Western natal green snake (ไม่มีพิษ)5.Boomslang (งูพิษเขี้ยวหลัง พิษรุนแรง)6.Green mamba (งูพิษเขี้ยวหน้า พิษรุนแรง)
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 19 มี.ค. 25
อ่าน 7 ครั้ง

ปริศนาปลายจมูกของ "Rhinoceros ratsnake"
ถือเป็นงูที่แปลกและไม่เหมือนใคร สำหรับเจ้างูจมูกยาวเวียดนามหรือเจ้าไรโน่ (Rhinoceros ratsnake - 𝘎𝘰𝘯𝘺𝘰𝘴𝘰𝘮𝘢 𝘣𝘰𝘶𝘭𝘦𝘯𝘨𝘦𝘳𝘪) งูต้นไม้ไม่มีพิษญาติสนิทของงูเขียวกาบหมากขนาดยาว 1-1.6 เมตรจากป่าฝนเขตร้อนระดับความสูง 300-1,100 เมตรจากระดับน้ำทะเลของจีนตอนใต้และเวียดนาม เป็นงูที่มีเอกลักษณ์หน้าตาที่เด่นคือ ปลายปากที่ยื่นไปข้างหน้าเหมือนนอแรด ที่หลายคนสงสัยกันว่า มันมีไว้เพื่ออะไร ต่อจากนี้เป็นการสันนิษฐานคร่าวๆจากทั้งงานวิจัยของนักชีววิทยาและก็จากที่ลองสังเกตโดยตัวบิวคุงเองนะครับ 1.ใช้ดึงดูดเพศ - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแบงกอร์ ไอร์แลนด์เหนือที่ศึกษาวิจัยการแสดงท่าทางของงูต่อพวกเดียวกัน เขาพบว่า เจ้าไรโน่บางตัวแสดงพฤติกรรมดึงดูดคู่ โดยตัวผู้จะใช้ส่วนยื่นนี้เพื่อในการดึงดูดงูตัวเมียช่วงฤดูผสมพันธุ์2.ใช้กันตัวผู้ตัวอื่นๆ - เป็นข้อสันนิษฐานจากนักวิจัยที่แบงกอร์เช่นเคย ว่ากันว่า ส่วนยื่นตรงปลายปากมีไว้เพื่อใช้กันตัวผู้ตัวอื่นที่จะเข้ามาผสมพันธุ์กับคู่ตัวเมียบนต้นไม้ 3.ใช้เพื่อเก็บน้ำค้าง - อันนี้เป็นอันที่บิวคุงคิดขึ้นมาว่า หรือเจ้าไรโน่จะได้รับน้ำค้างตอนเช้าขณะที่ใช้ส่วนยื่นปลายปากเป็นเหมือนตัวรับน้ำมากินเหมือนงูทะเลทรายบางชนิดที่มีเกล็ดเป็นสันที่นอกจากเพิ่มพื้นที่ผิวกระจายรับความร้อนยังกักเก็บน้ำบนช่องว่างลำตัวได้4.ใช้ล่อเหยื่อ - บางครั้งไอ้ส่วนปลายนี้ก็มีไว้เพื่อหลอกล่อเหยื่อบางชนิดที่คิดว่าส่วนปลายนี้เหมือนกับใบไม้อ่อนที่ค่อยผลิใบหรือหน้าตาเหมือนส่วนหนอนทั้งลำตัว ล่อให้นก สัตว์ฟันแทะ หนู และกิ้งก่าขนาดเล็กเข้ามาใกล้แล้วตะครุบด้วยฟันคมกริบ PIC CR. Rob Cadd Reference"Crowdsourcing snake identification with online communities of professional herpetologists and avocational snake enthusiasts"https://royalsocietypublishing.org/doi/10.1098/rsos.201273RHINOCEROS RATSNAKE by Animaliahttps://animalia.bio/rhinoceros-ratsnakeRhinoceros Rat Snake by Repti Chiphttps://reptichip.com/blogs/animals/rhinoceros-rat-snake
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 18 มี.ค. 25
อ่าน 2 ครั้ง

กิ้งก่าแผงคอได้แผงหนังมาอย่างไร ?
ปริศนาวิวัฒนาการแห่งการปรับตัวแบบดึงกลับมาใช้ พวกเราชอบและอึ้งกับหน้าตาของกิ้งก่าแผงคอ (Frilled lizard, Frilled dragon - 𝘊𝘩𝘭𝘢𝘮𝘺𝘥𝘰𝘴𝘢𝘶𝘳𝘶𝘴 𝘬𝘪𝘯𝘨𝘪𝘪) เจ้ากิ้งก่าพื้นเมืองของทวีปออสเตรเลียที่มีความสามารถสุดน่าทึ่งในการกางแผงหนังขนาดใหญ่รอบคอออกมาเพื่อการสื่อสารในการหาคู่และการข่มขวัญศัตรูที่ตัวใหญ่กว่า แต่จะมีใครรู้บ้างว่า ต้นกำเนิดของแผงคอนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง • กลไกของแผงคอนี้ จะทำงานประสานร่วมกับขากรรไกรล่างขณะที่กิ้งก่าอ้าปากเท่านั้น โดยแผงคอหนังนี้มีแกนของกระดูกอ่อนที่ชื่อ "Hyoid apparatus" ซึ่งอยู่บริเวณใต้คางจนถึงต้นคอ ขณะที่กล้ามเนื้อขากรรไกรล่างเกิดการทำงานขณะอ้าปาก มันจะทำให้กระดูกอ่อนก้านยาวสองอันค่อยๆกางแผ่ออก มันสามารถกางออกทั้งในท่ายืนสี่ขาและท่ายืนสองขาขณะวิ่งได้ • นักวิจัยจากสถาบัน UNIGE Faculty of Science นาม ศาสตราจารย์ไมเคิ้ล มิลินโควิท และทีมวิจัยหลายคนได้ทำการศึกษาตัวอ่อนเอ็มบริโอ้ของกิ้งก่าแผงคอ พบว่าช่วงระยะตัวอ่อนที่กำลังกลายสภาพเป็นตัวลูกกิ้งก่านั้น อวัยวะส่วนที่เป็นเหงือกช่วงต้นมีการพัฒนาตัวก่ำกึ่งเหมือนเหงือกปากที่สามารถกางขยายออกขณะหายใจผ่านเหงือก แต่กลับวิวัฒนาการมาเป็นแกนกระดูกอ่อนเพื่อเป็นแผงคอหนังขนาดใหญ่แทน• การที่กิ้งก่าแผงคอวิวัฒนาการแผงหนังที่มีกลไกคล้ายกับการกางเหงือกหายใจของปลาได้ เป็นเพื่อการเอาตัวรอดและการปรับตัวท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตรายรายล้อม ทั้งจากสัตว์ใหญ่และสัตว์ผู้ล่าที่พร้อมอยากจะกินเจ้ากิ้งก่า เพราะการถ่ายทอดลักษณะแบบนี้ทำให้พวกมันดำรงเผ่าพันธุ์มาได้นานเกือบล้านปี ReferenceElastic instability during branchial ectoderm development causes folding of the Chlamydosaurus erectile frill, eLife (2019)https://elifesciences.org/articles/44455
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 11 มี.ค. 25
อ่าน 1 ครั้ง

ปลาฉลามกรีนแลนด์ ผู้ไม่มีวันเป็นมะเร็งและอายุยืน 400 ปี !
มะเร็งคือหนึ่งในโรคที่เกิดขึ้นในสัตว์หลายจำพวก สัตว์บางชนิดวิวัฒนาการเพื่อหลีกเลี่ยงการป่วยเป็นโรคลักษณะนี้ผ่านการผ่าเหล่า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกระดูกคอชิ้นที่ 8-9 ของตัวสล็อธ การลดชิ้นกระดูกคอของตัวแมนาที หรือเป็นระบบภูมิคุ้มกันผิวหนังของตุ่นหนูไร้ขนที่มนุษย์สนใจอยู่ และปลาฉลามกรีนแลนด์ (Greenland shark - 𝘚𝘰𝘮𝘯𝘪𝘰𝘴𝘶𝘴 𝘮𝘪𝘤𝘳𝘰𝘤𝘦𝘱𝘩𝘢𝘭𝘶𝘴) หรือปลาฉลามขี้เซาขั้วโลกเหนือ ผู้อายุยืนที่สุดในบรรดาสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งปวง ก็ยังมีวิธีต้านมะเร็ง ! • ปลาฉลามกรีนแลนด์ถือเป็นสัตว์ที่พิสดารมาก พวกมันดำรงชีวิตอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งของแดนขั้วโลกใต้ เป็นทั้งนักล่าและสัตว์กินซาก ตั้งแต่แมวน้ำ ซากวาฬ ยันหมีขั้วโลกที่ไม่ทันระวังตัวเวลาดำน้ำอยู่แล้วโดนลอบกัด ปลาฉลามชนิดนี้ยังมีปรสิตจำพวกโคพีพอดเกาะที่ดวงตาทั้งสองข้างด้วย อีกทั้งเนื้อของพวกมันยังมีพิษอีกต่างหาก • ความลับของการมีอายุยืนและการปราศจากมะเร็งได้ ถือเป็นคุณสมบัติที่ปลาฉลามกรีนแลนด์ทำได้จากการวิวัฒนาการมาเพื่ออยู่ในทะเลที่หนาวเย็นของแดนขั้วโลกเหนือ นักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นได้ศึกษาดีเอ็นเอของปลาฉลามกรีนแลนด์ก็พบว่า ในยีนของปลาฉลามกรีนแลนด์มีภูมิต้านทานร่างกายและการควบคุมเซลล์ที่ลดการอักเสบได้• ในทางทฤษฎี เมื่อสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆใช้พลังงานและตอบสนองในการกระทำ ร่างกายจะเกิดการภาวะอักเสบของร่างกายที่มีผลให้เซลล์เกิดการซ่อมแซมฟื้นฟูร่างกายเสมอ จนบางครั้งก็ผลิตเซลล์มะเร็งออกมาทำให้สภาวะร่างกายเสื่อมถอยลง ในกรณีของปลาฉลามกรีนแลนด์ ดูเหมือนร่างกายที่เชื่องช้าและอยู่ในน้ำที่เย็นจัดนี้ ร่างกายเหมือนมีการฟื้นฟูส่วนที่สึกกร่อนเสมอตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติการฟื้นฟูร่างกายของปลาฉลามนั้นน่าทึ่ง แต่ปลาฉลามกรีนแลนด์ทึ่งกว่า ที่อายุยืนไกลถึง 400 ปีขึ้น !• แม้มนุษย์จะไม่สามารถอายุยืนเทียบเท่าปลาฉลามกรีนแลนด์ แต่นักวิจัยบางส่วนก็พยายามศึกษาการรักษาสุขภาพและการยืดอายุของเผ่าพันธุ์จากความสามารถของสัตว์และพืชต่างๆรอบตัวเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตบนโลกที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงนี้ต่อไป ReferenceGreenland Sharks Can Live for 400 Years. Scientists Are Using DNA to Unravel Their Longevity Secretshttps://www.smithsonianmag.com/.../greenland-sharks-can.../
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 11 มี.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง

"หนูขนยาว ผู้ทำให้เกิดประกายแสงแห่งการคืนชีพแมมมอธขนปุย"
เชิญพบกับ "หนูขนปุย" หรือหนูขนยาว (Woolly mouse) เป็นสายพันธุ์หนูที่พัฒนายีนขนให้มีความยาวเหมือนกับขนของช้างแมมมอธขนปุย ซึ่งหนูสายพันธุ์นี้คิดค้นและเพาะขยายพันธุ์ครั้งแรกโดยบริษัทชีวพันธุวิศวกรรมยักษ์ใหญ่ นาม "Colossal Biosciences" ผู้มีเป้าหมายในการคืนชีพช้างแมมมอธขนปุยและสัตว์สูญพันธุ์อื่นๆ (ย้ำว่าไม่เกี่ยวกับไดโนเสาร์แบบที่เราเห็นกันในหนังและสื่อ) ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางบริษัท Colossal Biosciences มีแผนในการคืนชีพช้างแมมมอธโดยได้ทำการศึกษาจากลำดับจีโนมจากฟอสซิลขนแช่แข็งและเนื้อเยื่อแช่แข็งจากช้างแมมมอธขนปุยที่พวกเขาเจอกันหลายตัวอย่าง แล้วนำตัวอย่างจีโนมมาเทียบกับช้างเอเชียที่เป็นญาติสนิท เพื่อหาจุดต่างกันอย่างเช่นยีนที่ทำให้เกิดขนยาวบนลำตัว หลังจากนั้นก็มาพัฒนาจีโนมของช้างเอเชียให้คล้ายคลึงกับช้างแมมมอธขนปุย พอเจอยีนที่ต้องสงสัยแล้วก็ลองเอาตัวต้นแบบไปใส่ในหนู จนพัฒนาได้หนูขนยาวออกมาอย่างที่เห็นนั่นเอง ซึ่งข้อดีของการขนยาวนั่นทำให้ร่างกายอบอุ่นในสภาพแวดล้อมอากาศหนาวเย็นและอากาศอุ่นได้ดี ถือว่าเป็นก้าวหนึ่งในการศึกษาตัวอย่างและการพยายามคืนชีพสัตว์สูญพันธุ์ โดยริเริ่มจากก้าวเล็กๆที่มีสัตว์เล็กนำร่องการวิจัย PIC CR. Colossal BiosciencesReferenceMeet the ‘woolly mouse’: why scientists doubt it’s a big step towards recreating mammothshttps://www.nature.com/articles/d41586-025-00684-1...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 07 มี.ค. 25
อ่าน 3 ครั้ง

"เพราะไผ่รสชาติเหมือนเนื้อ" ความลับใหม่จากพันธุกรรมของหมีแพนด้ายักษ์
หมีแพนด้ายักษ์กินอาหารหลักเป็นไผ่มากกว่า 99% ของเมนูอาหาร ซึ่งอีก 1% เป็นลูกไม้, ไข่นก, ตัวอ้น และซากสัตว์บนภูเขาสูง แต่ถึงกระนั้นตัวหมีแพนด้าเองกลับชอบกินไผ่เป็นชีวิตจิตใจมาก โดยนักวิจัยได้ค้นพบความลับของระดับพันธุกรรมในตัวหมีแพนด้ายักษ์ ว่าร่างกายของมันนั้น พัฒนามาให้รับรู้รสชาติของต้นไผ่ให้เหมือนกำลังกินเนื้อ ! • นักวิจัยจากประเทศจีนได้ศึกษาตัวอย่างเลือดของหมีแพนด้ายักษ์จำนวน 7 ตัว เป็นหมีโตเต็มวัย 6 ตัว และหมีวัยอ่อน 1 ตัว โดยพวกเขาพบสารพันธุกรรมที่ได้รับจากไผ่ที่พวกหมีแพนด้ากิน เรียกว่า "ไมโครอาร์เอ็นเอ" (MicroRNAs - miRNA ) ซึ่งในหมีทั้ง 7 ตัว พบตัวอย่างของ miRNA ถึง 57 ตัวอย่าง ซึ่งส่งผลให้หมีแพนด้าถูกกระตุ้นการกินอาหารจำพวกไผ่ราวกับกินเนื้ออยู่• เมื่อไผ่โดนย่อยลงไปจนระดับลำไส้แล้ว ตัวสาร miRNA จะกระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือดของร่างกาย ไปกระตุ้นการรับรู้ของหมีแพนด้ายักษ์ให้รู้สึกการกินไผ่เหมือนการกินเนื้อปกติ ซึ่งเป็นผลของการที่ร่างกายสังเคราะห์สารออกมาให้ลิ้มรสชาติการกินไผ่ได้ปริมาณมาก จนถึงขั้นกินไปหนักเกือบเท่าหญ้าฟางของวัว 1 กองใหญ่• miRNA จากไผ่ยังกระตุ้นประสาทรับรสชาติ ประสาทการดมกลิ่น และกระตุ้นให้สารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งก็คือสารแห่งความหวังและความสุข ให้หมีแพนด้ายักษ์เพลิดเพลินนอนกลิ้งกินไผ่ทั้งวันได้โดยไม่มีวันเบื่อหน่ายเลย นอนกินทั้งวันก็ยังได้ ถ้าให้เทียบก็คือ หมีแพนด้ายักษ์กินไผ่เหมือนกำลังกินอาหารเจสังเคราะห์รสชาติเนื้อโปรตีนนั่นเอง • โดยธรรมชาติ หมีแพนด้ายักษ์กินไผ่มายาวนานเป็นล้านปี ทำให้วิวัฒนาการในเรื่องระดับพันธุกรรมส่งผลต่อนิสัยและพฤติกรรมของสัตว์ เป็นการเรียนรู้และพัฒนาเพื่อการอยู่รอด ทั้งอุ้งเท้าที่ให้จับต้นไผ่ได้ทั้งลำ หรือระบบขากรรไกรที่บดขยี้ต้นไผ่ได้แค่การงับครั้งเดียว ReferenceCross-Kingdom Regulation of Gene Expression in Giant Pandas via Plant-Derived miRNA, Frontiers in Veterinary Science (2025).https://www.frontiersin.org/.../fvets.2025.1509698/full
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 07 มี.ค. 25
อ่าน 3 ครั้ง

"ลิงเวอร์เว็ต" ช่วยตัวเองได้ ! เรื่องน่ารู้สุดพิสดารของเซ็กส์สัตว์โลก !
คำเตือน (บทความนี้ไม่เหมาะกับสมาชิกที่อายุน้อยกว่า 20 ปี คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการหาบทความเรื่องของสัตว์ไปเล่าให้ลูกๆฟังก่อนนอนหรือเรียนแบบ Home school ควรให้คำแนะนำหากจะนำไปเล่านะครับ) สุขสันต์วันวาเลนไทน์ มนุษย์เราที่มีคู่ส่วนใหญ่ก็จะหาเวลาเป็นส่วนตัวไปกินข้าว ไปดูหนัง ไปเที่ยวด้วยกันแบบตามลำพังสองคน ไปซื้อกล่องจุ่มที่ห้างมาแกะลุ้นกับแฟนแบบโมเม้นต์หวานๆหรือหยุมหัวตามประสาคู่รักที่แกะได้เกลือซ้ำทุกกล่อง แต่บ้างก็มุ่งเรื่องอย่างว่าจัดหนักจัดเต็มกว่าวันไหนๆในปี ในโลกของสัตว์เอง พฤติกรรมที่ค่อนข้างจะอีโรติกหรือทะลึ่งตึงตังเกินไปนั้นมีอยู่มากครับ ทุกคนทราบหรือไม่ว่า โลกนี้มีลิงที่ระบายทางเพศกับกวางได้ มีกิ้งก่าที่ชอบผสมพันธุ์กับตัวเมียที่ตายแล้ว มีนกเพนกวินที่ไซด์ไลน์แลกหินกับเซ็กส์ ! และมีค้างคาวที่ดูดปู๋ให้กันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ทางสังคม ! เรารู้จักโลกของสัตว์แบบธรรมดาเกินไปจนอาจเบื่อกันแล้ว เรารู้จักโมเม้นต์โรแมนติกรักเดียวใจเดียวกันมากไป ถึงเวลาดำดิ่งไปโลกสุดอีโรติกกันบ้าง ! 1.การช่วยตัวเอง : Masturbation คือพฤติกรรมของสัตว์ตัวผู้และตัวเมียในการกระทำกับอวัยวะเพศของตัวเอง ซึ่งบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่คนกับไพรเมต แต่สัตว์อีกหลายชนิดเลย จะทั้งวาฬ อิกัวน่าทะเล แรด แมว สุนัข กวาง ม้าลาย และอื่นๆอีกเพียบที่รู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวได้เช่นกัน จนต้องระบายกับตัวเองในไพรเมตนี่เด่นชัดมาก พวกลิงโลกเก่าอย่างลิงเวอร์เว็ต (Vervet monkey - 𝘊𝘩𝘭𝘰𝘳𝘰𝘤𝘦𝘣𝘶𝘴 𝘱𝘺𝘨𝘦𝘳𝘺𝘵𝘩𝘳𝘶𝘴) (ตัวในภาพ) และพวกลิงบาบูนตัวผู้มักชอบช่วยตัวเองเพื่อเช็คสุขภาพของตัวเองเป็นประจำ ทั้งการชิมและประเมินสุขภาพของตัวเองก่อนเข้าช่วงผสมพันธุ์ 2.เกย์ & เลสเบี้ยน : รักเพศเดียวกันในโลกของสัตว์นั้นถือเป็นปกติครับ ส่วนมากเป็นสัตว์สังคมที่อาศัยกันเป็นกลุ่ม มีพฤติกรรมทางสังคมด้านเพศเดียวกันแบบถึงตัวสุดๆก็มีบ้าง อย่างเช่นสิงโตตัวผู้ที่ชอบแสดงพฤติกรรมทับตัวผู้ตัวอื่นๆก็เพื่อกระชับมิตรการอยู่เป็นกลุ่มด้วยกัน การแสดงออกทางเพศเดียวกันนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งการแสดงออกเรื่องการแนบชิดอิงแอบกันและกัน การแสดงพฤติกรรมเกี้ยวพาราสีต่อเพศเดียวกัน การแสดงท่าทางเหมือนขึ้นผสมพันธุ์ หรือแม้แต่การแสดงพฤติกรรมครองคู่เหมือนคู่รักจริงๆ 3.ท่วงท่าพิสดาร : ถ้าคิดว่ามนุษย์เรามีท่วงท่าแปลกแล้ว การผสมพันธุ์ของสัตว์ต่างๆบนโลกนี้ก็เพี้ยนและพิสดารกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นไส้เดือนที่แม้มีสองเพศในตัว แต่ก็ต้องมีสองตัวมาร่วมผสมแบบหัวท้าย 69 หรือจะเป็นตั๊กแตนตำข้าวที่ตัวผู้ยอมเสี่ยงตายเข้าหาตัวเมียจนหัวขาดแต่ช่วงล่างยังผสมอยู่แบบอัตโนมัติหรือจะเป็นเต่าบกที่ตัวผู้คร่อมร่างตัวเมีย แต่ตัวเมียก็ยังสนใจกับการกินพืชผักตรงหน้าแบบไม่สนใจอะไร หรือที่เพี้ยนสุดๆก็เพรียงทะเลที่สามารถยืดขนาดอวัยวะเพศตัวเองไปผสมกับตัวเมียที่อยู่ไกลออกไปเกือบฟุตนึงได้โดยไม่ต้องเขยิบไปหาใกล้ๆ ! ยังมีอีกเยอะครับกับเรื่องแบบนี้ แต่คิดว่าคงหยิบมาเล่าไม่หมดเพราะเดี๋ยวจะเบื่อกันเสียก่อนเลยเอาพอสังเขปพอครับ หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับReferenceสัตว์โลกสัปดน โดย Salmon BookBagemihl, Bruce (1999). Biological Exuberance: Animal Homosexuality and Natural Diversity8 sex positions inspired by animals and insectshttps://www.metro.us/8-sex-positions-inspired-by-animals.../
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 22 ก.พ. 25
อ่าน 2 ครั้ง

"ฮิปโป" ว่ายน้ำไม่เป็น ! เรื่องน่ารู้ของฮิปโปโปเตมัส
ทุกคนรู้จักฮิปโป แต่รู้หรือไม่ว่าฮิปโปตัวใหญ่ๆหรือจะเป็นคู่แม่ลูกฮิปโปแคระอย่างหมูเด้งกับแม่โจน่าเนี่ย เป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำไม่เป็น เอ้า ! แล้วที่เห็นอยู่ในบ่อน้ำตามสวนสัตว์นี่ไม่ใช่ว่าลอยคออยู่หรือ เปล่าเลย ฮิปโปนั้นแค่ยืนอยู่ในน้ำเท่านั้นครับ เนื่องด้วยมวลกายของฮิปโปนั้นไม่สมดุลย์กับการลอยตัวขึ้นมาบนผิวน้ำ ดังนั้นใครไปสวนสัตว์แล้วเห็นฮิปโปอยู่ในน้ำ นั่นแหละบริเวณนั้นน้ำตื้นระดับตัวมันนั่นเองนอกจากเรื่องนี้แล้ว ฮิปโปเป็นสัตว์ที่มีเรื่องแปลกเรื่องเพี้ยนอยู่ไม่น้อย การเป็นสัตว์บกหนัก 3-4 ตันที่แย่งตำแหน่งสัตว์บกขนาดใหญ่กับแรดขาวสลับไปมานี้ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กับสัตว์อื่นๆเลย 1.เกิดมาเพื่ออยู่ในน้ำ : ถึงฮิปโปจะว่ายน้ำลอยตัวไม่ได้ แต่ฮิปโปวิวัฒนาการมาเพื่อเป็นสัตว์น้ำ อย่างแรกคือร่างกายที่ขนสั้นเกลี้ยงเกลาทั้งลำตัวประดุจใช้ไข่กรูมมิ่งโกนทั้งหมด ที่ทนต่อแสงแดดอันร้อนแรงของแอฟริกาได้ไม่ดีหากไม่อยู่ในน้ำ เท้าของฮิปโปบานออกเพื่อการเดินย่ำในเลนได้ ขณะที่ฮิปโปแคระอย่างหมูเด้งมีเท้ายกตัวสูงกว่าทำให้ท่าการเดินเหมือนสมเสร็จมากกว่านั่นเองปอดของฮิปโปจุออกซิเจนได้ดีจนกลั้นหายใจใต้น้ำนาน 5-15 นาที ฮิปโปสามารถนอนหลับใต้น้ำได้ เมื่อถึงเวลาต้องโผล่หายใจก็แค่ยกหัวขึ้นแล้วโผล่แค่ปลายปากและจมูกเพื่อสูดอากาศ ก่อนจะดำลงไปนอนหลับต่อใต้น้ำ ทั้งนี้ฮิปโปยังสามารถส่งเสียงใต้น้ำได้ผ่านจมูกโดยไม่ต้องอ้าปากอีกด้วย2.ครีมกันแดดส่วนตัว : รู้หรือไม่ ? เวลาฮิปโปขึ้นมานอนอาบแดดบนหาดริมตลิ่งแม่น้ำแอฟริกา ร่างกายจะหลั่งสารกรดจากต่อมบนร่างกายที่เรียกว่า "ฮิปโปซูโดริค" (Hipposudoric) เป็นสารรูปแบบกรดที่หลั่งออกมาเป็นหยดเหงื่อคล้ายเลือด หรือที่เรียกว่า "เหงื่อเลือด" มาชโลมผิวบนร่างกายต้านทานแดดเลียผิวฮิปโป ขณะที่ฮิปโปแคระอย่างหมูเด้งนั่นกลับหลั่งสารออกมาในรูปแบบเมือกสีขาวแทน ! ซึ่งเจ้าเมือกนี้มีคุณสมบัติคล้ายกับเหงื่อเลือดของฮิปโปตัวใหญ่เลย แต่มาในรูปแบบโฟม ในวันไหนที่อากาศร้อนจัดมากๆ ฮิปโปแคระจะหลั่งเมือกออกมาเยอะ เวลาลงน้ำก็จะเกิดเป็นฟองขาวรอบตัวเหมือนฟองผงซักฟอกในเครื่องซักผ้า ด้วยเหตุนี้ทั้งฮิปโปตัวใหญ่และฮิปโปแคระเลยเลือกจะออกมาหากินบนบกเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น 3.เรื่องของอึ : ฮิปโปนั้นมีพฤติกรรมประกาศอาณาเขตด้วยการขับถ่ายอึออกมาแล้วทำการสะบัดส่ายหางรัวๆเพื่อกระจายอึของตัวเองในอาณาบริเวณที่ตัวฮิปโปอยู่ อึไปไกลแค่ไหนเท่ากับนั้นคือเขตแดนครองของฮิปโปตัวนั้น จะพบบ่อยในฮิปโปตัวผู้ที่หวงเขตแดนลองนึกภาพฝูงฮิปโปจำนวนร่วม 50 ตัวอยู่ในบึงน้ำเดียว วันนึงฮิปโปขับถ่ายกันรวมๆแล้ววันละ 9.3 ตันเลยทีเดียว หากไม่ได้ปลาชนิดต่างๆคอยช่วยเก็บกินมูลของฮิปโป แม่น้ำและบึงน้ำในแอฟริกาก็คงไม่น่าพิสมัยจะดื่มสำหรับสัตว์หลายๆชนิดไปแล้ว 4.เกรี้ยวกราด : ฮิปโปเป็นหนึ่งในสัตว์บกขนาดใหญ่ที่อันตรายที่สุดชนิดหนึ่ง เป็นพวกหวงอาณาเขตรุนแรง หัวร้อนยิ่งกว่าผียักษ์ล่าผีส้น**เสียอีก การเตือนของฮิปโปคือการยืนอ้าปากกว้างเพื่อโชว์ฟันเขี้ยวและฟันตัดข่มขวัญ และหากไม่ฟังคำเตือนก็จะวิ่งเข้าใส่ทันทีด้วยความเร็วสูง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฮิปโปนั้นโจมตีและฆ่าคนตายปีนึงไม่ต่ำกว่า 500 คนต่อปี ส่วนใหญ่เป็นชาวประมงและนักท่องเที่ยวซาฟารีที่ล่องเรือในแม่น้ำแล้วโดนฮิปโปจับคว่ำเรือกะทันหันจนจมน้ำหรือโดนฮิปโปขย้ำซ้ำจนตายเพื่อรักษาเขตแดนให้ปลอดภัยจากผู้บุกรุก Reference10 Interesting Facts to Know About Hipposhttps://www.worldanimalprotection.us/.../10-interesting.../Zoobooks : Hippopotamus Hippo Poop Is Literally Suffocating Fishhttps://www.livescience.com/62593-hippo-poop-suffocates...Better red than deadhttps://www.theguardian.com/.../may/27/science.research1
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 22 ก.พ. 25
อ่าน 0 ครั้ง

"แมวดาว" "เสือปลา" ต่างกันอย่างไร ?
เนื่องด้วยแอดบิวเล็งเห็นปัญหาของสมาชิกกลุ่มในการจำแนกสัตว์ตระกูลแมวที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกโซเชี่ยลนั้นก็คือ "แมวดาว" กับ "เสือปลา" นั่นเอง ซึ่งหลายคนที่ส่งรูปเข้ามาในกลุ่มนี่ตัวอะไรทั้งหมดมักเป็นแมวดาวครับ แล้วน้องต่างกันอย่างไร มาดูความแตกต่างกันแบบคร่าวๆครับ แมวดาว (Mainland leopard cat - 𝘗𝘳𝘪𝘰𝘯𝘢𝘪𝘭𝘶𝘳𝘶𝘴 𝘣𝘦𝘯𝘨𝘢𝘭𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴)- แมวดาวเป็นแมวป่าขนาดเล็กที่ยังไม่ถึงกับเล็กสุดในไทย เล็กที่สุดในไทยยกให้กับแมวป่าหัวแบน (Flat-headed cat) ที่เป็นญาติสนิทกับแมวดาวและเสือปลาแต่ใกล้สูญพันธุ์แล้ว - แมวดาวมีลำตัวแต้มสีดำเป็นจุดเด่นตามชื่อของมัน ขนตามลำตัวสีออกน้ำตาลเหลือง ขนท้องสีขาวเด่นชัดมาก- แมวดาวมีเส้นลายบนใบหน้ากลางหน้าผากเว้าเล็กน้อย รูปทรงจึงเหมือนกับนาฬิกาทรายและแจกันนั่นเอง ทั้งยังมีแต้มสีขาวตรงขอบลายชัดเจนมาก- แมวดาวนั้นสามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทย ทั้งยังเป็นแมวป่าที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนจนเสียชีวิตบ่อย และมักเจอลูกแมวดาวกำพร้าตามสวนและพื้นที่เผาไหม้- แมวดาวเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 เสือปลา (Fishing cat - 𝘗𝘳𝘪𝘰𝘯𝘢𝘪𝘭𝘶𝘳𝘶𝘴 𝘷𝘪𝘷𝘦𝘳𝘳𝘪𝘯𝘶𝘴) - เสือปลาเป็นแมวป่าขนาดกลางที่ตัวใหญ่กว่าแมวดาวอย่างเห็นได้ชัด - เสือปลามีลำตัวสีเทา และลายแต้มเป็นสีเหมือนคราบสนิมหรือสีน้ำตาลชัดกว่าแมวดาวที่เป็นจุดสีดำ ขนท้องก็สีเทาเหมือนกับสีลำตัว - เสือปลามีเส้นลายบนใบหน้ากลางหน้าผากเป็นรูปทรงกระบอกน้ำกว้างไม่เว้าแบบแมวดาว ทั้งแต้มสีขาวบนใบหน้าก็ไม่เด่นเท่าแมวดาว - เสือปลาอาศัยอยู่ตามพื้นที่หนองน้ำและที่ชุ่มน้ำเป็นหลัก และยังเป็นหนึ่งในแมวป่าที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งแล้ว เหลือในพื้นที่อนุรักษ์ไม่ถึง 6 แห่งในปัจจุบัน จึงมีโอกาสยากที่จะเจอมากกว่าแมวดาวนั่นเอง ประชากรมากสุดคือ พื้นที่ชุ่มน้ำสามร้อยยอด อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีเสือปลาในพื้นที่อนุรักษ์นี้ทั้งหมด 67 ตัวเท่านั้น- เสือปลาเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562แหล่งข้อมูลอ้างอิง แมวดาว https://www.britannica.com/animal/leopard-cathttps://wildcatconservation.org/wild-cats/asia/leopard-cat/https://animalia.bio/leopard-cathttps://wildcatsmagazine.nl/.../asian-leopard-cat.../ เสือปลา https://wildcatconservation.org/wild-cats/asia/fishing-cat/https://nationalzoo.si.edu/animals/fishing-cathttps://www.seub.or.th/bloging/knowledge/2023-178/https://www.seub.or.th/bloging/knowledge/2023-65/
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 22 ก.พ. 25
อ่าน 36 ครั้ง

"แมลงตด" กับพลังเคมีแห่งอัคนี เรื่องน่าสนใจของสัตว์ที่พ่นความร้อนดั่งเปลวไฟ
ถ้าช่วงนี้ถามว่า มีสัตว์อะไรที่ดูน่าสนใจ คงหนีไม่พ้นเจ้าตัวนี้ที่ดังอีกระลอกมาจากการแชร์คลิป Reel ของสมาชิกกลุ่ม มันคือ "แมลงตด" หรือด้วงดินระเบิด (Bombardier beetle) ซึ่งบนโลกของเราก็ดันมีมากถึง 500 ชนิดทั่วโลกยกเว้นแอนตาร์กติก เจ้าแมลงตัวนี้อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าด้วงก้นกระดกที่เป็นแมลงมีพิษและกรดอันตราย ทว่าเจ้าแมลงตดนี้กลับมีพลังเคมีแห่งอัคนีเป็นของเด่นของดังบันลือโลก1.House of the Beetle !: รู้หรือไม่ว่า แมลงตดนี่แหละคือสัตว์เพียงพวกเดียวในโลกที่สามารถเปล่งพลังความร้อนหรือพลังแห่งอัคนีได้เท่านั้น ! ซึ่งในจินตนาการมนุษย์จะเข้าใจว่ามีแค่มังกรในเทพนิยายและซีรีย์ดังจะพ่นไฟออกมา แต่ความจริงแล้ว โลกเราไม่ได้อิงนิยายเพราะแมลงตดนี่แหละคือสัตว์ที่พ่นพลังเคมีผู้ร้อนดั่งเปลวไฟเผาผลาญได้ ฟังดูอาจจะโม้ ทันทีที่แมลงตดรู้สึกถึงภัย ร่างกายของมันจะปล่อยให้สารสองตัวผสมกัน คือ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogenperoxide) เมื่อสารสองตัวนี้ผสมกันภายในร่างกาย เกิดปฎิกิริยาทางเคมีและความร้อนส่งผลให้เกิดแก๊สและแรงดันในช่องท้อง พ่นละอองของสารพิษออกมาจากก้นมัน สารพิษนี้มีกลิ่นเหม็นฉุน บางครั้งอาจมีเสียงตดอีกด้วย ซึ่งเจ้าสารนี้นั้นมีอุณหภูมิสูง 100 องศาเซลเซียส ! ถ้าเทียบกับมังกร ก็คือไฟเผาอันร้อนแรง 2.กลไกอันน่าสะพรึง : ถ้าเจาะลึกกว่านี้คือ แมลงตดนั้นมีอวัยวะที่เก็บสารเคมีสองตัวนี้ไว้ในร่างกายที่ลักษณะเป็นต่อม เมื่อโดนคุกคาม ร่างกายจะหลั่งสารทั้งสองไปอยู่ในกระเปาะอวัยวะที่ทำให้สารสองตัวนี้ผสมกันในร่างกาย ขณะที่ผสมกันอยู่ เอนไซม์ตัวหนึ่งในร่างกายจะเกิดแก๊สความร้อนลอยตัวทำให้กล้ามเนื้อช่วงท้ายเกิดอาการเกร็งและปล่อยสารพ่นออกมา ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการที่พบได้ในแมลงแบบนี้ แล้วกรณีของมังกรละ มังกรในแฟนตาซีซีรีย์หลายเรื่องพ่นไฟออกมาจากการผสมของสารในร่างกายและประจุเชื้อเพลิงพ่นออกมาพร้อมกันอย่างมังกรในซีรีย์แฟนตาซี "Game of thornes" หรือจะเป็นมังกรที่พ่นไฟในลักษณะการสำรอกเชื้อเพลิงคล้ายกับการอ้วกพร้อมกับจุดประกายไฟขึ้นจากการกระดกลิ้นอย่างเจ้าเร้ดดราก้อนจาก "สูตรลับตำรับดันเจี้ยน" 3.ประยุกต์พลังอัคนี : นักวิทยาศาสตร์มองเห็นประโยชน์จากพลีงเคมีอัคนีของแมลงตนี้ จึงมีการนำประยุกต์มาใช้ในอุตสาหกรรมมากมาย อย่างที่ ETH Zurich University เขาได้ศึกษาสารเคมีของแมลงตดในการรักษาสภาพเงินขณะขนย้ายไปใส่ในตู้เอทีเอ็มไม่ให้เกิดการติดกันของธนบัตรเวลากดเงินจึงไม่มีใบเกินออกมานั่นเอง นอกจากนี้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังใช้ศึกษาเรื่องความสามารถในการทนความร้อนของอวัยวะที่ปล่อยสารเคมีร้อนออกมาจากช่วงท้ายของแมลงตดด้วย เพื่อศึกษาเรื่องวัตถุกันไฟและความร้อนสูงขณะปฏิบัติการได้ เจ้าแมลงตดนี้อาจจะมีเรื่องให้เล่าน้อย แต่ความสามารถในการพ่นสารเคมีเป็นความร้อนออกมาเกือบ 100 องศาเซลเซียส ก็ทำให้มันเด่นและดังมากในโลกของสัตว์ReferenceBombardier Beetle - SPEAKZEASYhttps://speakzeasy.wordpress.com/.../14/bombardier-beetle/Hot Sprays: Defence in the Bombardier Beetlehttps://insectenvironment.com/.../hot-sprays-defence-in...Bombardier beetles and their caustic chemical cannonhttps://www.nhm.ac.uk/.../bombardier-beetles-and-their...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 22 ก.พ. 25
อ่าน 27 ครั้ง

"ปลาแองเกลอร์" ผู้เกลียดแสงอาทิตย์ เรื่องน่าสนใจของปลาตกเบ็ดใต้ทะเลลึก
แอดบิวนั่งเกาหัวให้กับตรรกะทุ่งลาเวนเดอร์ที่บอกว่า ปลาแองเกลอร์ว่ายขึ้นมาเพื่ออยากเห็นแสงอาทิตย์ก่อนตายสักครั้งในชีวิต ซึ่งเป็นการสร้างโรแมนซ์ต่อชีวิตสัตว์โลกมากเกินไป การที่ปลาใต้ทะเลลึกจากโซนทไวไลท์ (ไม่ใช่แวมไพร์ทไวไลท์ซาก้านะ) ขึ้นมาเหนือน้ำบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย ร่างกายมีปัญหา หรือตกใจบางอย่างจากเบื้องล่างที่มาจากธรณีภาค และวันนี้แอดบิวจะพาสำรวจเรื่องเพี้ยนเรื่องแปลกของปลาแองเกลอร์กัน1.ข้าไม่ชอบแสง มันจ้า มันร้อน ! : ไหนใครฮัมเสียงพี่ชาคริตกับประโยคตะกี้บ้าง ปลาแองเกลอร์เป็นปลาทะเลลึกที่อยู่ในความลึกประมาณ 200-1,000 เมตร ซึ่งพวกนี้จะใช้ชีวิตหลีกเลี่ยงจากแสงแดดหรือแสงยูวีทั้งสิ้น อันเนื่องด้วยผิวของปลาเหล่านี้บอบบางมากเมื่ออยู่ในทะเลลึกที่ความดันสูงกว่าโซนผิวน้ำ ทำให้พื้นที่ผิวหนังเสื่อมทันทีเมื่อว่ายขึ้นมาเหนือน้ำว่ากันว่า แค่สวมถุงมือสัมผัสปลาแองเกอลร์ก็อาจทำให้ผิวหนังติดมือมาเลย หรือแค่กระแทกกับตู้กระจกก็อาจทำให้มันตายได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยเห็นปลาแองเกลอร์ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในสภาพตัวเป็นๆ แต่เรามักเจอในสภาพของตัวดองในโหลมากกว่านั่นเอง ดังนั้นการที่ปลาแองเกลอร์ว่ายขึ้นมาเหนือน้ำถือว่าผิดปกติมาก2.คันเบ็ดเรืองแสง : ปลาแองเกลอร์ส่วนใหญ่จะมีอวัยวะที่เหมือนเสาอากาศเหนือหัวที่สามารถขยับไปมาหน้าหลังได้ เรียกว่า "เอสก้า" (Esca) โดยมันสามารถเรืองแสงได้จากการที่มีแบคทีเรียเรืองแสงมาช่วยให้เจ้าปลาแองเกลอร์สามารถล่าเหยื่อใต้น้ำที่มืดมิดได้นอกจากนี้แล้ว มันยังมีเอาไว้เรียกหาตัวผู้ให้เข้ามาใกล้เพื่อผสมพันธุ์กับตัวเมียด้วย อย่างที่เราทราบกันดีว่า ปลาแองเกลอร์ตัวเมียนั้นตัวใหญ่กว่าตัวผู้เกือบ 40 เท่า และเมื่อตัวผู้เจอตัวเมีย มันจะทำการเข้าประสานร่างรวมกับตัวเมียทันทีจนค่อยๆดูดกลืนเป็นส่วนหนึ่งของตัวเมียไป3.อยู่บนโลกมานาน : ปลาแองเกลอร์อยู่บนโลกนี้ตั้งแต่ช่วง 130 ล้านปีก่อนจนถึงยุคปัจจุบัน เท่ากับว่าเจ้าปลาจำพวกนี้ผ่านช่วงเวลาที่ทีเร็กซ์จัดมวยปล้ำประเคนศึกตัวต่อตัวกับเอ็ดมอนโตซอรัส (𝘌𝘥𝘮𝘰𝘯𝘵𝘰𝘴𝘢𝘶𝘳𝘶𝘴) และผ่านช่วงที่มนุษย์ค้นพบการคุมไฟครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งพวกมันก็เป็นปลาน้ำลึกมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ในปัจจุบัน ปลาแองเกลอร์มีภัยคุกคามน้อยมาก แต่ญาติของมันบางชนิดอย่าง Monkfish (𝘓𝘰𝘱𝘩𝘪𝘶𝘴 𝘴𝘱.) ที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารอันแสนแพงในประเทศแถบเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะในเกาหลีใต้และประเทศญี่ปุ่น ตับปลาญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง อังกิโมะ (鮟肝) ก็เป็นของตับปลา Monkfish นั่นเองReferenceAnglerfish Facts / National Geographichttps://www.nationalgeographic.com/.../fish/facts/anglerfishDeep-sea anglerfish / Monterey bay aquariumhttps://www.montereybayaquarium.org/.../deep-sea-anglerfishCREATURE FEATURE : Anglerfish / Ocean Twilight Zonehttps://twilightzone.whoi.edu/.../creature.../anglerfish/"Evolutionary history of anglerfishes (Teleostei: Lophiiformes): a mitogenomic perspective"https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC2836326/
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 18 ก.พ. 25
อ่าน 1 ครั้ง

นกเขาโชโครโร่ หนึ่งในนกเขาที่หายากที่สุดในโลก
นกเขาโชโครโร่ สูญพันธุ์ไปจากถิ่นกำเนิดเดิมเมื่อราวๆปี 1972 นกเขาโชโครโร่ (Socorro dove - 𝘡𝘦𝘯𝘢𝘪𝘥𝘢 𝘨𝘳𝘢𝘺𝘴𝘰𝘯𝘪) เหลือเฉพาะในที่เลี้ยงไม่กี่แห่งในสวนสัตว์ยุโรป เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์นี้เอาไว้ ทางสวนสัตว์ลอนดอนร่วมมือกับสวนสัตว์หลายแห่งในอังกฤษและเม็กซิโกช่วยกันฟื้นฟูประชากรนกชนิดนี้ก่อนจะส่งกลับถิ่นกำเนิดตอนนี้ถิ่นกำเนิดเดิมอย่างเกาะโชโครโร่ ประเทศเม็กซิโก ยังเต็มไปด้วยฝูงแกะและแมวจรจัด ซึ่งปัญหาใหญ่คือ แกะกับแมวนี่แหละที่ทำให้นกเขาถิ่นเดียวของเกาะนี้ต้องหายไปนานหลายปี แกะได้ทำลายพื้นที่อยู่อาศัย และแมวจรจัดก็ไล่ล่าเก็บกินนกเขาชนิดนี้บนเกาะจนสูญพันธุ์แผนฟื้นฟูประชากรเริ่มต้นในที่เลี้ยง โดยระหว่างนี้หน่วยงานอนุรักษ์ก็ทำการกวาดต้อนเอาแกะออกจากเกาะและกำจัดพวกแมวจรจัดให้หมดจากเกาะก่อน หลังจากที่ประชากรนกเขาโชโครโร่เริ่มดีขึ้น ก็จะทำการนำกลับสู่ถิ่นฐานเดิมเพื่อไม่ให้ติดสถานะว่าสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติReferenceExtinct-in-the-Wild doves welcomed, as part of project to restore the species to the wildhttps://www.londonzoo.org/.../three-extinct-wild-doves...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 11 ก.พ. 25
อ่าน 2 ครั้ง