REPTALES
เรื่องราวสัตว์จาก ReptTown
หาบทความที่อยากอ่านไม่เจอใช่ไหม? อยากอ่านเรื่องไหน? ตามหาเรื่องถูกใจ เข้ามาที่นี่เลยยยย สารบัญของ RepTales

หาบทความที่อยากอ่านไม่เจอใช่ไหม? อยากอ่านเรื่องไหน? ตามหาเรื่องถูกใจ เข้ามาที่นี่เลยยยย สารบัญของ RepTales

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ RepTales แหล่งเล่าเรื่องราวสัตว์ของ Repttown ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาเราขอแนะนำตัวเองให้เพื่อนๆรู้จักก่อนRepttown.com เป็น Startup ที่เกิดจากกลุ่มนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ธรรมศาสตร์ ที่ชื่นชอบในการเลี้ยงสัตว์ ได้ลองพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อซัพพอร์ตผู้ที่เลี้ยงสัตว์, ผู้เพาะพันธุ์, และผู้ที่มีงานอดิเรกหรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ โดยเราได้ผ่านการเข้ารอบในรายการ KU Startup League 2020 และ Startup Thailand League 2020 และล่าสุดในปี 2025 ก็ได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ คือ " RepTales " นั่นเอง เข้าสู่สารบัญของ RepTales กันเล้ยยยยหมวดหมู่บทความจะถูกแยกเป็นตามผู้เขียน ***ถ้าเพื่อนๆต้องหาเฉพาะสัตว์สามารถหาได้ที่แถบค้นหาด้านบนเลย***กระต่ายAnixotic : ฟาร์มกระต่ายสายพันธุ์แท้ มาตราฐานอเมริกาและสัตว์เล็ก ที่จะมาเล่าเทคนิคต่างๆไม่ว่าจะสำหรับมือใหม่เช่นการเลือกซื้อ,ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกระต่าย ไปจนถึงสำหรับบรีดเดอร์เช่นการเลี้ยง, การเพาะพันธุ์ ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายยย>>> https://tales.repttown.com/?search=author:AnixoticงูบอลไพธอนLRP Ballpythons : ฟาร์มงูบอลไพธอนและผู้นำเข้างูบอลไพธอนจากทั่วทุกมุมโลก จะมาแนะนำเพื่อนๆทุกท่านเกี่ยวกับการจัดการปัญหาต่างๆไม่ว่าจะเป็นปัญหาสำหรับผู้เลี้ยงหรือฟาร์มเพาะพันธุ์ด้วยคำแนะนำจากฟาร์มและบรีดเดอร์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก>>> https://tales.repttown.com/?search=author:LRP%20BallpythonsProHerper Thailand : ห้องแลปสำหรับตรวจ DNA งูและสัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะ ซึ่งเขาจะมาเล่าเรื่องในแนววิชาการ สำหรับผู้ที่ต้องการความเข้าใจแบบเชิงลึก>>> https://tales.repttown.com/?search=author:ProHerper%20Thailandแฮมสเตอร์Party's Hamstery : ฟาร์มแฮมสเตอร์ชั้นนำประสบการณ์หลาย 10 ปีที่จะมาส่งต่อความรู้แบบเชิงลึกสำหรับผู้ที่อยากทำฟาร์มแฮมสเตอร์สายประกวดต้องทราบ!!!>>> https://tales.repttown.com/?search=author:Party%27s%20HamsteryTea Garden Hamsters : เพจที่รวบรวมข้อมูลสำหรับแฮมสเตอร์แบบครอบจักรวาล ตั้งแต่ พันธุกรรมยีนสี ที่หาเป็บทความภาษาอังกฤษยังยากกก จนไปถึง แกะข้อมูลอาหารและผลิตภัณฑ์ของแฮมสเตอร์แทบทุกแบรนด์ในไทย พร้อมคำแนะนำแบบละเอียดยิบ ใครที่เลี้ยงแฮมสเตอร์บอกเลยว่า ห้ามพลาดดด>>> https://tales.repttown.com/?search=author:Tea%20Garden%20Hamstersหมวดหมู่ทั่วไปRepttown : บทความจากแพลตฟอร์มซื้อ-ขายสัตว์เลี้ยงและสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษอันดับท๊อปของไทย www.repttown.com ที่จะมาแนะนำเกี่ยวกับวิธีเลี้ยงสัตว์ชนิดพิเศษสายพันธุ์ต่างๆอย่างเข้าใจง่าย เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการเลี้ยงสัตว์ชนิดนั้นๆ>>> https://tales.repttown.com/?search=author:RepttownBKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006 : สุดยอดแฟนพันธุ์แท้แค่นี้ก็แทบไม่ต้องพูดถึงความเก่งกาจและความชำนาญของนักเขียนท่านนี้แล้ว คุณบิว BK ถูกเรียกว่าสารานุกรมสัตว์ป่าเคลื่อนที่ โดยเขาจะนำเรื่องราวของสัตว์ทั่วโลกมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านแบบแทบทุกวันที่นี่ บอกเลยว่าอ่านเพลินจนเช้าแน่นอนนน>>> https://tales.repttown.com/?search=author:BKwildlifemaster%20-%20%20%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%202006

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 03 ก.พ. 25

อ่าน 35 ครั้ง


🐣 มือใหม่หัดเลี้ยง Exotic Pets ต้องรู้อะไรบ้าง? คู่มือฉบับเริ่มต้น

🐣 มือใหม่หัดเลี้ยง Exotic Pets ต้องรู้อะไรบ้าง? คู่มือฉบับเริ่มต้น

การเลี้ยง สัตว์เลี้ยงแปลก (Exotic Pets) อาจดูน่าตื่นเต้นและไม่เหมือนใคร แต่ก็มีความท้าทายเฉพาะตัวที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะสำหรับ "มือใหม่" การเตรียมความรู้และความพร้อมก่อนรับสัตว์เหล่านี้เข้าบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก🎯 ทำไม Exotic Pets ถึงน่าสนใจ?มีรูปร่าง สีสัน หรือนิสัยที่ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงทั่วไปเป็นมิตร เงียบสงบ เหมาะกับคนอยู่คอนโดหรือมีพื้นที่จำกัดบางชนิดไม่ต้องพาออกไปเดินเล่นหรือต้องดูแลทุกวัน✅ สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มเลี้ยง Exotic Pets1. รู้จักสัตว์ที่จะเลี้ยงให้ดีศึกษาพฤติกรรม, วงจรชีวิต, โรคที่พบบ่อย และความต้องการเฉพาะทางตัวอย่างเช่น งูบอลไพธ่อน ต้องมีที่หลบซ่อนและอุณหภูมิคงที่ หรือ เม่นแคระ ต้องระวังอาการขี้ตกใจ2. อุปกรณ์และที่อยู่อาศัยเตรียมตู้หรือกรงที่เหมาะสมกับขนาดและลักษณะของสัตว์ตรวจสอบระบบควบคุมอุณหภูมิ/ความชื้น (เช่น ฮีตเตอร์, หลอด UVB, มิเตอร์วัดอุณหภูมิ)3. อาหารและโภชนาการหาข้อมูลเรื่องอาหารที่ถูกต้อง เช่นกิ้งก่าเบี๊ยดดราก้อน: จิ้งหรีด, ผักใบเขียวเต่าบกซูคาต้า: หญ้า, ฟางแห้ง, ผักที่ไม่มีแคลเซียมสูงเกินหลีกเลี่ยงการให้อาหาร "จากการคาดเดา" เพราะสัตว์บางชนิดอาจตายได้จากของที่คนคิดว่าไม่เป็นไร4. สุขภาพและการดูแลเรียนรู้สัญญาณป่วยเบื้องต้น เช่น ไม่กินอาหาร, หายใจเสียงดัง, อ่อนแรงตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญ exotic pets เป็นระยะ5. ความถูกต้องตามกฎหมายบางชนิดอาจอยู่ในบัญชีไซเตส (CITES) หรือกฎหมายไทยห้ามครอบครองควรซื้อจากร้าน/ฟาร์มที่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง เช่น มีใบอนุญาตจากกรมอุทยานฯ6. งบประมาณในการเลี้ยงค่าใช้จ่ายเริ่มต้น (ซื้อสัตว์ + อุปกรณ์พื้นฐาน): 1,500 – 20,000+ บาทค่าใช้จ่ายรายเดือน (อาหาร, ไฟฟ้า, วัสดุรองพื้น, ยา): 300 – 3,000 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดสัตว์🚫 สิ่งที่ไม่ควรทำซื้อสัตว์แปลกจากตลาดมืดหรือไม่รู้แหล่งที่มานำสัตว์ไปสัมผัสกับคนอื่นโดยไม่แน่ใจเรื่องโรคเลี้ยงร่วมกับสัตว์อื่นที่มีขนาดต่างกันโดยไม่ได้ศึกษาก่อนคิดว่า Exotic Pets “ทน” และไม่ต้องดูแลเท่าสุนัข/แมว (ความคิดนี้ผิด!)🛠 แนะนำอุปกรณ์เบื้องต้นที่มือใหม่ควรมีอุปกรณ์ใช้ทำอะไรประมาณราคากล่อง/ตู้เลี้ยงที่อยู่อาศัยหลัก500–3,000฿หลอด UVBจำเป็นสำหรับสัตว์เลื้อยคลาน500–1,500฿ฮีตเตอร์/แผ่นความร้อนควบคุมอุณหภูมิ300–1,000฿เครื่องวัดอุณหภูมิ/ความชื้นตรวจสภาพแวดล้อม200–800฿วัสดุรองพื้นดูดซับของเสีย100–500฿🧠 เคล็ดลับสำหรับมือใหม่เริ่มต้นจากสัตว์ที่เลี้ยงง่ายก่อน เช่น เม่นแคระ, กบฮอร์น, กิ้งก่าเบี๊ยดดราก้อนเข้าร่วมกลุ่มออนไลน์หรือฟอรั่มเกี่ยวกับ Exotic Pets เพื่อเรียนรู้จากคนเลี้ยงจริงถ่ายภาพ/จดบันทึกพฤติกรรมสัตว์ทุกวันในช่วงแรก จะช่วยให้จับอาการผิดปกติได้เร็ว📚 อ้างอิง (References)AVMA Exotic Pet Care Guidehttps://www.avma.orgReptifiles – Beginner’s Guide to Reptile Carehttps://www.reptifiles.comExotic Animal Medicine – Merck Veterinary Manualhttps://www.merckvetmanual.com
Exotic Pets

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 20 พ.ค. 25


🌟 Exotic Pets คืออะไร? แนะนำ 10 สัตว์เลี้ยงแปลกยอดนิยมในไทย

🌟 Exotic Pets คืออะไร? แนะนำ 10 สัตว์เลี้ยงแปลกยอดนิยมในไทย

Exotic Pets คืออะไร?Exotic Pets หรือ “สัตว์เลี้ยงแปลก” คือสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงทั่วไป เช่น สุนัขหรือแมว แต่เป็นสัตว์สายพันธุ์พิเศษหรือหายากที่มีถิ่นกำเนิดต่างประเทศ หรือมีลักษณะเฉพาะที่ไม่พบเห็นบ่อยในบ้านเรา เช่น เม่นแคระ งู กิ้งก่า หรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบางชนิดสัตว์เหล่านี้มักต้องการการดูแลที่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงทั่วไป เช่น เรื่องอุณหภูมิ อาหาร หรือการจัดสภาพแวดล้อม แต่ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีเสน่ห์เฉพาะตัว และให้ประสบการณ์เลี้ยงที่น่าท้าทาย🐾 10 สัตว์ Exotic ยอดนิยมในไทย1. เม่นแคระแอฟริกา (African Pygmy Hedgehog)ขนาดเล็ก เลี้ยงง่าย ไม่ส่งเสียงดังต้องการอุณหภูมิที่อบอุ่นและการให้อาหารเฉพาะอายุเฉลี่ย: 3–6 ปี2. ซูการ์ไกลเดอร์ (Sugar Glider)หนูบินขนาดเล็ก ชอบอยู่เป็นกลุ่มต้องการกรงขนาดใหญ่และของเล่นปีนป่ายชอบอาหารที่มีน้ำตาลตามธรรมชาติ เช่น น้ำหวานผลไม้3. งูบอลไพธ่อน (Ball Python)งูไม่มีพิษ ขนาดเล็ก-กลาง เรียบร้อยเลี้ยงในกล่องหรือกลาสเฮาส์ที่ควบคุมอุณหภูมิอายุเฉลี่ย: 20–30 ปี4. กิ้งก่าเบี๊ยดดราก้อน (Bearded Dragon)อัธยาศัยดี ติดคนต้องการแสง UVB และอาหารทั้งแมลงกับผักอายุเฉลี่ย: 8–12 ปี5. เฟอเร็ต (Ferret)ขี้เล่น ฉลาด แต่มีกลิ่นเฉพาะตัวควรเลี้ยงในบ้านหรือกรงขนาดใหญ่ต้องการของเล่นและการเข้าสังคม6. กบฮอร์นแปซิฟิก (Pacman Frog)กบขนาดใหญ่ กินแมลงและสัตว์ขนาดเล็กไม่ชอบถูกรบกวน เหมาะสำหรับดูมากกว่าสัมผัส7. เต่าซูคาต้า (Sulcata Tortoise)เต่าบกขนาดใหญ่ โตช้าชอบอากาศร้อนและต้องมีพื้นที่ให้เดินอายุเฉลี่ย: 50–70 ปี8. แมงมุมทาแรนทูล่า (Tarantula)เลี้ยงง่าย ไม่ต้องให้อาหารทุกวันเหมาะกับคนไม่กลัวแมงมุมและต้องการสัตว์เลี้ยงที่เงียบ9. กุ้งเครฟิช (Crayfish)มีหลายสี เช่น ฟ้า ม่วง ชมพูนิยมเลี้ยงในตู้ปลาขนาดเล็ก-กลางไม่ควรเลี้ยงรวมกับปลาตัวเล็ก10. กบต้นไม้เขียว (Green Tree Frog)สีสวย น่ารัก ชอบอาศัยบนต้นไม้ต้องการความชื้นและอุณหภูมิคงที่เลี้ยงในตู้กระจกแนวตั้ง🧠 สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลี้ยง Exotic Petsควรศึกษาความต้องการเฉพาะของสัตว์แต่ละชนิดตรวจสอบว่าไม่ผิดกฎหมายหรือขัดต่ออนุสัญญาไซเตส (CITES)หาที่มาจากฟาร์มหรือผู้เพาะเลี้ยงที่มีใบอนุญาตเตรียมพร้อมรับผิดชอบระยะยาว เพราะสัตว์บางชนิดมีอายุยืนมาก📚 อ้างอิง (References)Exotic Pet Ownership Guidelines – American Veterinary Medical Association (AVMA)https://www.avma.org"Top 10 Most Popular Exotic Pets" – PetMDhttps://www.petmd.com/exotic/care/evr_ex_top_10_exotic_petsCITES Thailand – กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชhttp://www.dnp.go.thAnimal Diversity Web – University of Michiganhttps://animaldiversity.org

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 20 พ.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง


สารคัดหลั่งสีแดงในหนูแรท: ไม่ใช่เลือด แต่เป็นสัญญาณบางอย่าง!

สารคัดหลั่งสีแดงในหนูแรท: ไม่ใช่เลือด แต่เป็นสัญญาณบางอย่าง!

หากคุณเลี้ยงหนูแรทแล้ววันหนึ่งเห็นของเหลวสีแดง ๆ บนจมูกหรือรอบดวงตาของมัน คุณอาจตกใจคิดว่าหนูของคุณกำลังมีเลือดออก! แต่เดี๋ยวก่อน… สิ่งที่คุณเห็นนั้นอาจไม่ใช่เลือด แต่เป็น สาร Porphyrin ซึ่งเป็นของเหลวที่หนูแรทผลิตขึ้นเองอย่าเพิ่งตกใจไป เพราะสารนี้เป็นเรื่องปกติของหนูแรท แต่ถ้ามันเยอะผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณว่ามีอะไรบางอย่างไม่โอเค! วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันว่า Porphyrin คืออะไร? ทำไมหนูของคุณถึงมีมันมากขึ้น? และจะช่วยให้หนูสุขภาพดีได้อย่างไร?Porphyrin คืออะไร? ทำไมมันถึงเป็นสีแดง?Porphyrin เป็นสารที่ผลิตจาก ต่อมฮาร์เดอเรียน (Harderian Gland) ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับดวงตาของหนู สารนี้ช่วยให้ดวงตาของหนูชุ่มชื้น แต่เมื่อมันเยอะเกินไป หนูก็อาจดูเหมือนมีน้ำตาสีแดง หรือมีคราบสีแดง ๆ รอบจมูกและปากได้ที่สำคัญ มันไม่ใช่เลือด! แต่ถ้ามีมากเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเจ้าหนูของคุณ กำลังเครียด ป่วย หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมอะไรทำให้หนูแรทมีสารคัดหลั่งสีแดงเยอะขึ้น?🥶 ความเครียดหนูแรทเป็นสัตว์ที่อ่อนไหว ถ้ามีเสียงดัง การเปลี่ยนแปลงกรง หรือถูกจับบ่อยเกินไป อาจทำให้มันเครียดและสร้าง Porphyrin ออกมามากขึ้น🤒 ป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพหนูที่ป่วย เช่น เป็นโรคทางเดินหายใจ หรือมีปัญหากับระบบภูมิคุ้มกัน อาจหลั่ง Porphyrin ออกมามากกว่าปกติ🌬 อากาศแห้งหรือสารระคายเคืองถ้ากรงของหนูมีฝุ่นเยอะ หรืออยู่ในห้องที่มีอากาศแห้งเกินไป สารนี้ก็อาจออกมาเยอะกว่าปกติ🍽 อาหารไม่สมดุลหากหนูไม่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ร่างกายของมันอาจผลิตสารคัดหลั่งสีแดงมากขึ้นแล้วเราจะช่วยหนูของเราได้ยังไง?✅ ดูแลสภาพแวดล้อมให้ดีใช้วัสดุปูรองกรงที่ไม่มีฝุ่น เช่น Tinycobตั้งกรงในที่สงบ ห่างจากเสียงดังและควันบุหรี่✅ ให้โภชนาการที่เหมาะสมให้อาหารที่ครบถ้วน มีโปรตีน ไขมัน และวิตามินเพียงพอ✅ ลดความเครียดอย่าจับหนูบ่อยเกินไปโดยเฉพาะถ้ามันยังไม่คุ้นมือคุณให้มันมีที่หลบซ่อนในกรง เช่น บ้านไม้หรือท่อพลาสติก✅ สังเกตอาการผิดปกติถ้าหนูแสดงอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หายใจติดขัด ซึม หรือเบื่ออาหาร ควรพาไปพบสัตวแพทย์สรุปง่าย ๆ : สารคัดหลั่งสีแดงเป็นเรื่องปกติ แต่อย่ามองข้าม!หากเห็นของเหลวสีแดงในหนูแรท อย่าเพิ่งตกใจ เพราะมันไม่ใช่เลือด! แต่ถ้ามันมีเยอะผิดปกติ หรือหนูของคุณดูอ่อนแอ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าหนูกำลังเครียดหรือป่วย รีบตรวจสอบสภาพแวดล้อมและดูแลมันให้ดี!เขียนโดย Theme CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 01 เม.ย. 25

อ่าน 17 ครั้ง


กระต่ายสีส้มขนมีเขม่าเยอะมากไม่เหมือนส้มตัวอื่นเลย เกิดจากอะไร??? ทำความรู้จักกับ Rufus Modifiers และ Wideband Gene: ปัจจัยสำคัญของสีขนในกระต่าย

กระต่ายสีส้มขนมีเขม่าเยอะมากไม่เหมือนส้มตัวอื่นเลย เกิดจากอะไร??? ทำความรู้จักกับ Rufus Modifiers และ Wideband Gene: ปัจจัยสำคัญของสีขนในกระต่าย

Rufus Modifiers และ Wideband Gene คืออะไร?Rufus Modifiers และ Wideband Gene เป็นปัจจัยทางพันธุกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสีขนของกระต่าย โดยเฉพาะในสายพันธุ์ที่มีสีแดง (Red) ส้ม (Orange) หรือฟอว์น (Fawn) ทั้งสองยีนนี้ทำงานร่วมกันเพื่อปรับเฉดสีและการกระจายตัวของเม็ดสีในขนของกระต่ายRufus Modifiers คืออะไร?Rufus Modifiers เป็นชุดของยีนที่ส่งผลต่อระดับของเม็ดสี phaeomelanin (เม็ดสีเหลือง-แดง) ในขนของกระต่าย ยีนเหล่านี้ไม่ได้เป็นยีนเดี่ยว แต่เป็นกลุ่มของยีนหลายตัวที่ควบคุมความเข้มหรืออ่อนของสีแดงลักษณะทางพันธุกรรมของ Rufus Modifiers:ลักษณะทางพันธุกรรม: Rufus Modifiers ไม่ใช่ยีนเดี่ยวที่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่เป็นกลุ่มของ polygenes หรือ modifier genes ที่ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มความเข้มของเม็ดสีเหลือง-แดง (phaeomelanin) ในขนของกระต่าย ​การแสดงออก: เนื่องจากเป็น polygenic การแสดงออกของ Rufus Modifiers จึงไม่เป็นแบบเด่นหรือด้อยตามกฎของ Mendel แต่เป็นการเพิ่มหรือลดระดับของสีแดงในขน ขึ้นอยู่กับจำนวนและความเข้มข้นของ modifiers ที่มีอยู่หน้าที่ของ Rufus Modifiers:เพิ่มความเข้มของสีแดงในขนทำให้สีของกระต่ายดูสดใสขึ้น เช่น จากสีส้มอ่อนเป็นสีแดงเข้มพบได้ในกระต่ายที่มีสี Orange, Red และ Fawnระดับของ Rufus Modifiers:ระดับต่ำ: สีขนออกไปทางเหลืองหรือส้มอ่อนระดับสูง: สีขนออกไปทางแดงเข้ม (พบในกระต่าย Red เช่น Thrianta หรือ Red New Zealand)Wideband Gene คืออะไร?Wideband Gene (W/w) เป็นยีนที่มีอิทธิพลต่อการกระจายของเม็ดสีในขน โดยเฉพาะในกระต่ายที่มีลวดลายแบบ Agouti (A_) และสีแดง-ส้ม ช่วยให้สีขนดูเรียบเนียน ไม่มีการแซมของสีดำหรือสีเข้มลักษณะทางพันธุกรรมของ Wideband Gene:ลักษณะทางพันธุกรรม: Wideband Gene ถูกระบุด้วยสัญลักษณ์ W และ w โดยที่ w เป็นยีนด้อย ซึ่งหมายความว่ากระต่ายต้องได้รับยีน w จากทั้งพ่อและแม่ (genotype: ww) เพื่อให้แสดงลักษณะ wideband อย่างเต็มที่ ​การแสดงออก: ยีน Wideband มีผลต่อการขยายความกว้างของแถบสีในขนของกระต่ายที่มีลวดลายแบบ Agouti ทำให้สีขนดูสว่างขึ้นและลดการแซมของสีดำ (ticking) อย่างไรก็ตาม ผลของยีนนี้จะเห็นได้ชัดเจนในกระต่ายที่มีลวดลาย Agouti และอาจไม่แสดงผลในกระต่ายที่มีลวดลายอื่นหน้าที่ของ Wideband Gene:ลดการเกิดสีแซมดำ (ticking) ในขนของกระต่ายขยายพื้นที่ของเม็ดสีเหลือง-แดง ทำให้สีขนดูสดขึ้นพบมากในกระต่ายที่มีสี Red, Orange และ Harlequinยีน Wideband (W/w) ทำงานอย่างไร?WW หรือ Ww: กระต่ายอาจมีสีขนแซมหรือมีลวดลายชัดขึ้นww: ขนจะเป็นสีเดียวตลอดทั้งเส้น (ไม่มี ticking) ทำให้กระต่ายมีสีแดงสด เช่นใน ThriantaRufus Modifiers และ Wideband Gene ทำงานร่วมกันอย่างไร?กระต่ายสี Red หรือ Orange ที่มีสีขนเข้มและสดใส มักต้องมีการทำงานร่วมกันของ Rufus Modifiers สูง และ ww (Wideband แบบด้อย) เช่น:ตัวอย่างชุดยีนและสีขนที่เกิดขึ้น:ee ww + Rufus Modifiers สูง → กระต่ายสีแดงเข้ม (เช่น Thrianta)ee Ww + Rufus Modifiers ปานกลาง → กระต่ายสีส้ม (เช่น Orange Holland Lop)Ee WW + Rufus Modifiers ต่ำ → สีขนอ่อนกว่าและมีสีแซมดำA_ ww ee + Rufus Modifiers สูง → กระต่ายสีแดงแบบ Agouti (Fawn หรือ Red Agouti)A_ WW Ee + Rufus Modifiers ต่ำ → กระต่ายสี Agouti ธรรมดา (Chestnut)หมายเหตุ: ชุดยีนเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างและอาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อสีขนของกระต่ายด้วยตัวอย่างชุดยีนและสีขนที่เกิดขึ้นA_ B_ C_ D_ ee ww: กระต่ายสีแดง (Red) ที่มีสีขนสม่ำเสมอและไม่มีการแซมของสีดำ​A_ B_ C_ D_ ee Ww: กระต่ายสีส้ม (Orange) ที่อาจมีการแซมของสีดำเล็กน้อย​A_ B_ C_ D_ Ee ww: กระต่ายสีเชสนัท (Chestnut) ที่มีสีขนอ่อนกว่าและอาจมีการแซมของสีดำ​เพียงเล็กน้อยสรุปRufus Modifiers และ Wideband Gene เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดสีขนของกระต่าย โดย Rufus Modifiers ควบคุมความเข้มหรืออ่อนของสีแดง ส่วน Wideband Gene ควบคุมการกระจายตัวของเม็ดสี การทำงานร่วมกันของทั้งสองยีนนี้ช่วยให้กระต่ายมีสีแดง-ส้มที่สวยงามและสม่ำเสมอ ดังนั้น หากต้องการกระต่ายสีแดงเข้ม ต้องมี ee ww + Rufus Modifiers สูง เพื่อให้สีขนออกมาตามต้องการหากคุณกำลังเพาะพันธุ์กระต่ายที่มีสีขนสวยงาม การเข้าใจเรื่อง Rufus Modifiers และ Wideband Gene จะช่วยให้คุณคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น!เขียนโดย Theme CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 30 มี.ค. 25

อ่าน 4 ครั้ง


เลือกซื้อกระต่ายอย่างไรให้ไม่โดนหลอกกก👻

เลือกซื้อกระต่ายอย่างไรให้ไม่โดนหลอกกก👻

กระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่มีทั้งความน่ารักและความหลากหลายของสายพันธุ์ หากคุณกำลังมองหากระต่ายที่มีคุณภาพดี การเลือกซื้อตามฟาร์มระบบปิดก็ช่วยให้คุณมีโอกาสได้รับกระต่ายที่มีสุขภาพดีมากขึ้น หรือ ให้ดีกว่านั้นก็เลือกซื้อจากฟาร์มที่มีการพัฒนาตามมาตราฐานสายพันธุ์ ซึ่งในไทยจะนิยมเพาะตาม มาตรฐานของ American Rabbit Breeders Association (ARBA) แต่ก็มีบ้างที่เพาะตาม มาตราฐานของยุโรปถ้าหากคุณยังไม่เข้าใจเรื่องเกรดของกระต่าย แนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อน >>> เกรดของกระต่าย??? ทำไมกระต่ายถึงมีหลายเกรด***แต่ละฟาร์ม หน้าตาและรูปร่างของกระต่ายจะไม่เหมือนกันดังนั้นก่อนซื้อกระต่ายแนะนำให้เลือกดูจากหลายๆฟาร์มก่อนหรือดูที่งานประกวด***1. ทำความเข้าใจกับมาตรฐาน ARBAARBA (American Rabbit Breeders Association) เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานสำหรับกระต่ายแต่ละสายพันธุ์ โดยครอบคลุมลักษณะสำคัญ เช่น ขนาด รูปร่าง สี และโครงสร้างของร่างกาย✅ ปัจจุบัน ARBA รับรองมากกว่า 50 สายพันธุ์ แบ่งตามลักษณะขนาดและรูปร่าง เช่นสายพันธุ์ขนาดเล็ก (Small Breeds): Netherland Dwarf, Holland Lopสายพันธุ์ขนาดกลาง (Medium Breeds): Mini Rex, Dutchสายพันธุ์ขนาดใหญ่ (Large Breeds): Flemish Giant, French Lop2. การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมก่อนเลือกซื้อกระต่าย ควรพิจารณาว่าสายพันธุ์ไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณขนาดตัวอย่างสายพันธุ์น้ำหนักโดยเฉลี่ยนิสัยเล็ก (1-2 กก.) Netherland Dwarf, Holland Lop 0.9 - 2 กก.ขี้เล่น, ซุกซนกลาง (2-4 กก.) Mini Rex, Dutch, English Spot 2 - 4 กก.อ่อนโยน, เป็นมิตรใหญ่ (4 กก. ขึ้นไป) Flemish Giant, French Lop 4 - 6 กก. ขึ้นไปสุขุม, เชื่อง✳ หากต้องการกระต่ายที่เลี้ยงง่าย – Mini Rex หรือ Holland Lop เป็นตัวเลือกที่ดี✳ หากต้องการกระต่ายขนาดใหญ่และสุขุม – Flemish Giant อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม3. วิธีตรวจสอบสุขภาพและคุณภาพของกระต่ายเมื่อตัดสินใจเลือกซื้อกระต่าย ควรตรวจสอบลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมตามมาตรฐาน ARBA✅ ลักษณะกระต่ายที่ดีตามมาตรฐาน ARBA✔ ขนเงางามและสะอาด – ไม่ควรมีแผล รอยกัด หรือขนร่วงเป็นหย่อม ๆ✔ หูสะอาด ไม่มีไรหรืออาการอักเสบ – กระต่ายควรมีหูที่สะอาดและตั้งตรง (ยกเว้นสายพันธุ์ Lop ที่มีหูตก)✔ ดวงตาสดใส ไม่มีขี้ตาหรืออาการบวมแดง – สะท้อนถึงสุขภาพที่แข็งแรง✔ ฟันไม่ยาวเกินไป – ฟันควรเรียงตัวสม่ำเสมอ ไม่มีอาการฟันผิดรูป✔ โครงสร้างกระดูกสมดุล – ควรมีกระดูกแข็งแรง รูปร่างได้สัดส่วน ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป✔ กระตือรือร้นและเป็นมิตร – ไม่ซึม หรือขี้กลัวจนเกินไป🚨 ข้อควรระวัง:❌ กระต่ายที่ขนร่วงผิดปกติ อาจมีปัญหาสุขภาพ❌ กระต่ายที่มีจมูกแฉะ หรือจามบ่อย อาจมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ❌ กระต่ายที่ก้าวร้าวมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของความเครียดหรือปัญหาทางพันธุกรรม4. แหล่งซื้อกระต่ายที่น่าเชื่อถือ✅ ฟาร์มที่ได้รับการรับรองจากสมาคมที่ – ควรซื้อจากฟาร์มหรือผู้เพาะพันธุ์ที่มีชื่อเสียงและปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยงดูที่ดี ในประเทศไทยจะมีสมาคมผู้พัฒนาพันธุ์กระต่าย Rabbit Breeder Association-Thailand✅ งานประกวดกระต่าย – เป็นแหล่งที่คุณสามารถพบกระต่ายสายพันธุ์แท้ที่มีคุณภาพสามารถติดตามงานประกวดได้ที่เพจสมาคมต่างๆ🚫 หลีกเลี่ยงการซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น ตลาดสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจมีกระต่ายที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น งานที่นำกระต่ายมาขายแบบใส่กรงรวมๆกัน5. ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการเลี้ยงกระต่ายก่อนตัดสินใจซื้อ ควรเตรียมงบประมาณสำหรับดูแลกระต่ายอย่างเหมาะสมรายการค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (บาท)ค่ากระต่าย ( ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์, เกรด, สี ) 500+กรง 200+อุปกรณ์ให้อาหารและน้ำ 200+อาหารและหญ้าแห้ง 500 - 1,000 ต่อเดือนค่าดูแลสุขภาพ ( วัคซีน, ตรวจสุขภาพ ) 500 - 3,000 ต่อปี🔹 งบประมาณโดยรวม: ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 2,000+ บาท และค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 300+ บาทสรุป✅ การเลือกซื้อกระต่ายตามมาตรฐาน ARBA จะช่วยให้คุณได้กระต่ายที่มีคุณภาพดี สุขภาพแข็งแรง และมีนิสัยที่เหมาะสมกับการเลี้ยง✅ ตรวจสอบสุขภาพก่อนซื้อ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและโรคที่อาจเกิดขึ้น✅ เลือกแหล่งซื้อที่เชื่อถือได้ เช่น ฟาร์มที่ได้รับการรับรอง หรืองานประกวดกระต่ายเขียนโดย Theme CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 27 มี.ค. 25

อ่าน 7 ครั้ง


เพาะกระต่ายให้ได้สีตรงใจ!! ไม่ยาก ถ้าเข้าใจรหัสพันธุกรรมยีนสีกระต่าย

เพาะกระต่ายให้ได้สีตรงใจ!! ไม่ยาก ถ้าเข้าใจรหัสพันธุกรรมยีนสีกระต่าย

เคยได้ยินไหม "กระต่ายสีนั้นทำยาก กระต่ายสีนี้มีน้อย"ถ้าเป็นมือใหม่จะได้ยินบ่อยจากบรีดเดอร์ที่มีความเข้าใจเรื่องยีนสีไม่ดีนักแต่จริงๆแล้วสีทำยาก อาจจะมาจากสาเหตุคือกระต่ายที่ฟาร์มนั้นๆไม่มียีนสีนั้นหรือมีน้อย ทำให้สีนั้นๆมีให้เห็นนานๆทีหรือไม่มีเลยสีหายาก อาจจะมาจากสาเหตุคือสีนี้ในกระต่ายสายพันธุ์นั้นยังไม่ถูกยืนยันจากสมาคมที่จัดงานประกวดทำให้ประกวดไม่ได้ ฟาร์มเลยไม่นิยมเพาะให้ได้สีนี้กันแต่ถ้าเราอยากทำสีนั้นๆล่ะ??? เรื่องสำคัญที่ควรรู้และจะไม่มีสีไหนทำยากอีกเลยก็คือ รหัสพันธุกรรมสีกระต่ายยยยย!!!!!กระต่ายมีสีขนหลากหลาย เพราะมียีนควบคุมสีขนที่ทำงานร่วมกัน โดยรหัสพันธุกรรมของสีกระต่ายถูกกำหนดโดย "อัลลีล (Alleles)" หรือหน่วยยีนที่ได้รับจากพ่อแม่ เราจะมาทำความเข้าใจว่าระบบนี้ทำงานยังไงแบบง่าย ๆ1. รหัสพันธุกรรมสีกระต่าย (Rabbit Color Genetics) คืออะไร?กระต่ายมี 5 ตำแหน่งยีนหลัก (Loci, Locus) ที่ควบคุมสีขน ได้แก่ตำแหน่งยีนอักษรย่อควบคุมเรื่องอะไร?A Locus A, at, a คือ ลายขนพื้นฐาน เช่น Agouti, Otter, SelfB Locus B, b คือ สีดำ (Black) หรือ สีน้ำตาล (Chocolate)C Locus C, cchd, cchl, ch, c คือ ความเข้มของสี เช่น Albino, HimalayanD Locus D, d คือ สีเข้ม (Dense) หรือ สีซีดจาง (Dilute)E Locus Es, E, ej, e คือ การกระจายของเม็ดสี เช่น สี Solid หรือ Harlequin2. วิธีการทำงานของยีนสีกระต่าย (เข้าใจง่าย!)🐰 กระต่ายได้รับยีนจากพ่อและแม่อย่างละ 1 ตัว (รวมเป็นคู่) เช่น ถ้าแม่มียีน B B และพ่อมียีน B b ลูกกระต่ายจะได้ยีน B หนึ่งตัวจากพ่อและ B หรือ b จากแม่🐰 บางยีนเป็น "เด่น (Dominant)" และบางยีนเป็น "ด้อย (Recessive)"ถ้ามียีนเด่นอยู่ 1 ตัว มันจะครอบยีนด้อย เช่น B (ดำ) > b (น้ำตาล) ดังนั้น กระต่ายที่มี Bb ก็ยังคงเป็นสีดำกระต่ายจะแสดงลักษณะของยีนด้อยก็ต่อเมื่อได้รับยีนด้อยทั้งสองตัว เช่น bb = น้ำตาล🐰 ยีนหลายตำแหน่งทำงานร่วมกันเช่น ถ้ากระต่ายมี A_ B_ C_ D_ E_ (ตัวอักษรใหญ่แปลว่ายีนเด่น) มันจะเป็นกระต่ายสี Agouti ธรรมชาติ3. ระบบสีหลักของกระต่าย🐰 อธิบายรหัสพันธุกรรมกลุ่ม A, B, C, D, และ E ของกระต่าย (เข้าใจง่าย!)รหัสพันธุกรรมของสีกระต่ายถูกควบคุมโดย 5 ตำแหน่งหลัก (Loci, Locus) ได้แก่✅ A Locus → ควบคุมลายขน✅ B Locus → ควบคุมเฉดสีดำ/น้ำตาล✅ C Locus → ควบคุมความเข้มของสี✅ D Locus → ควบคุมความเข้ม/ซีดของสี✅ E Locus → ควบคุมการกระจายของเม็ดสีมาดูกันทีละตำแหน่งว่ามันทำงานยังไง!1. A Locus (ยีนควบคุมลายขน) → กำหนดว่ากระต่ายจะเป็นลาย Agouti หรือสีทึบA Locus ควบคุม การกระจายของเม็ดสีในเส้นขน ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่ากระต่ายจะมีลายหรือไม่ยีนลักษณะสีที่ได้A (Agouti)มีลาย เช่น Chestnut, Opalat (Tan Pattern)มีสีท้องอ่อน เช่น Otter, Martena (Self)สีเดียวทั้งตัว เช่น Black, Blue📌 กฎของ A Locus:A_ → มีลาย เช่น Agouti (Chestnut, Chinchilla)at at หรือ at a → มีสีท้องอ่อน เช่น Ottera a → สีพื้นเดียว เช่น Black, Chocolate🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:A_B_C_D_E_ → Chestnut Agoutiat_B_C_D_E_ → Black OtteraaB_C_D_E_ → Black🟤 2. B Locus (ยีนสีดำ-ช็อกโกแลต) → กำหนดเฉดสีหลักของขนB Locus ควบคุมว่าสีของขนจะเป็น สีดำ (Black-based) หรือสีน้ำตาล (Chocolate-based)ยีนลักษณะสีที่ได้B (Dominant - เด่น)ให้สีดำ (Black)b (Recessive - ด้อย)ให้สีน้ำตาล (Chocolate)📌 กฎของ B Locus:BB หรือ Bb → กระต่ายจะเป็น สีดำbb → กระต่ายจะเป็น สีน้ำตาล (Chocolate)🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:A_B_C_D_E_ → Chestnut AgoutiA_bbC_D_E_ → Chocolate AgoutiaaB_C_D_E_ → BlackaabbC_D_E_ → Chocolate⚪ 3. C Locus (ยีนควบคุมความเข้มของสี) → กำหนดว่าเม็ดสีจะแสดงออกมากแค่ไหนC Locus ควบคุมว่ากระต่ายจะมีสีขนเข้มหรือซีดจางลงยีนลักษณะสีที่ได้C (Dominant) เม็ดสีเต็ม ทำให้ได้สีขนปกติcchd (Chinchilla Dark) ทำให้สีขนซีดลง เช่น Chinchillacchl (Chinchilla Light) ทำให้เกิดสี Siamese หรือ Sablech (Himalayan) สีอ่อนมาก ยกเว้นที่หู จมูก หาง และเท้าc (Albino) ไม่มีเม็ดสีเลย กระต่ายจะเป็นสีขาวล้วนตาแดง📌 กฎของ C Locus:C_ → สีปกติcchd_ → Chinchillacchl_ → Siamesech_ → Himalayancc → Albino🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:A_B_C_D_E_ → Chestnut AgoutiA_B_cchd_D_E_ → ChinchillaaaB_ccD_E_ → Red Eyed White🔵 4. D Locus (ยีนควบคุมความเข้ม-จางของสี) → กำหนดว่าสีจะซีดลงหรือไม่D Locus ควบคุมว่าเม็ดสีจะมีความเข้มหรือซีดลงยีนลักษณะสีที่ได้D (Dominant) สีปกติ (Dense)d (Recessive) สีซีดลง (Dilute)📌 กฎของ D Locus:D_ → สีเข้มdd → สีซีด (Dilute)🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:aaB_C_D_E_ → BlackaaB_C_ddE_ → BlueaabbC_D_E_ → ChocolateaabbC_ddE_ → Lilac🟠 5. E Locus (ยีนควบคุมการกระจายของเม็ดสี) → กำหนดว่ากระต่ายจะเป็นสีทึบหรือมีลายE Locus ควบคุมว่ากระต่ายจะมีสีแบบ Solid (สีเดียวทั้งตัว) หรือมีลวดลาย เช่น Harlequin หรือ Tortoiseshellยีนลักษณะสีที่ได้Es ( Steel Dominant) สีปลายขนเป็นเขม่า (Steel Color)E (Dominant) สีทึบ (Solid Color)ej (Harlequin) ทำให้เกิดลายสองสี (เช่น Harlequin)e (Recessive) Non Extension gene กำหนดว่าจะมีเม็ดสีแดงหรือสีเหลืองในขน ทำให้ขนมีสีครีม/ส้ม เช่น สีส้ม📌 กฎของ E Locus:Es_ → สีสตีลE_ → สีปกติejej หรือ eje → ลาย Harlequinee → สีโทนส้มเหลือง🔹 ตัวอย่างสีที่ได้:aaB_C_D_E_ → BlackaaB_C_D_ejej → Black HarlequinaaB_C_D_ee → Black Tortoiseshell🌈 สรุปตารางรหัสพันธุกรรมแต่ละตำแหน่งตำแหน่งยีนเด่นยีนด้อยควบคุมอะไร?A (ลายขน) A = มีลาย a = สีพื้น / ลวดลายB (สีขนหลัก) B = ดำ b = น้ำตาล / เฉดสีหลักC (เข้ม-ซีด) C = ปกติ c = Albino / ระดับสีD (เข้ม-จาง) D = ปกติ d = สีจาง / ความเข้มของสีE (การกระจายสี) E = สีปกติ e = สีครีม / ลายขน4. ตัวอย่างการผสมพันธุ์กระต่ายเพื่อสร้างสีที่ต้องการ💡 ตัวอย่าง: ผสมกระต่ายสีดำกับสี Chocolateสีดำมีรหัส aaB_C_D_E_สี Chocolate มีรหัส aabbC_D_E_📌 ลูกที่ได้จะเป็นอะไร?ถ้าแม่เป็น BB และพ่อเป็น bb ลูกที่ได้จะเป็น Bb (ยังคงเป็นสีดำ เพราะ B เป็นยีนเด่น)ถ้าผสมกันต่อไป ลูกบางตัวอาจได้ bb และกลายเป็นสี Chocolate💡 ตัวอย่าง: ผสมกระต่ายสีเทากับสีน้ำตาลอ่อนสีน้ำตาลอ่อน (Lilac) มีรหัส aabbC_ddE_สีเทา (Blue) มีรหัส aaB_C_ddE_📌 ลูกที่ได้จะเป็นอะไร?ถ้าพ่อแม่มี bb และ Bb ลูกที่ได้อาจมีทั้ง Lilac และ Blue5. สรุปแบบเข้าใจง่าย✔️ A Locus → ควบคุมว่ากระต่ายจะมีลายไหม (Agouti, Otter, หรือสีเดียว)✔️ B Locus → ควบคุมว่าสีจะเป็นสีดำหรือช็อกโกแลต✔️ C Locus → ควบคุมความเข้มของสี เช่น Albino หรือ Himalayan✔️ D Locus → ควบคุมว่าสีจะเข้ม (Dense) หรืออ่อนลง (Dilute)✔️ E Locus → ควบคุมการกระจายของสี เช่น Harlequin หรือ Solid🐰 เคล็ดลับสำหรับการเลือกคู่ผสมพันธุ์ให้ได้สีที่ต้องการ✅ ใช้พ่อแม่ที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับสีที่ต้องการ✅ ศึกษาว่ายีนไหนเป็นเด่นหรือด้อย เพื่อคาดเดาสีของลูกกระต่าย✅ หลีกเลี่ยงการผสมพันธุ์ที่มียีนด้อยซ้ำกันมากเกินไป เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ🐰 ตารางแบบฉบับสำเร็จรูป รหัสสีกระต่าย*** Agouti = Chestnut ***_____________________________________เขียนโดย Theme CEO & Co-founder RepttownCreditWildriver Rabbitry, Genetics 101The Nature Trail. Rabbit Color Genotypes ChartMink Hollow Farm. An Illustrated Guide to Rabbit Coat Colours*Dominik Czernia, PhD. (2023). Rabbit Color Calculatorhttps://wabbitwiki.com/wiki/Rabbit_colorsThe following are some miscellaneous breed-specific color guides from various rabbitries:LionheadRabbit.com. Varieties and Colors (Lionhead)Blossom Acres Rabbitry. Lionhead Color ID (Lionhead)Spring Creek Gems. Spring Creek Color Breeding Program (Netherland Dwarf)Cottonwood Farms and Kokopelli Acre. Color crossing rules for Mini Rex rabbits (Mini Rex)Wildriver RabbitryMini Rex Color GuideShaded Mini Rex Color Guide

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 25

อ่าน 265 ครั้ง


เพาะกระต่ายยังไงให้สวย? เคล็ดลับในการเพาะกระต่าย

เพาะกระต่ายยังไงให้สวย? เคล็ดลับในการเพาะกระต่าย

"กระต่ายสวยไม่ได้แปลว่าจะได้ลูกสวยเสมอไป" คำนี้บรีดเดอร์หลายๆท่านอาจจะได้ยินบ่อยๆจากปากของบรีดเดอร์ชั้นนำมากมายแล้วทำไมกระต่ายสวยถึงไม่ได้จ่ายลูกสวยล่ะ?ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ากระต่ายสายพันธุ์ที่เรานิยมเลี้ยงและนำมาประกวดเป็นกระต่ายที่ถูกพัฒนามาจากหลายๆสายพันธุ์ถ้าเราดูลักษณะยังไม่ชำนาญและประสบการณ์ยังน้อย การที่เราจะไปเลือกซื้อกระต่ายมาเพาะเอง ก็อาจจะทำให้เราได้ลูกไม่สวยตามที่หวังได้การเพาะพันธุ์กระต่ายมีหลายเทคนิคที่สามารถใช้ได้ตามเป้าหมายของผู้เพาะพันธุ์ ซึ่งแต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ Inbreeding, Line Breeding และ Crossbreeding1. Inbreeding (การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกัน)คือ การผสมพันธุ์ระหว่างกระต่ายที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิดกัน เช่นพ่อ-ลูกแม่-ลูกพี่-น้องจุดประสงค์คงลักษณะเด่นของสายพันธุ์ เช่น สี ขนาด รูปร่าง หรือพฤติกรรมใช้คัดเลือกกระต่ายที่มีคุณภาพดีในระยะยาวข้อดี✅ ช่วยรักษาลักษณะเด่นของสายพันธุ์แท้✅ ได้ลูกกระต่ายที่มีคุณสมบัติคล้ายพ่อแม่มาก✅ ใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความบริสุทธิ์ข้อเสีย❌ เพิ่มโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมและลักษณะด้อย❌ ลูกกระต่ายอาจอ่อนแอ อัตราการรอดต่ำ❌ อาจเกิดความผิดปกติทางกายภาพ เช่น ตัวเล็กผิดปกติ หรือมีโครงสร้างกระดูกไม่สมบูรณ์วิธีลดความเสี่ยงจาก Inbreedingใช้ Inbreeding เฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่แข็งแรง ไม่มีประวัติโรคทางพันธุกรรมใช้เทคนิค Line Breeding เพื่อช่วยควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม2. Line Breeding (การผสมพันธุ์แบบไลน์)คือ การผสมพันธุ์ในสายเลือดเดียวกันแต่มีความห่างกันระดับหนึ่ง เช่นปู่-หลานลุง-หลานลูกพี่ลูกน้องจุดประสงค์คงลักษณะเด่นของสายพันธุ์ แต่ลดความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมใช้คัดเลือกกระต่ายที่มีคุณภาพดีที่สุดจากครอบครัวเดียวกันข้อดี✅ ลดความเสี่ยงจากปัญหาทางพันธุกรรมเมื่อเทียบกับ Inbreeding✅ ช่วยรักษาลักษณะเด่นของสายพันธุ์ได้โดยไม่เสี่ยงต่อความผิดปกติ✅ มีความปลอดภัยมากกว่าการผสมพ่อ-ลูก หรือพี่-น้องข้อเสีย❌ หากทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเกิดปัญหาความแข็งแรงทางพันธุกรรมลดลง❌ ต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีมาก ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการสะสมลักษณะด้อยวิธีทำ Line Breeding อย่างมีประสิทธิภาพใช้กระต่ายตัวผู้หลัก (Stud) ที่มีคุณภาพดีและแข็งแรงเว้นระยะห่างของสายเลือดเพื่อป้องกันความเสี่ยงนำกระต่ายจากสายพันธุ์เดียวกันที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงมาเสริม3. Crossbreeding (การผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์)คือ การนำกระต่ายที่มาจากสายพันธุ์ต่างที่มาผสมกัน เช่นHolland Lop × Netherland DwarfNew Zealand White × Flemish Giantหรือ เป็นสายพันธุ์เดียวกันแต่มาจากคนละฟาร์มจุดประสงค์เพิ่มความแข็งแรงทางพันธุกรรม (Hybrid Vigor)สร้างกระต่ายที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิมลดโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรมข้อดี✅ ลูกกระต่ายแข็งแรงขึ้น เนื่องจากได้ความหลากหลายทางพันธุกรรม✅ ลดความเสี่ยงของโรคพันธุกรรมที่พบในสายพันธุ์แท้✅ สามารถพัฒนาลักษณะเฉพาะที่ดีขึ้นจากทั้งสองสายพันธุ์ข้อเสีย❌ ผลลัพธ์คาดเดาได้ยาก เพราะลักษณะพันธุกรรมอาจผสมกันแบบไม่เป็นไปตามที่ต้องการ❌ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์แท้❌ หากเลือกพ่อแม่พันธุ์ไม่ดี อาจได้ลูกที่มีลักษณะด้อยวิธีเลือกพ่อแม่พันธุ์สำหรับ Crossbreedingควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะดีและสุขภาพแข็งแรงศึกษาลักษณะของแต่ละสายพันธุ์ก่อนผสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการผสมกระต่ายที่มีขนาดแตกต่างกันมาก เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพของลูกกระต่าย**** Cr.I'm So Fancy Rabbitry ตัวอย่างการ Cross breeding เพื่อเป้าหมายการทำ HL สี Lutino ****สรุปเทคนิคจุดเด่นความเสี่ยงเหมาะกับใคร?Inbreeding เพื่อรักษาสายพันธุ์แท้และลักษณะเฉพาะเพิ่มโรคทางพันธุกรรมผู้ที่ต้องการพัฒนาสายพันธุ์แท้Line Breeding รักษาลักษณะพันธุกรรมโดยลดความเสี่ยงหากทำต่อเนื่องอาจลดความแข็งแรงทางพันธุกรรมผู้ที่ต้องการควบคุมสายพันธุ์โดยมีความปลอดภัยมากขึ้นCrossbreedingเพิ่มความแข็งแรง ลดปัญหาทางพันธุกรรมผลลัพธ์คาดเดายากผู้ที่ต้องการสร้างสายพันธุ์ใหม่ หรือพัฒนากระต่ายให้แข็งแรงแนะนำเพิ่มเติมถ้าต้องการพัฒนาสายพันธุ์แท้ ควรใช้ Inbreeding + Line Breeding แต่ต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีถ้าต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกระต่าย ควรใช้ Crossbreedingหลีกเลี่ยงการทำ Inbreeding ติดต่อกันหลายชั่วอายุ เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของกระต่ายในระยะยาวคุณต้องการใช้วิธีไหนในการเพาะพันธุ์กระต่ายของคุณ? 😊_____________________________________เขียนโดย Theme CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 25

อ่าน 45 ครั้ง


เกรดของกระต่าย??? ทำไมกระต่ายถึงมีหลายเกรด

เกรดของกระต่าย??? ทำไมกระต่ายถึงมีหลายเกรด

หลายๆท่านที่กำลังจะเลือกซื้อกระต่ายอาจจะงงเวลาคนขายหรือฟาร์มบอกว่า "ตัวนี้เกรดบรีดค่ะ 4,000บาท" แล้วเกรดคืออะไร ทำไมราคาแพงขึ้นตามเกรดก่อนอื่นเลยการคัดเกรดจะอิงมาตราฐานมาจากสมาคมที่จัดกิจกรรมประกวดโดยหลักๆจะมี 2 ที่คือ1.มาตราฐานอเมริกาของสมาคม ARBA ซึ่งนิยมในไทย2.มาตราฐานยุโรปซึ่งมาตราฐานในหลายๆสายพันธุ์ของทั้ง 2 สมาคมส่วนมากจะต่างกัน ฉะนั้นเมื่อเราต้องการพัฒนากระต่ายตามมาตราฐานไหนก็ควรรับจากฟาร์มที่พัฒนาในมาตราฐานนั้นเพื่อช่วยประหยัดเวลาในการพัฒนาได้มาก***รูปเทียบระหว่างกระต่ายพันธุ์ Netherland Dwarf ( ND ) ของมาตราฐานอเมริกาสมาคม ARBA เทียบกับมาตราฐานยุโรปของ European Dwarf Clubสมาคม ARBA (American Rabbit Breeders Association) มีมาตรฐานในการแบ่งเกรดของกระต่ายสำหรับการประกวดและการเพาะพันธุ์ โดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพ พันธุกรรม และสุขภาพโดยรวม เกรดของกระต่ายสามารถแบ่งออกเป็นหลัก ๆ ได้ดังนี้1. Show Quality (เกรดประกวด)กระต่ายที่อยู่ในเกรดนี้มีลักษณะที่สอดคล้องกับมาตรฐานสายพันธุ์ (Standard of Perfection - SOP) ที่ ARBA กำหนดอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งหมายถึงกระต่ายมีลักษณะทางกายภาพดี ไม่มีข้อบกพร่องร้ายแรงที่ขัดต่อมาตรฐาน และสามารถนำไปใช้ในการประกวดหรือพัฒนาสายพันธุ์ได้ราคาของเกรดประกวดจะสูงที่สุดเพราะกว่าจะเพาะได้แต่ละตัวต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในการเพาะพันธุ์ การที่นำพ่อแม่เกรดประกวดเข้ากันไม่ได้แปลว่าจะได้เกรดประกวดเสมอไป🔹 คุณสมบัติของ Show Qualityมีขนาดและรูปร่างตรงตามมาตรฐานของสายพันธุ์โครงสร้างร่างกายสมดุล หัว หู ขา และขนสมบูรณ์ไม่มีจุดบกพร่องร้ายแรง (DQ - Disqualifications) ตามที่ ARBA กำหนดเหมาะสำหรับการนำไปเพาะพันธุ์ต่อ2. Brood Quality (เกรดพ่อแม่พันธุ์) *** ในไทยเรียกเกรดบรีด***กระต่ายในเกรดนี้อาจมีข้อบกพร่องเล็กน้อยที่ไม่สามารถเข้าประกวดได้ แต่ยังคงมีคุณลักษณะที่ดีพอสำหรับการนำไปใช้เป็นพ่อพันธุ์หรือแม่พันธุ์เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ให้ดีขึ้น🔹 คุณสมบัติของ Brood Qualityอาจมีข้อบกพร่องเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น รูปทรงศีรษะไม่สมบูรณ์ 100% หรือ ขนาดไหล่ ขนาดสะโพกไม่สมดุลกันไม่มีข้อบกพร่องทางพันธุกรรมที่ร้ายแรงสุขภาพแข็งแรง สามารถใช้ขยายพันธุ์ได้ดี3. Pet Quality (เกรดสัตว์เลี้ยง)กระต่ายที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนี้มักจะมีข้อบกพร่องที่ทำให้ไม่เหมาะสมสำหรับการประกวดหรือเพาะพันธุ์ แต่ยังสามารถเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักได้🔹 คุณสมบัติของ Pet Qualityอาจมีข้อบกพร่องที่ขัดต่อมาตรฐานสายพันธุ์ เช่น หูยาวเกินไป สีขนไม่ตรงกับที่กำหนด หรือขนาดไม่เหมาะสมสุขภาพแข็งแรง สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงได้ดีไม่เหมาะสำหรับการเพาะพันธุ์ เพราะอาจถ่ายทอดข้อบกพร่องต่อไปเกรดของกระต่ายไม่ได้บ่งบอกว่าเกรดไหนจะแข็งแรงหรือเลี้ยงง่ายกว่ากันจะต่างกันแค่ลักษณะภายนอก ดังนั้นถ้าเพื่อนๆต้องการจะเลี้ยงกระต่ายเป็นเพื่อนหรือเป็นสัตว์เลี้ยงก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเกรดประกวดหรือเกรดเลี้ยงเล่นเสมอไป เน้นเลือกตัวที่ถูกชะตาจะดีที่สุดครับเขียนโดย Theme CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 25

อ่าน 165 ครั้ง


อยากเลี้ยงงูบอลไพธอนแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? ไม่ต้องกังวล! มาเตรียมตัวให้พร้อมใน 5 นาที ด้วยคำแนะนำง่ายๆ ที่เข้าใจได้แบบไม่ซับซ้อน

อยากเลี้ยงงูบอลไพธอนแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? ไม่ต้องกังวล! มาเตรียมตัวให้พร้อมใน 5 นาที ด้วยคำแนะนำง่ายๆ ที่เข้าใจได้แบบไม่ซับซ้อน

ข้อควรรู้ก่อนซื้องูบอลไพธอน [Ball Python]เคล็ดลับง่ายๆ ที่รู้แล้วเลี้ยงได้เลย พร้อมเริ่มแล้ว ไปกันเลย!1. ศึกษาให้ครบ รู้ลึก รู้จริงก่อนตัดสินใจซื้อน้องงู ควรรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เช่นนิสัยอุปกรณ์ที่ต้องใช้อาหารเหตุผล: งูบอลไพธอนเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนถึง 20 ปี! นั่นหมายความว่าคุณจะต้องดูแลเขายาวนานเหมือนการมีแฟนเลยทีเดียว 🐍💖 ดังนั้น ต้องมั่นใจว่าเข้าใจและรับได้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาก่อน2. ปรึกษาคนรอบข้าง (สำคัญมาก!)ย้ำ! ก่อนจะเลี้ยงงู ต้องถามความเห็นจากคนในบ้านหรือคนที่อยู่ด้วยกันก่อน เพราะบางคนอาจมีความกลัวหรือภาพจำที่ไม่ดีกับงู คุณต้องอธิบายให้น่าเชื่อถือและเข้าใจว่าน้องงูไม่ได้ดุร้าย3. ตั้งงบประมาณในใจราคาของงูบอลไพธอนเริ่มต้นที่ 500 บาทขึ้นไปเพศเมียมักจะมีราคาสูงกว่าเพศผู้ราคาขึ้นอยู่กับ Morph (ลวดลายและสีของงู)สามารถเช๊คราคางูบอลแต่ละ Morph ได้ที่ https://www.repttown.com/animals/snakes/ballpythonsตัวอย่างราคาตาม MorphNormal (สีแบบในธรรมชาติ): 500-1,500 บาทMorph ที่มีทั่วไปตามร้านขายสัตว์: 1,000+ บาทMorph หายาก: อาจแตะหลักแสน!เคล็ดลับ: เลือก Morph ที่ถูกใจและเหมาะกับงบประมาณ เพราะน้องงูจะอยู่กับเรานาน อย่าลืมว่าความผูกพันสำคัญกว่าราคานะ4. ซื้อที่ไหนดี?มี 2 ทางเลือก:ออนไลน์: เหมาะสำหรับคนที่มีประสบการณ์ แต่ต้องระวังปัญหา เช่น งูป่วย, โกงเพศ, หรือ Morph ไม่ตรงปกซื้อที่ร้าน: ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ เพราะคุณจะได้เห็นน้องตัวจริงและลองสัมผัสเพื่อดูว่าถูกใจไหมคำถามสำคัญตอนเลือกซื้อจากร้าน:นิสัยของงู: แต่ละตัวนิสัยไม่เหมือนกันอาหาร: กินหนูเป็นหรือหนูแช่แข็ง และ สายพันธุ์หนูที่ทางร้านหรือฟาร์มให้อยู่ตรวจเพศ: ชัวร์ว่าเป็นเพศที่ต้องการตรวจสุขภาพ: ตรวจน้ำลายในปากว่าสุขภาพดี5. เตรียมอุปกรณ์เลี้ยงให้ครบงบประมาณเริ่มต้นสำหรับอุปกรณ์เลี้ยงประมาณ 1,000 บาทรายการที่ควรมี:กล่องเลี้ยง: กล่องล็อคใส (ขนาด = 2 เท่าของความยาวงู) ราคา 2-500 บาทForcep: แหนบยาวใช้คีบอาหาร ราคา 100+ บาทถ้วยน้ำ: เลือกขนาดเล็ก 20 บาทอาหาร: หนูแช่แข็ง ราคา 10-60 บาท/ตัว ขึ้นอยู่กับขนาดรองพื้น: กระดาษทิชชู่แบบหนา/กาบมะพร้าวแห้ง/เปลือกไม้รองกรง/ซังข้าวโพดหรือวัสดุรองกรงอื่นๆ ราคา 10-50 บาท/รอบการเปลี่ยนหัวแร้งบัดกรี: สำหรับเจาะรูระบายอากาศในกล่องเลี้ยง(ในกรณีเลี้ยงในกล่องพลาสติกที่ไม่มีรู) ราคาประมาณ 100 บาทไดร์เป่าผม: ใช้อุ่นอาหารในกรณีใช้หนูแช่แข็ง (หากมีอยู่แล้ว ข้ามไปได้)6. ข้อควรจำการเลี้ยงงูต้องใช้เวลาและความอดทนการตัดสินใจของคนในครอบครัวสำคัญ อย่ามองข้ามเลือกงูที่เหมาะกับตัวคุณ ทั้งนิสัยและงบประมาณขอให้ทุกคนสนุกกับการเลี้ยงงูบอลไพธอนนะครับ! ผ่านข้อ 2 ไปได้ ก็เหมือนผ่านปราการสำคัญแล้ว 😆✨หากต้องการเลี้ยงงูบอลไพธอนสามารถเลือกชมได้ที่ Repttown.com ใช้งานง่าย มีงูให้เลือกเยอะไม่ต่ำกว่า 10,000+ รายการ มีฟาร์มชั้นนำไม่ต่ำกว่า 1,000 ฟาร์มทั่วไทยที่ได้รับการยืนยันตัวตน

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 25 ม.ค. 25

อ่าน 21 ครั้ง


 เต่าบกเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงเต่าบกสำหรับมือใหม่จาก Repttown

เต่าบกเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงเต่าบกสำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยงเต่าบกสำหรับมือใหม่จาก Repttownเต่าบก (Tortoise) เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่สง่างามและมีความน่ารักในแบบของตัวเอง ซึ่งเป็นที่นิยมเลี้ยงในหมู่คนรักสัตว์ Exotic ด้วยความเป็นสัตว์เลี้ยงที่สงบ เลี้ยงง่าย (หากมีพื้นที่และการดูแลที่เหมาะสม) รวมถึงมีอายุยืนยาว เต่าบกจึงเหมาะสำหรับผู้ที่พร้อมมอบความรักและการดูแลในระยะยาวรู้จักกับเต่าบกลักษณะทั่วไปที่อยู่อาศัย: เต่าบกมักพบในพื้นที่แห้งแล้ง ทุ่งหญ้า หรือเขตร้อนชื้นในหลากหลายภูมิภาคของโลกขนาดตัว: มีตั้งแต่เต่าบกขนาดเล็กอย่างเต่าดาวอินเดีย ไปจนถึงเต่าบกขนาดใหญ่อย่างเต่าอัลดราบ้าอายุขัย: เต่าบกบางสายพันธุ์สามารถมีอายุยืนถึง 50-100 ปี หรือมากกว่านั้นวิธีการเลี้ยงเต่าบก1. สถานที่เลี้ยงพื้นที่เลี้ยง: ควรมีพื้นที่กว้างขวาง เช่น สนามหญ้าหรือพื้นที่จัดสรรเฉพาะพื้นผิว: ใช้วัสดุปูพื้นที่เหมาะสม เช่น ดิน หญ้า หรือทราย (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์)ที่พักพิง: เต่าต้องการพื้นที่หลบซ่อน เช่น กล่องหลบหรือโครงสร้างจำลองโพรงแหล่งน้ำ: วางภาชนะน้ำตื้นสำหรับให้เต่าดื่มหรือแช่ตัว2. อาหารและโภชนาการอาหารหลัก: หญ้า ใบไม้ และพืชใบเขียว เช่น ใบตอง ใบชะพลูอาหารเสริม: เพิ่มแคลเซียม เช่น กระดองปลาหมึกหรือแคลเซียมผงหลีกเลี่ยง: อาหารที่มีน้ำตาลหรือโปรตีนสูง เช่น ผลไม้หรืออาหารสัตว์3. การควบคุมอุณหภูมิและแสงสว่างแสง UVB: จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์วิตามิน D3 เพื่อการดูดซึมแคลเซียมอุณหภูมิ: ควรอยู่ระหว่าง 25-35°C และควรมีพื้นที่อุ่นสำหรับการย่อยอาหาร4. การดูแลสุขภาพความสะอาด: ทำความสะอาดพื้นที่เลี้ยงและภาชนะน้ำเป็นประจำการตรวจสุขภาพ: หากเต่ามีอาการผิดปกติ เช่น ไม่กินอาหาร ควรปรึกษาสัตวแพทย์สายพันธุ์เต่าบกที่นิยมเลี้ยงในไทย1. เต่าดาวอินเดีย (Indian Star Tortoise)ชื่อวิทยาศาสตร์: Geochelone elegansขนาด: ความยาว 20-30 เซนติเมตรลักษณะเด่น: กระดองมีลวดลายรูปดาวที่สวยงามนิสัย: สงบ ชอบความสงบในที่ร่ม2. เต่าซูคาต้า (Sulcata Tortoise)ชื่อวิทยาศาสตร์: Centrochelys sulcataขนาด: ความยาว 60-90 เซนติเมตร (โตเต็มวัย)ลักษณะเด่น: กระดองใหญ่ ขาแข็งแรงเหมาะสำหรับการขุดนิสัย: เป็นมิตร ชอบเคลื่อนไหว3. เต่าเสือดาว (Leopard Tortoise)ชื่อวิทยาศาสตร์: Stigmochelys pardalisขนาด: ความยาว 30-50 เซนติเมตรลักษณะเด่น: กระดองมีลวดลายจุดคล้ายลายเสือดาวนิสัย: สงบ เลี้ยงง่าย4. เต่าเรเดียต้า (Radiated Tortoise)ชื่อวิทยาศาสตร์: Astrochelys radiataขนาด: ความยาว 30-40 เซนติเมตรลักษณะเด่น: กระดองมีลวดลายสีเหลืองรูปดาวนิสัย: ชอบอากาศอบอุ่นและพื้นที่สงบ5. เต่าอัลดราบ้า (Aldabra Tortoise)ชื่อวิทยาศาสตร์: Aldabrachelys giganteaขนาด: ความยาว 90-120 เซนติเมตร (โตเต็มวัย)ลักษณะเด่น: เต่าบกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กระดองหนาและมีขาที่ทรงพลังนิสัย: สุภาพและปรับตัวได้ดี แต่ต้องการพื้นที่เลี้ยงที่กว้างขวาง6. เต่าเรดฟุต (Red-Footed Tortoise)ชื่อวิทยาศาสตร์: Chelonoidis carbonariaขนาด: ความยาว 30-40 เซนติเมตรลักษณะเด่น: มีขาหน้าสีแดงสดและกระดองมีลวดลายสีน้ำตาลนิสัย: มีความกระตือรือร้นและสามารถเลี้ยงในที่ร่มได้7. เต่ากรีก (Greek Tortoise)ชื่อวิทยาศาสตร์: Testudo graecaขนาด: ความยาว 20-25 เซนติเมตรลักษณะเด่น: กระดองโค้งมน สีเหลืองน้ำตาลนิสัย: เลี้ยงง่ายและปรับตัวได้ดี8. เต่าฮอร์สฟิลด์ (Russian Tortoise)ชื่อวิทยาศาสตร์: Testudo horsfieldiiขนาด: ความยาว 15-20 เซนติเมตรลักษณะเด่น: กระดองกลม สีเหลืองน้ำตาลอ่อนนิสัย: ขี้สงสัยและเคลื่อนไหวคล่องแคล่วกฎหมายเกี่ยวกับการเลี้ยงเต่าบกในประเทศไทยสถานะทางกฎหมาย:เต่าบกบางสายพันธุ์ เช่น เต่าเรเดียต้าและเต่าอัลดราบ้า อาจจัดอยู่ในสัตว์ป่าคุ้มครองผู้เลี้ยงต้องมีใบอนุญาตการครอบครองและเอกสารแสดงที่มาที่ถูกต้องการนำเข้าและส่งออก:เต่าบกอยู่ภายใต้อนุสัญญา CITES ดังนั้นการนำเข้าและส่งออกต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องการดูแล:ผู้เลี้ยงต้องปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ เช่น จัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและดูแลสุขภาพเต่าสรุปเต่าบกทุกสายพันธุ์มีเสน่ห์เฉพาะตัวและความต้องการที่แตกต่างกัน หากคุณกำลังมองหาเพื่อนรักที่มีชีวิตยืนยาวและน่ารัก เต่าบกอาจเป็นสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสำหรับคุณ หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลี้ยงเต่า สามารถติดต่อ repttown.com เพื่อรับคำปรึกษาและอุปกรณ์ที่เหมาะสมได้เสมอ!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 46 ครั้ง


เต่าซูคาต้าเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงเต่าซูคาต้า (Sulcata Tortoise) สำหรับมือใหม่จาก Repttown

เต่าซูคาต้าเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงเต่าซูคาต้า (Sulcata Tortoise) สำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยงเต่าซูคาต้า (Sulcata Tortoise) สำหรับมือใหม่จาก Repttownเต่าซูคาต้า (Sulcata Tortoise) เป็นหนึ่งในเต่าบกยอดนิยมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวและเป็นที่ชื่นชอบของคนรักสัตว์เลี้ยงทั่วโลก ด้วยขนาดที่ใหญ่ แข็งแรง และนิสัยที่เป็นมิตร เต่าซูคาต้าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลี้ยงสัตว์แปลกและพร้อมดูแลระยะยาวรู้จักกับเต่าซูคาต้าลักษณะทั่วไปชื่อวิทยาศาสตร์: Centrochelys sulcataถิ่นกำเนิด: ทวีปแอฟริกา ในพื้นที่แห้งแล้ง เช่น ซูดาน เซเนกัล และมาลีขนาดตัว: โตเต็มที่ประมาณ 60-90 เซนติเมตร น้ำหนัก 30-50 กิโลกรัมอายุขัย: 50-70 ปี (หากดูแลอย่างเหมาะสม)จุดเด่น: มีเกล็ดหนาที่กระดอง ขาสั้นและแข็งแรงเหมาะสำหรับการขุดดินนิสัยและพฤติกรรมเต่าซูคาต้าเป็นสัตว์ที่สงบ และชอบเคลื่อนไหวเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมพฤติกรรมชอบขุดดินเพื่อหลบแดด เป็นธรรมชาติของพวกมันวิธีการเลี้ยงเต่าซูคาต้า1. สถานที่เลี้ยงพื้นที่กว้าง: ควรมีพื้นที่ให้เต่าเดินเล่นและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระพื้นดิน: เหมาะสำหรับการขุดดิน แต่ต้องมั่นใจว่าเต่าจะไม่ขุดหนีออกไปที่พักพิง: สร้างร่มหรือที่หลบแดด เพื่อให้เต่าหลบแดดในช่วงอากาศร้อนแหล่งน้ำ: มีภาชนะน้ำตื้น ๆ สำหรับให้เต่าแช่ตัว2. อาหารและโภชนาการอาหารหลัก: หญ้า แพงโกล่า และพืชใบเขียว เช่น ใบตอง ใบชะพลูอาหารเสริม: เพิ่มแคลเซียมโดยการให้กระดองปลาหมึกบด หรือผงแคลเซียมหลีกเลี่ยง: ผลไม้หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจทำให้ระบบย่อยอาหารเสียสมดุล3. การควบคุมอุณหภูมิและแสงสว่างแสง UVB: จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์วิตามิน D3 ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมอุณหภูมิ: ควรอยู่ระหว่าง 25-35°C และมีพื้นที่อุ่น 38°C สำหรับการย่อยอาหาร4. การดูแลสุขภาพความสะอาด: ทำความสะอาดพื้นที่เลี้ยงและภาชนะน้ำเป็นประจำการตรวจสุขภาพ: หากพบเต่ากินอาหารน้อย หรือกระดองอ่อน ควรพาไปพบสัตวแพทย์สายพันธุ์เต่าซูคาต้าที่พบได้เต่าซูคาต้าไม่มีสายพันธุ์ย่อยที่ชัดเจนเหมือนเต่าบกชนิดอื่น ๆ แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในลักษณะขนาดตัวและสีของกระดอง ซึ่งเกิดจากแหล่งกำเนิดในพื้นที่ต่าง ๆกฎหมายเกี่ยวกับการเลี้ยงเต่าซูคาต้าในประเทศไทยสถานะทางกฎหมาย:เต่าซูคาต้าไม่ใช่สัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย แต่ต้องมีเอกสารแสดงแหล่งที่มาที่ถูกต้อง เช่น ใบอนุญาตการนำเข้าการนำเข้า:การนำเข้าเต่าจากต่างประเทศต้องผ่านกระบวนการศุลกากรและได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องการเลี้ยง:ผู้เลี้ยงต้องจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและดูแลให้ตรงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์คำถามที่พบบ่อยQ: เต่าซูคาต้าเหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่?A: เต่าซูคาต้าเหมาะสำหรับผู้เลี้ยงที่มีพื้นที่กว้างขวางและพร้อมรับผิดชอบการดูแลในระยะยาวQ: เต่าซูคาต้ากินอะไรได้บ้าง?A: หญ้าและพืชใบเขียวเป็นอาหารหลัก และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงQ: เต่าซูคาต้าเลี้ยงในบ้านได้หรือไม่?A: สามารถเลี้ยงในบ้านได้ แต่ควรมีพื้นที่กว้างขวาง และควรจัดแสง UVB ให้เหมาะสมสรุปเต่าซูคาต้าเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานที่สง่างามและน่ารัก หากคุณสนใจเต่าซูคาต้าหรืออุปกรณ์สำหรับการเลี้ยงสัตว์แปลก https://www.repttown.com/ พร้อมให้คำปรึกษาและบริการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 17 ม.ค. 25

อ่าน 18 ครั้ง


จระเข้เลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงจระเข้สำหรับมือใหม่จาก Repttown

จระเข้เลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงจระเข้สำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยงจระเข้สำหรับมือใหม่จาก RepttownRepttown ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสัตว์เลื้อยคลานที่มีเสน่ห์และความสง่างามอย่าง จระเข้ (Crocodile) ซึ่งปัจจุบันสามารถเลี้ยงได้ในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ที่ได้รับอนุญาต รวมถึงวิธีการเลี้ยงและดูแลที่เหมาะสมสายพันธุ์จระเข้ที่เลี้ยงได้อย่างถูกกฎหมายในไทย1. จระเข้น้ำจืดไทย (Crocodylus siamensis)ถิ่นกำเนิด: พบในประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนามสถานะ: อยู่ในรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง แต่สามารถเลี้ยงได้หากได้รับอนุญาตขนาดตัว: โตเต็มที่ประมาณ 3-4 เมตรจุดเด่น: นิสัยสงบกว่าเมื่อเทียบกับจระเข้น้ำเค็ม เหมาะสำหรับเลี้ยงในบ่อเลี้ยง2. จระเข้น้ำเค็ม (Crocodylus porosus)ถิ่นกำเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงบางพื้นที่ของประเทศไทยสถานะ: ต้องขออนุญาตตามกฎหมายขนาดตัว: โตเต็มที่ 5-7 เมตรจุดเด่น: เป็นสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ต้องการพื้นที่เลี้ยงขนาดใหญ่3. ไคแมน (Caiman Crocodile)ถิ่นกำเนิด: อเมริกาใต้สถานะ: นำเข้าและเลี้ยงได้ในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายขนาดตัว: โตเต็มที่ประมาณ 1.5-2 เมตรจุดเด่น: ตัวเล็กกว่าจระเข้ทั่วไป เหมาะสำหรับเลี้ยงในพื้นที่จำกัด4. จระเข้เผือก (Albino Siamese Crocodile)ลักษณะพิเศษ: เป็นพันธุ์เผือกของจระเข้น้ำจืดไทยสถานะ: สามารถเลี้ยงได้หากได้รับอนุญาตความนิยม: สวยงามและหายาก เหมาะสำหรับการสะสมวิธีการเลี้ยงจระเข้1. สถานที่เลี้ยงบ่อหรือกรงขนาดใหญ่: ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 20 ตารางเมตรสำหรับจระเข้ 1 ตัวระบบน้ำ: มีแหล่งน้ำลึกพอให้จระเข้แช่ตัวได้พื้นที่แห้ง: สำหรับให้จระเข้นอนพักและอาบแดดรั้วกั้น: ควรมีความแข็งแรงและสูงอย่างน้อย 1.5 เมตร เพื่อป้องกันจระเข้หลบหนี2. การให้อาหารประเภทอาหาร: ปลา เนื้อไก่ และเนื้อดิบความถี่: ให้อาหารทุก 2-3 วันปริมาณ: ให้พอเหมาะกับขนาดตัว และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกระดูกแข็ง3. การดูแลสุขภาพการลอกคราบ: จระเข้จะลอกคราบเป็นระยะ ควรสังเกตว่าลอกคราบสมบูรณ์หรือไม่ความสะอาดของบ่อ: เปลี่ยนน้ำในบ่อเลี้ยงเป็นประจำการสังเกตอาการ: เช่น การเบื่ออาหาร บาดแผล หรือพฤติกรรมผิดปกติกฎหมายการเลี้ยงจระเข้ในประเทศไทยการเลี้ยงจระเข้ในประเทศไทยถูกควบคุมโดย พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และกฎระเบียบของ กรมประมง โดยระบุว่า:ต้องขออนุญาต: ผู้เลี้ยงจระเข้ต้องยื่นคำขออนุญาตเลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครองหรือสัตว์น้ำที่ควบคุมกับกรมประมงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสถานที่เลี้ยง: ต้องมีมาตรฐาน เช่น รั้วแข็งแรง พื้นที่กว้างขวาง และแหล่งน้ำที่เหมาะสมจดทะเบียน: ต้องแจ้งข้อมูลสายพันธุ์ จำนวน และสถานที่เลี้ยงให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องห้ามล่าหรือค้าจระเข้ธรรมชาติ: จระเข้ที่เลี้ยงต้องมาจากแหล่งที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นคำถามที่พบบ่อยQ: จระเข้สามารถเลี้ยงในบ้านได้หรือไม่?A: หากมีพื้นที่เพียงพอและได้รับอนุญาตตามกฎหมาย สามารถเลี้ยงได้Q: เลี้ยงจระเข้ต้องมีใบอนุญาตหรือไม่?A: ต้องมีใบอนุญาตจากกรมประมง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องQ: จระเข้สายพันธุ์ไหนที่เหมาะสำหรับมือใหม่?A: จระเข้น้ำจืดไทย หรือไคแมน เนื่องจากขนาดตัวไม่ใหญ่มากและดูแลง่ายกว่าRepttown พร้อมเป็นแหล่งข้อมูลและคำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจเลี้ยงสัตว์แปลก หากคุณกำลังมองหาอุปกรณ์สำหรับเลี้ยงจระเข้ หรือคำปรึกษาเพิ่มเติม สามารถติดต่อเราได้ทุกเวลา!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 17 ม.ค. 25

อ่าน 51 ครั้ง


ฉลามเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? คู่มือการเลี้ยงปลาฉลามในตู้สำหรับมือใหม่จาก Repttown

ฉลามเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? คู่มือการเลี้ยงปลาฉลามในตู้สำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยงปลาฉลามในตู้สำหรับมือใหม่จาก Repttownปลาฉลามเป็นสัตว์น้ำที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยความลึกลับ แม้จะดูเหมาะกับการอยู่ในมหาสมุทร แต่ก็มีบางสายพันธุ์ที่สามารถเลี้ยงในตู้ปลาได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย หากคุณสนใจเลี้ยงปลาฉลามในไทย บทความนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ที่เหมาะสม การดูแล และกฎหมายที่เกี่ยวข้องปลาฉลามที่สามารถเลี้ยงได้ในไทย1. ปลาฉลามแบมบู (Bamboo Shark)ชื่อวิทยาศาสตร์: Chiloscyllium spp.ลักษณะเด่น: ลำตัวยาวเรียว มีลายแถบสีดำและน้ำตาลความยาว: 70-120 เซนติเมตรความเหมาะสม: ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและเลี้ยงง่าย2. ปลาฉลามอีพอเล็ต (Epaulette Shark)ชื่อวิทยาศาสตร์: Hemiscyllium ocellatumลักษณะเด่น: มีจุดวงกลมสีดำที่ครีบอก ดูเหมือนดวงตาเสริมเพื่อป้องกันศัตรูความยาว: 90-110 เซนติเมตรความเหมาะสม: เหมาะสำหรับตู้ปลาขนาดใหญ่3. ปลาฉลามกบ (Bullhead Shark)ชื่อวิทยาศาสตร์: Heterodontus spp.ลักษณะเด่น: หัวใหญ่ รูปร่างป้อม มีลวดลายสีน้ำตาลเข้มสลับดำความยาว: 70-150 เซนติเมตร (ขึ้นอยู่กับชนิดย่อย)ความเหมาะสม: ทนทานและไม่ต้องการพื้นที่ว่ายน้ำมาก4. ปลาฉลามพอร์ตแจ็กสัน (Port Jackson Shark)ชื่อวิทยาศาสตร์: Heterodontus portusjacksoniลักษณะเด่น: มีลายเส้นสีดำบนพื้นลำตัวสีเทา รูปร่างคล้ายฉลามกบความยาว: 90-170 เซนติเมตรถิ่นกำเนิด: ชายฝั่งออสเตรเลียความเหมาะสม: เหมาะสำหรับตู้ขนาดใหญ่ที่สามารถรักษาคุณภาพน้ำได้ดี5.ปลาฉลามแบล็กทิปรีฟ (Blacktip Reef Shark)ชื่อวิทยาศาสตร์: Carcharhinus melanopterusลักษณะเด่น: ปลายครีบสีดำ ตัวยาวและลื่นความยาว: 150-180 เซนติเมตรความเหมาะสม: เหมาะสำหรับตู้ที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก6. ปลาฉลามวอบบีกอง (Wobbegong Shark)ชื่อวิทยาศาสตร์: Orectolobus spp.ลักษณะเด่น: รูปร่างแบนคล้ายพรม มีลวดลายพรางตัว สีพื้นน้ำตาลเทาความยาว: 100-300 เซนติเมตร (ขึ้นอยู่กับชนิดย่อย)ถิ่นกำเนิด: ออสเตรเลียและอินโด-แปซิฟิกความเหมาะสม: นิยมสำหรับผู้เลี้ยงที่มีประสบการณ์และพื้นที่เลี้ยงขนาดใหญ่ข้อควรรู้ก่อนเริ่มเลี้ยงปลาฉลามพื้นที่ตู้ปลาปลาฉลามต้องการพื้นที่ว่ายน้ำที่กว้างขวาง ตู้ควรมีขนาดตั้งแต่ 1,000 ลิตรขึ้นไปตู้ทรงกลมหรือมุมโค้งช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการชนคุณภาพน้ำความเค็ม: 1.020-1.025อุณหภูมิ: 24-27 องศาเซลเซียสควบคุมค่าแอมโมเนีย ไนไตรต์ และไนเตรตอย่างเข้มงวดการจัดตู้ใช้พื้นทรายละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเพิ่มที่หลบซ่อน เช่น ถ้ำหิน หรือสิ่งปลูกสร้างที่ปลอดภัยอาหารอาหารสด: ปลาเล็ก กุ้ง ปลาหมึกอาหารแช่แข็ง: ต้องละลายน้ำและปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกฎหมายเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาฉลามในไทยการนำเข้าและครอบครองการนำเข้าปลาฉลามต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมงบางชนิดต้องตรวจสอบว่าอยู่ในบัญชี CITES หรือไม่ข้อกำหนดสถานที่เลี้ยงตู้ปลาหรือบ่อเลี้ยงต้องมีมาตรฐานและปลอดภัยห้ามเลี้ยงในพื้นที่ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนสายพันธุ์ต้องห้ามห้ามเลี้ยงปลาฉลามที่จัดเป็นสัตว์คุ้มครอง เช่น ฉลามวาฬ (Rhincodon typus) และฉลามหัวค้อน (Sphyrna spp.)การจำหน่ายและส่งออกการจำหน่ายหรือส่งออกปลาฉลามต้องได้รับใบอนุญาตจากกรมประมงวิธีการเลี้ยงปลาฉลามในตู้เตรียมระบบตู้ใช้ระบบกรองน้ำที่ดี เช่น ระบบกรองชีวภาพ และโปรตีนสกิมเมอร์ตั้งค่าตู้ล่วงหน้า 4-6 สัปดาห์เพื่อให้ระบบน้ำมีความเสถียรการให้อาหารให้อาหาร 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ป้อนด้วยคีมหรือแหนบเพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกกัดการดูแลสุขภาพตรวจสอบคุณภาพน้ำเป็นประจำหากพบปลาว่ายผิดปกติหรือมีแผล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคำถามที่พบบ่อยQ: ปลาฉลามเลี้ยงยากไหม?A: ปลาฉลามต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น พื้นที่กว้าง คุณภาพน้ำ และอาหารสด เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงที่มีประสบการณ์Q: ปลาฉลามราคาเท่าไหร่?A: ราคาปลาฉลามขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เริ่มต้นที่ประมาณ 10,000 บาทไปจนถึงหลายหมื่นบาทQ: ปลาฉลามสามารถอยู่กับปลาชนิดอื่นได้หรือไม่?A: ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ แต่โดยทั่วไปควรเลี้ยงแยกเพื่อลดความเสี่ยงต่อการล่าหากคุณสนใจเลี้ยงปลาฉลามหรือกำลังมองหาอุปกรณ์คุณภาพสูง สามารถติดต่อทีมงาน Repttown เพื่อขอคำปรึกษาและจัดหาสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเลี้ยงปลาฉลามของคุณได้ที่ www.repttown.com

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 17 ม.ค. 25

อ่าน 112 ครั้ง


ปลาทะเลเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงปลาทะเลสำหรับมือใหม่จาก Repttown

ปลาทะเลเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงปลาทะเลสำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยงปลาทะเลสำหรับมือใหม่จาก Repttownปลาทะเลถือเป็นสัตว์น้ำที่มีความสวยงามและหลากหลายชนิด เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการจัดตู้ปลาให้มีสีสันและความมีชีวิตชีวา แม้ว่าการเลี้ยงปลาทะเลอาจดูซับซ้อนกว่าปลาน้ำจืด แต่ด้วยความรู้ที่ถูกต้องและการเตรียมตัวที่ดี คุณก็สามารถสร้างระบบนิเวศขนาดเล็กที่สมบูรณ์แบบในบ้านของคุณได้ลักษณะเด่นของปลาทะเลสีสันสดใส: ปลาทะเลมีสีสันที่หลากหลายและโดดเด่น เช่น ปลานกแก้ว ปลาสิงโต และปลาการ์ตูนความหลากหลายของชนิด: ปลาทะเลมีมากกว่า 20,000 สายพันธุ์ ตั้งแต่ปลาขนาดเล็กจนถึงปลาขนาดใหญ่ระบบนิเวศเฉพาะ: การเลี้ยงปลาทะเลต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับทะเล เช่น การควบคุมความเค็ม อุณหภูมิ และแสงข้อควรรู้ก่อนเริ่มเลี้ยงปลาทะเลการเลือกชนิดของปลาเริ่มต้นด้วยปลาที่เลี้ยงง่าย เช่น ปลาการ์ตูน (Clownfish) หรือปลาแองเจิล (Angel Fish)หลีกเลี่ยงปลาที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือปลาที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษขนาดตู้ปลาควรใช้ตู้ปลาขนาด 100 ลิตรขึ้นไปเพื่อให้ระบบนิเวศมีความสมดุลเลือกตู้ที่มีระบบกรองน้ำแบบครบวงจรการดูแลคุณภาพน้ำความเค็มของน้ำควรอยู่ที่ 1.020-1.026 (วัดด้วยไฮโดรมิเตอร์)ควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 24-27 องศาเซลเซียสเปลี่ยนน้ำประมาณ 10-15% ทุก 1-2 สัปดาห์วิธีการเลี้ยงปลาทะเลอุปกรณ์ที่จำเป็นตู้ปลา: เลือกตู้ขนาดใหญ่เพื่อรองรับปลาและระบบนิเวศระบบกรองน้ำ: ระบบกรองชีวภาพ (Biological Filter) และโปรตีนสกิมเมอร์ (Protein Skimmer) เพื่อกำจัดของเสียเครื่องควบคุมอุณหภูมิ: ฮีตเตอร์และพัดลมระบายความร้อนแสงสว่าง: เลือกหลอดไฟ LED ที่เหมาะสำหรับตู้ปลาทะเล เช่น แสงสีฟ้าหรือแสงเต็มสเปกตรัมหินเป็นและทรายทะเล: ใช้หินเป็น (Live Rock) เพื่อช่วยในกระบวนการกรองธรรมชาติการจัดตู้ปลาทะเลตั้งค่าตู้ปลาเติมน้ำทะเลที่ปรุงจากเกลือสำหรับปลาทะเลตั้งค่าอุปกรณ์ทั้งหมดและตรวจสอบว่าเครื่องทำงานปกติรันระบบกรองน้ำประมาณ 2-4 สัปดาห์ก่อนปล่อยปลาเพิ่มปลาใส่ปลาครั้งละ 1-2 ตัวเพื่อให้ระบบกรองปรับตัวใช้วิธีปรับอุณหภูมิ (Acclimation) โดยการแช่ถุงปลาลงในตู้เพื่อปรับอุณหภูมิก่อนปล่อยปลาการดูแลประจำวันให้อาหาร 1-2 ครั้งต่อวันในปริมาณที่พอดีตรวจสอบคุณภาพน้ำเป็นประจำอาหารและโภชนาการอาหารสด: เช่น ไรทะเลหรือกุ้งฝอยอาหารแช่แข็ง: เช่น อาร์ทีเมียแช่แข็งอาหารสำเร็จรูป: เม็ดหรือเกล็ดสำหรับปลาทะเลคำแนะนำ: ให้ปลากินอาหารหลากหลายชนิดเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนโรคที่พบบ่อยในปลาทะเลโรคจุดขาว (Marine Ich)อาการ: จุดสีขาวบนตัวปลาวิธีรักษา: เพิ่มอุณหภูมิของน้ำและใช้ยาฆ่าเชื้อโรคเชื้อราอาการ: มีคราบขาวบนตัวปลาวิธีรักษา: ใช้ยารักษาโรคเชื้อราในปลาทะเลปัญหาเหงือกบวมอาการ: ปลาหายใจเร็ววิธีรักษา: ปรับคุณภาพน้ำและลดความเครียดของปลาคำถามที่พบบ่อยQ: เลี้ยงปลาทะเลยากกว่าปลาน้ำจืดหรือไม่?A: เลี้ยงยากกว่าเล็กน้อยเนื่องจากต้องควบคุมคุณภาพน้ำและความเค็มอย่างแม่นยำQ: ปลาทะเลราคาเริ่มต้นที่เท่าไหร่?A: ปลาทะเลบางชนิดราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 200-500 บาท แต่ปลาหายากอาจมีราคาหลักพันถึงหลักหมื่นQ: ปลาทะเลเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่?A: เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ศึกษาข้อมูลและมีอุปกรณ์ครบถ้วนหากคุณสนใจจัดตู้ปลาทะเลหรือกำลังมองหาอุปกรณ์คุณภาพสำหรับดูแลปลาทะเลของคุณ สามารถเยี่ยมชมเราได้ที่ www.repttown.com เราพร้อมช่วยให้คุณเริ่มต้นการเลี้ยงปลาทะเลได้อย่างมั่นใจ!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 17 ม.ค. 25

อ่าน 14 ครั้ง


สิงโตเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงสิงโตสำหรับมือใหม่จาก Repttown

สิงโตเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงสิงโตสำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยงสิงโตสำหรับมือใหม่จาก Repttownวันนี้ Repttown จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสิงโต (Lion) สัตว์นักล่าที่สง่างามและทรงพลัง ซึ่งมักเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่สนใจสัตว์ Exotic ขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าสิงโตจะเป็นสัตว์ที่ไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงในบ้านทั่วไป แต่บางคนที่มีทรัพยากรและพื้นที่เพียงพออาจเลือกที่จะดูแลพวกมัน การเลี้ยงสิงโตต้องการความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ความรับผิดชอบสูง และปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องประวัติความเป็นมาของสิงโตสิงโต (Panthera leo) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ Felidae มีถิ่นกำเนิดในทุ่งหญ้าสะวันนาและพื้นที่ป่าทางแอฟริกา รวมถึงบางส่วนของอินเดีย สิงโตเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและอำนาจ และมักได้รับการขนานนามว่า "ราชาแห่งสัตว์ป่า"ลักษณะเด่นของสิงโตขนาดใหญ่และทรงพลัง: สิงโตตัวผู้มีน้ำหนักเฉลี่ย 150-250 กิโลกรัม ตัวเมียมีน้ำหนัก 100-180 กิโลกรัมแผงคออันโดดเด่น: แผงคอของสิงโตตัวผู้เป็นเอกลักษณ์และแสดงถึงอายุและสุขภาพพฤติกรรมรวมฝูง: สิงโตเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในฝูง ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ตระกูลแมวอื่น ๆเสียงคำรามที่ทรงพลัง: เสียงคำรามของสิงโตสามารถได้ยินไกลถึง 8 กิโลเมตรข้อกำหนดและกฎหมายในการเลี้ยงสิงโตในประเทศไทยการเลี้ยงสิงโตในประเทศไทยถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดตามกฎหมาย เนื่องจากสิงโตจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562ข้อกำหนดสำคัญการขออนุญาตเลี้ยงต้องยื่นคำขอต่อกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชต้องมีใบอนุญาตครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง (แบบ ค.13)สถานที่เลี้ยงต้องมีพื้นที่กว้างขวางและปลอดภัย เช่น กรงหรือคอกที่มีขนาดเหมาะสมและแข็งแรงต้องมีมาตรการป้องกันการหลบหนีและการคุกคามต่อสาธารณะการดูแลด้านสุขภาพต้องมีสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลสัตว์ป่าต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยงและดูแลสุขภาพสัตว์ป่าการห้ามซื้อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตการซื้อขายสิงโตหรือชิ้นส่วนของสิงโตโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นความผิดทางกฎหมายบทลงโทษในกรณีฝ่าฝืนผู้ที่เลี้ยงหรือครอบครองสิงโตโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจถูกปรับสูงสุด 1,000,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ***** ศึกษาข้อกฏหมายให้ละเอียดในด้านอื่นๆก่อนเลี้ยงเพิ่มเติม เช่น การขนย้าย หรือ การเพาะพันธุ์ เป็นต้น ***วิธีเลี้ยงสิงโตอุปกรณ์ที่จำเป็นพื้นที่เลี้ยงขนาดใหญ่ขนาดพื้นที่ควรมากกว่า 500 ตารางเมตรต่อสิงโตหนึ่งตัว พร้อมกรงเหล็กที่มีความสูงไม่น้อยกว่า 3 เมตรระบบป้องกันมีระบบล็อกที่ปลอดภัย กล้องวงจรปิด และมาตรการป้องกันการหลบหนีที่หลบซ่อนและที่นอนสร้างที่พักหลบแดดและฝนที่มั่นคงระบบควบคุมอุณหภูมิโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนจัดหรือหนาวจัดอาหารและโภชนาการอาหารหลัก: เนื้อดิบ เช่น เนื้อวัวหรือไก่อาหารเสริม: อาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุสำหรับสัตว์นักล่าปริมาณอาหาร: สิงโตตัวโตเต็มวัยต้องการอาหารประมาณ 5-7 กิโลกรัมต่อวันการให้อาหารควรให้อาหารทุกวันหรือวันเว้นวันหลีกเลี่ยงการให้เนื้อปรุงสุก เพราะอาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหารการดูแลสุขภาพสิงโตการตรวจสุขภาพประจำปีตรวจร่างกายโดยสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญปีละ 1-2 ครั้งการควบคุมพฤติกรรมใช้การฝึกแบบบวก (Positive Reinforcement) เพื่อควบคุมพฤติกรรมป้องกันโรคฉีดวัคซีนป้องกันโรค เช่น โรคพิษสุนัขบ้า และโรคไวรัสในสัตว์คำถามที่พบบ่อยQ: การเลี้ยงสิงโตเหมาะกับมือใหม่หรือไม่?A: ไม่เหมาะอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องการทรัพยากรสูง ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และปฏิบัติตามกฎหมายที่เข้มงวดQ: สิงโตสามารถเลี้ยงร่วมกับสัตว์ชนิดอื่นได้หรือไม่?A: โดยทั่วไปไม่ควรเลี้ยงรวมกับสัตว์ชนิดอื่น เนื่องจากสิงโตเป็นสัตว์นักล่าและอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์อื่นQ: ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสิงโตเท่าไหร่?A: ค่าใช้จ่ายรวมที่อยู่อาศัย อาหาร และการดูแลสุขภาพอาจเริ่มต้นที่หลักแสนบาทต่อเดือนหากคุณสนใจศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัตว์ Exotic หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง สามารถเยี่ยมชมเราได้ที่ www.repttown.com เราพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อช่วยคุณดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบ!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 17 ม.ค. 25

อ่าน 50 ครั้ง


กบพิษเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงกบพิษสำหรับมือใหม่จาก Repttown

กบพิษเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงกบพิษสำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยงกบพิษสำหรับมือใหม่จาก Repttownวันนี้ Repttown ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับกบพิษ (Poison Dart Frog) สัตว์เลี้ยงขนาดเล็กที่มีสีสันสวยงามและโดดเด่น กบพิษได้รับความนิยมในหมู่คนรักสัตว์ Exotic เนื่องจากพฤติกรรมที่น่าสนใจและลวดลายเฉพาะตัว เราได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิธีเลี้ยงและดูแลกบพิษสำหรับผู้เริ่มต้นประวัติความเป็นมาของกบพิษกบพิษเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในวงศ์ Dendrobatidae พบได้ในป่าฝนเขตร้อนของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ชื่อ "กบพิษ" มาจากการที่ชนพื้นเมืองใช้สารพิษจากผิวหนังของพวกมันทาลูกดอกสำหรับล่าสัตว์ อย่างไรก็ตาม กบพิษที่เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมจะไม่มีพิษ เพราะสารพิษมาจากอาหารในธรรมชาติ เช่น มดและแมลงบางชนิดลักษณะเด่นของกบพิษสีสันสดใส: มีสีสันหลากหลาย เช่น ฟ้า เขียว แดง เหลือง และดำ เพื่อลวงนักล่าขนาดเล็กกะทัดรัด: มีขนาดเพียง 1.5-6 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นิสัยสงบ: กบพิษไม่ดุร้ายและสามารถปรับตัวให้คุ้นเคยกับการเลี้ยงในที่ปิดได้พิษเฉพาะตัวในธรรมชาติ: แต่จะไม่ผลิตพิษเมื่อเลี้ยงในที่ควบคุมสายพันธุ์กบพิษยอดนิยมBlue Poison Dart Frog (Dendrobates tinctorius "Azureus")ลักษณะเด่น: ตัวสีฟ้าสดใส มีจุดดำกระจายทั่วตัวขนาด: 4-5 เซนติเมตรความนิยม: เป็นสายพันธุ์ยอดฮิตสำหรับมือใหม่Green and Black Poison Dart Frog (Dendrobates auratus)ลักษณะเด่น: ลวดลายเขียว-ดำดูโดดเด่นขนาด: 3-4 เซนติเมตรพฤติกรรม: ค่อนข้างเชื่องและปรับตัวง่ายStrawberry Poison Dart Frog (Oophaga pumilio)ลักษณะเด่น: ตัวสีแดงสด หัวเหมือนผลสตรอว์เบอร์รีขนาด: 2-3 เซนติเมตรถิ่นกำเนิด: ป่าฝนในอเมริกากลางYellow-banded Poison Dart Frog (Dendrobates leucomelas)ลักษณะเด่น: สีเหลืองสดลายดำคล้ายลายเสือขนาด: 3-5 เซนติเมตรความทนทาน: เหมาะสำหรับมือใหม่วิธีเลี้ยงกบพิษอุปกรณ์ที่จำเป็นตู้กระจกหรือเทอราเรียมขนาดขั้นต่ำ: 30x30x30 ซม. สำหรับกบ 2-3 ตัวควรมีฝาปิดเพื่อป้องกันการหลบหนีวัสดุปูพื้นใช้พีทมอส กาบมะพร้าว หรือมอสธรรมชาติพืชประดับและที่หลบซ่อนเช่น เฟิร์น บรอมีเลียด หรือไม้อวบน้ำ เพื่อสร้างบรรยากาศคล้ายธรรมชาติระบบควบคุมความชื้นและอุณหภูมิความชื้น: 70-90%อุณหภูมิ: 22-28°Cแสง UVBช่วยเสริมสุขภาพผิวหนังและกระตุ้นการสังเคราะห์วิตามินอาหารและโภชนาการอาหารหลัก: แมลงขนาดเล็ก เช่น ไรแดง ผลไม้ (fruit flies) และแมลงปีกแข็งเสริมอาหาร: ผงแคลเซียมและวิตามินโรยบนแมลงก่อนให้อาหารการให้อาหารให้อาหารวันละ 1-2 ครั้งในปริมาณที่เหมาะสมควรจัดพื้นที่ให้อาหารในที่ง่ายต่อการทำความสะอาดการดูแลสุขภาพของกบพิษความสะอาดของที่อยู่อาศัยทำความสะอาดวัสดุปูพื้นและเปลี่ยนน้ำเป็นประจำตรวจสุขภาพหากพบว่ากบมีผิวหนังซีด เบื่ออาหาร หรือเคลื่อนไหวช้า ควรปรึกษาสัตวแพทย์ควบคุมความชื้นใช้เครื่องพ่นไอน้ำหรือสเปรย์น้ำเพื่อรักษาความชื้นคำถามที่พบบ่อยQ: กบพิษมีพิษหรือไม่เมื่อเลี้ยงในบ้าน?A: ไม่มี เพราะสารพิษในธรรมชาติมาจากอาหารเฉพาะที่พวกมันกินQ: กบพิษเหมาะกับมือใหม่หรือไม่?A: เหมาะอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ดูแลง่าย เช่น Blue Poison Dart FrogQ: ราคาเริ่มต้นของกบพิษอยู่ที่เท่าไหร่?A: ราคาขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และขนาด โดยเริ่มต้นประมาณ 1,500-10,000 บาทหากคุณสนใจเลี้ยงกบพิษหรือกำลังมองหาอุปกรณ์ที่เหมาะสม คุณสามารถเลือกชมสัตว์เลี้ยงและปรึกษาเราได้ที่ www.repttown.com เราพร้อมช่วยคุณเริ่มต้นการดูแลกบพิษอย่างมืออาชีพ!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 17 ม.ค. 25

อ่าน 41 ครั้ง


ชินชิลล่าเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงชินชิลล่าสำหรับมือใหม่จาก Repttown

ชินชิลล่าเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยงชินชิลล่าสำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยงชินชิลล่าสำหรับมือใหม่จาก Repttownวันนี้ Pet Paradise ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับชินชิลล่า (Chinchilla) สัตว์ฟันแทะตัวเล็กที่น่ารักและมีขนที่นุ่มฟูที่สุดในโลก เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่มีเอกลักษณ์และเลี้ยงง่าย เราได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเพื่อให้คุณเริ่มต้นการเลี้ยงชินชิลล่าได้อย่างมั่นใจประวัติความเป็นมาของชินชิลล่าชินชิลล่าเป็นสัตว์ฟันแทะที่มีถิ่นกำเนิดในเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ พวกมันมีขนนุ่มหนาแน่นเพื่อป้องกันความหนาวเย็น และมีนิสัยขี้เล่น ชินชิลล่าถูกเลี้ยงในเชิงพาณิชย์เพื่อขนในอดีต แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงประจำบ้านลักษณะเด่นของชินชิลล่าขนนุ่มพิเศษ: ชินชิลล่ามีเส้นขนต่อรูขุมขนมากถึง 50-80 เส้น ทำให้ขนนุ่มมากและป้องกันหมัดหรือเห็บขนาดกะทัดรัด: ตัวเต็มวัยมีความยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 400-700 กรัมพฤติกรรมขี้เล่น: ชอบกระโดด สำรวจ และวิ่งเล่นในเวลากลางคืน (สัตว์ที่ตื่นเวลากลางคืน)อายุยืน: มีอายุขัยเฉลี่ย 10-15 ปีสายพันธุ์ของชินชิลล่าชินชิลล่ามีสองสายพันธุ์หลัก:ชินชิลล่าแลนิเจีย (Chinchilla lanigera)ตัวเล็กกว่านิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านชินชิลล่าเบรวิคาวดา (Chinchilla brevicaudata)ตัวใหญ่กว่ามีขนหนากว่า พบในธรรมชาติที่ระดับความสูงมากวิธีเลี้ยงชินชิลล่าอุปกรณ์ที่จำเป็นกรงหรือที่อยู่อาศัยควรมีขนาดใหญ่พอสำหรับกระโดดและวิ่งเล่น เช่น 100 x 50 x 50 ซม.เลือกกรงที่ทำจากวัสดุโลหะเพื่อป้องกันการกัดแทะที่หลบซ่อนชินชิลล่าชอบที่หลบซ่อนเพื่อความปลอดภัยวัสดุปูพื้นใช้ไม้สนหรือกระดาษอัดเพื่อซึมซับของเสียชามอาหารและขวดน้ำใช้ชามหนักและขวดน้ำแบบหัวลูกกลิ้งอ่างทรายอาบน้ำชินชิลล่าทำความสะอาดตัวเองด้วยการอาบทราย ไม่ควรใช้น้ำเพราะขนแห้งยากอาหารและโภชนาการอาหารหลัก: หญ้าแห้ง (เช่น ทิโมธีหรืออัลฟัลฟา)อาหารเสริม: เม็ดอาหารเฉพาะสำหรับชินชิลล่าหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือมันมาก เช่น ผลไม้สดหรือถั่วการให้อาหารให้อาหารวันละ 1-2 ครั้ง พร้อมเติมหญ้าแห้งให้เต็มเสมอน้ำสะอาดต้องมีตลอดเวลาการดูแลสุขภาพชินชิลล่าการแปรงขนชินชิลล่าไม่ต้องการการแปรงขนบ่อย แต่ควรตรวจสอบเพื่อป้องกันขนพันกันการอาบทรายควรอาบทราย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยใช้ทรายชนิดพิเศษสำหรับชินชิลล่าการลับฟันให้ไม้หรือของเล่นลับฟัน เพื่อป้องกันปัญหาฟันยาวนี่คือ "จูโน่" สาวน้อยตัวแสบประจำออฟฟิศ Repttownคำถามที่พบบ่อยQ: ชินชิลล่าเหมาะสำหรับเด็กหรือไม่?A: ชินชิลล่ามีนิสัยอ่อนโยน แต่ควรเลี้ยงดูภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ เพราะพวกมันบอบบางQ: ชินชิลล่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?A: ราคาชินชิลล่าเริ่มต้นประมาณ 5,000-20,000 บาท ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสีQ: ชินชิลล่ากัดหรือไม่?A: ชินชิลล่ามักไม่กัด แต่ถ้ารู้สึกตกใจหรือกลัว อาจแสดงอาการเล็กน้อยQ: ชินชิลล่าเหมาะกับการเลี้ยงในคอนโดหรือไม่?A: เหมาะสม เนื่องจากชินชิลล่าไม่มีกลิ่นตัวและไม่ส่งเสียงดัง แต่ต้องเตรียมพื้นที่ที่ปลอดภัยและสะอาดหากคุณสนใจเลี้ยงชินชิลล่า หรือกำลังมองหาอุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ คุณสามารถเยี่ยมชมและปรึกษาเราได้ที่ https://www.repttown.com/ เราพร้อมดูแลคุณและเพื่อนตัวน้อยของคุณ!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 17 ม.ค. 25

อ่าน 12 ครั้ง


งูฮอคโนสเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยง Hognose Snake สำหรับมือใหม่จาก Repttown

งูฮอคโนสเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยง Hognose Snake สำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยง Hognose Snake สำหรับมือใหม่จาก Repttownวันนี้ Repttown ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Hognose Snake งูสายพันธุ์เล็กที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารักและเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นเลี้ยงงู Exotic เราได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเพื่อให้คุณเข้าใจลักษณะเฉพาะ วิธีการเลี้ยง และการดูแลอย่างถูกต้องประวัติความเป็นมาของ Hognose SnakeHognose Snake เป็นงูในวงศ์ Colubridae ที่มีจมูกโด่งคล้ายพลั่วซึ่งช่วยให้พวกมันขุดทรายหรือดินเพื่อซ่อนตัวหรือหาอาหาร พวกมันมีลักษณะนิสัยน่ารักและไม่มีพิษร้ายแรงต่อมนุษย์สายพันธุ์ของ Hognose SnakeHognose Snake แบ่งออกเป็นหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนี้Western Hognose Snake (Heterodon nasicus)ถิ่นกำเนิด: อเมริกาเหนือ เช่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดาลักษณะเด่น: มีสีสันหลากหลาย เช่น น้ำตาล เทา ส้ม หรือเหลือง และมีหลากหลาย morph เช่น Albino, Axanthic, Toffee, และ Lavenderความยาว: 50-90 เซนติเมตรเป็นสายพันธุ์ยอดนิยมในวงการเลี้ยงงู ExoticEastern Hognose Snake (Heterodon platirhinos)ถิ่นกำเนิด: ตะวันออกของสหรัฐอเมริกาลักษณะเด่น: สีพื้นน้ำตาลเข้ม ดำ หรือเขียวมะกอก มักมีลวดลายไม่ชัดเจนความยาว: 60-120 เซนติเมตรเป็นสายพันธุ์ที่มีพฤติกรรม “เล่นตาย” อย่างชัดเจนเมื่อถูกรบกวนSouthern Hognose Snake (Heterodon simus)ถิ่นกำเนิด: ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาลักษณะเด่น: ขนาดเล็กกว่า Hognose สายพันธุ์อื่น และมีสีค่อนข้างซีด เช่น น้ำตาลอ่อนและส้มอ่อนความยาว: 40-60 เซนติเมตรสายพันธุ์นี้เริ่มพบได้น้อยในธรรมชาติPlains Hognose Snake (Heterodon nasicus nasicus)ถิ่นกำเนิด: ทุ่งหญ้าของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาลักษณะเด่น: ลวดลายคล้าย Western Hognose แต่มีสีที่อ่อนกว่า เช่น น้ำตาลอมเทาความยาว: 50-90 เซนติเมตรเป็นชนิดย่อยของ Western Hognose ที่นิยมเลี้ยงเช่นกันDusty Hognose Snake (Heterodon gloydi)ถิ่นกำเนิด: ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาลักษณะเด่น: สีและลวดลายคล้าย Eastern Hognose แต่มีสีออกเทาและซีดกว่าชัดเจนความยาว: 50-80 เซนติเมตรMexican Hognose Snake (Heterodon kennerlyi)ถิ่นกำเนิด: เม็กซิโกและบางส่วนของสหรัฐอเมริกาลักษณะเด่น: สีโทนดำหรือน้ำตาลเข้ม และมีลวดลายจางกว่าสายพันธุ์อื่นความยาว: 40-70 เซนติเมตรMadagascar Hognose Snake (Leioheterodon spp.)ถิ่นกำเนิด: เกาะมาดากัสการ์ลักษณะเด่น: มีขนาดใหญ่กว่าสายพันธุ์ในทวีปอเมริกา สีส่วนใหญ่เป็นน้ำตาลเข้มและมีจุดดำกระจายทั่วตัวความยาว: 90-150 เซนติเมตรTri-Color Hognose Snake (Xenodon pulcher)ถิ่นกำเนิด: อเมริกากลางและอเมริกาใต้ลักษณะเด่น: สีสันสดใสคล้าย Milk Snake มีสีแดง ดำ และขาวเรียงกันความยาว: 60-90 เซนติเมตรสายพันธุ์นี้ไม่ใช่ Heterodon แต่ถูกจัดอยู่ในวงศ์เดียวกันลักษณะเด่นของ Hognose Snakeขนาดเล็ก: ความยาวเฉลี่ย 50-90 เซนติเมตรสีสันหลากหลาย: ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และ morph เช่น Albino, Toffee, Axanthicนิสัย: เชื่อง อ่อนโยน มีพฤติกรรมแปลก เช่น แสร้งทำเป็นตายเมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนวิธีเลี้ยง Hognose Snakeการเลี้ยง Hognose Snake ควรคำนึงถึงขนาดของที่อยู่อาศัยและความสะอาดอุปกรณ์ที่จำเป็น:ตู้หรือกรง: ควรมีพื้นที่เพียงพอ เช่น 20 แกลลอนสำหรับตัวเดียววัสดุปูพื้น: เช่น ทรายละเอียด กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือพีทมอสที่หลบซ่อน: เพิ่มกล่องหลบซ่อนเพื่อความปลอดภัยระบบควบคุมอุณหภูมิ: อุณหภูมิในพื้นที่อุ่น 28-32°C และพื้นที่เย็น 22-25°CอาหารและโภชนาการHognose Snake กินหนูไมซ์ กบ หรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำวิธีการให้อาหาร:ให้อาหารทุก 5-7 วันละลายหนูไมซ์แช่แข็งก่อนให้งูการสืบพันธุ์ของ Hognose Snakeการสืบพันธุ์ของ Hognose SnakeHognose Snake ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ตัวเมียสามารถวางไข่ได้ประมาณ 10-25 ฟองต่อครั้ง โดยไข่จะฟักในระยะเวลา 50-60 วัน หากควบคุมอุณหภูมิประมาณ 26-30°Cโรคที่พบบ่อยใน Hognose Snakeโรคทางเดินหายใจ: เกิดจากอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมในที่อยู่อาศัยการติดเชื้อรา: พบได้ในพื้นที่ที่ความชื้นสูงเกินไปปัญหาการลอกคราบ: เกิดจากความชื้นที่ต่ำเกินไปหากพบอาการผิดปกติ เช่น งูเบื่ออาหาร หายใจเสียงดัง หรือเกล็ดลอกไม่สมบูรณ์ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคำถามที่พบบ่อยQ: Hognose Snake ราคาเท่าไหร่?A: ราคาขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสี โดยเริ่มต้นที่ประมาณ 5,000-15,000 บาทQ: Hognose Snake มีพิษหรือไม่?A: มีพิษเล็กน้อยที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และมักใช้กับเหยื่อขนาดเล็กเท่านั้นQ: Hognose Snake เหมาะกับมือใหม่หรือไม่?A: เหมาะอย่างยิ่ง เพราะพวกมันเลี้ยงง่าย เชื่อง และมีพฤติกรรมน่าสนใจหากคุณสนใจเลี้ยง Hognose Snake หรือกำลังมองหาอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง Exotic คุณสามารถเลือกซื้อสินค้าและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ที่ www.repttown.com เราพร้อมมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้คุณและสัตว์เลี้ยงของคุณ!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 16 ม.ค. 25

อ่าน 155 ครั้ง


งูคิงเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยง King Snake และ Milk Snake สำหรับมือใหม่จาก Repttown

งูคิงเลี้ยงยังไง มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง??? - คู่มือการเลี้ยง King Snake และ Milk Snake สำหรับมือใหม่จาก Repttown

คู่มือการเลี้ยง King Snake และ Milk Snake สำหรับมือใหม่จาก Repttownวันนี้ Repttown ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ King Snake และ Milk Snake งูสายพันธุ์ที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และเหมาะสำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นเลี้ยงงู Exotic เราได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อให้คุณเข้าใจลักษณะเฉพาะ วิธีการเลี้ยง และการดูแลอย่างถูกต้องประวัติความเป็นมาของ King Snake และ Milk SnakeKing Snake และ Milk Snake เป็นงูในตระกูลเดียวกัน (Lampropeltis) มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง พวกมันมีความหลากหลายของลวดลายและสีสัน จึงได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้เลี้ยงสัตว์แปลกKing Snake มีชื่อเสียงจากการล่างูชนิดอื่นและสามารถกินงูพิษ เช่น งูหางกระดิ่งได้ ในขณะที่ Milk Snake มีลวดลายและสีสันที่คล้ายคลึงกับงูพิษ Coral Snake ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่ามันมีพิษ แต่จริง ๆ แล้ว Milk Snake ไม่มีพิษและเป็นงูที่เชื่องลักษณะเด่นของ King Snake และ Milk SnakeKing Snake และ Milk Snake มีความยาวเฉลี่ย 100-150 เซนติเมตร (บางสายพันธุ์อาจยาวถึง 180 เซนติเมตร) น้ำหนักประมาณ 500-1,000 กรัมสีสันและลวดลาย:King Snake มีสีดำ น้ำตาล หรือดำสลับขาว พร้อมลวดลายที่โดดเด่น เช่น ลายวงแหวนหรือแถบสีMilk Snake มีลวดลายสีแดง เหลือง และดำ คล้ายกับ Coral Snake โดยมีคำจำง่าย ๆ คือ "Red on Black, Friend of Jack. Red on Yellow, Kill a Fellow" (แดงติดดำปลอดภัย แดงติดเหลืองอันตราย)นิสัย:งูทั้งสองสายพันธุ์มีนิสัยอ่อนโยน ไม่ดุร้าย เชื่องง่าย และสามารถปรับตัวเข้ากับการเลี้ยงในกรงได้ดีวิธีเลี้ยง King Snake และ Milk Snakeการจัดที่อยู่อาศัยสำหรับงูทั้งสองสายพันธุ์จำเป็นต้องพิจารณาขนาดและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมอุปกรณ์ที่จำเป็น:ตู้หรือกรง: ใช้ตู้กระจกหรือกล่องพลาสติกที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ขนาดควรมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเลื้อยวัสดุปูพื้น: ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ หรือวัสดุรองพื้นที่ทำความสะอาดง่ายที่หลบซ่อน: เพิ่มที่หลบซ่อนเพื่อให้งูรู้สึกปลอดภัยระบบควบคุมอุณหภูมิ: ควรรักษาอุณหภูมิประมาณ 26-29°C ในช่วงกลางวัน และลดลงเล็กน้อยในเวลากลางคืนอาหารและโภชนาการของ King Snake และ Milk Snakeอาหารหลัก:งูทั้งสองสายพันธุ์กินหนูเป็นหลัก (หนูไมซ์แช่แข็ง) และอาจกินไข่หรือนกขนาดเล็กวิธีการให้อาหาร:ให้อาหารทุก 7-10 วันละลายหนูไมซ์แช่แข็งก่อนให้งู โดยใช้ไดร์เป่าผมหรือน้ำอุ่นหลีกเลี่ยงการให้อาหารสดเพื่อป้องกันการบาดเจ็บการสืบพันธุ์ของ King Snake และ Milk Snakeงูทั้งสองสายพันธุ์ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยตัวเมียสามารถวางไข่ได้ประมาณ 10-20 ฟองต่อครั้ง ไข่จะใช้เวลาในการฟักประมาณ 50-70 วัน โดยต้องควบคุมอุณหภูมิระหว่าง 80-85°Fวิธีการอาบน้ำให้งู King Snake และ Milk Snakeการอาบน้ำทำได้ง่ายเพียงใช้ภาชนะขนาดพอดีกับตัวงู เติมน้ำอุณหภูมิห้อง ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด ควรอาบน้ำเป็นครั้งคราวเมื่อมีคราบสกปรกหรือในช่วงลอกคราบโรคที่พบบ่อยใน King Snake และ Milk Snakeโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ: เกิดจากอุณหภูมิหรือความชื้นที่ไม่เหมาะสมการติดเชื้อรา: พบได้หากพื้นที่เลี้ยงไม่สะอาดภาวะเครียด: เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมหรือการจับต้องบ่อยเกินไปหากพบอาการผิดปกติ เช่น งูเบื่ออาหารหรือมีแผลบนเกล็ด ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์คำถามที่พบบ่อยQ: King Snake และ Milk Snake ราคาเท่าไหร่?A: ราคาขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และลวดลาย โดยเริ่มต้นที่ประมาณ 3,000-5,000 บาทQ: งู King Snake และ Milk Snake มีพิษหรือไม่?A: ทั้งสองสายพันธุ์ไม่มีพิษ และปลอดภัยสำหรับผู้เลี้ยงQ: งูเหล่านี้เหมาะกับมือใหม่หรือไม่?A: เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกมันเชื่องง่ายและไม่ต้องการการดูแลที่ซับซ้อนสำหรับใครที่กำลังมองหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ King Snake และ Milk Snake หรืออุปกรณ์สำหรับเลี้ยงสัตว์ Exotic คุณสามารถเลือกซื้อสัตว์เลี้ยงและสินค้าที่มีคุณภาพได้ที่ www.repttown.com เราได้รวบรวมฟาร์มชั้นนำจากทั่วไทยที่พร้อมมอบสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยงของคุณ!

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 16 ม.ค. 25

อ่าน 97 ครั้ง

REPTALES v1.0.4 by ReptTown
All Right Reserved