REPTALES
เรื่องราวสัตว์จาก ReptTown
ส้วมของกระแต ความสัมพันธ์ของกระแตภูเขากับหม้อข้าวหม้อแกงลิง

ส้วมของกระแต ความสัมพันธ์ของกระแตภูเขากับหม้อข้าวหม้อแกงลิง

ส้วมของกระแต ความสัมพันธ์ของกระแตภูเขากับหม้อข้าวหม้อแกงลิงทุกวัน มนุษย์เราตื่นเช้ามาก็เข้าขับถ่ายที่ส้วมส่วนตัว แต่ทว่าสัตว์โดยทั่วไปนั้น ส้วมส่วนตัวในป่าใหญ่นั้นไม่ได้มีบ่อย มีสัตว์อยู่ชนิดหนึ่งที่ใช้ส้วมส่วนตัวเพื่อให้ส้วมดำรงอยู่ต่อไป มันคือ กระแตภูเขา (Mountain tree shrew - 𝘛𝘶𝘱𝘢𝘪𝘢 𝘮𝘰𝘯𝘵𝘢𝘯𝘢) กระแตชนิดหนึ่งจากเกาะบอร์เนียว ที่ขับถ่ายลงส้วมส่วนตัวอย่างต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงนั่นเอง !- ในปี 2010 นักชีววิทยาพบพฤติกรรมสุดแปลกนี้ที่ภูเขาคินาบาลูในรัฐซาบาห์ เกาะบอร์เนียว เมื่อพวกเขาเฝ้าสังเกตกระแตภูเขาตัวหนึ่งไปกลับระหว่างจุดนอนหลับและต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงต้นเดิมๆทุกเช้า ซึ่งเจ้ากระแตมาที่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นประจำนี้ก็เพื่อเลียกินสารหวานเหมือนน้ำตาลบริเวณฝาต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (Pitcher lid) หลังกินมื้อเช้าสุดหวานฉ่ำแล้ว ก็อึลงในหม้อข้าวหม้อแกงลิงปิดท้ายแล้วจากไป- พวกเขาพบว่า กระแตภูเขามีพฤติกรรมนี้กับต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง 3 ชนิดในสกุล 𝘕𝘦𝘱𝘦𝘯𝘵𝘩𝘦𝘴 ซึ่งทั้งสามชนิดนั้นเป็นพืชกินแมลงและสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร และการที่พวกมันได้รับอึของกระแตภูเขา ก็ช่วยให้มันได้รับสารอาหารเต็มที่จากการกินของกระแตที่เป็นสัตว์กินทั้งพืชและสัตว์ นี่เป็นการช่วยเพิ่มปุ๋ยให้ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงไปในตัว แล้วกระแตพวกนี้ก็จำต้นส้วมของตัวเองได้เสมอ !- ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั้งสามชนิดสามารถดำรงชีวิตรอดจากการเลือกส้วมขับถ่ายของกระแต ต้นไม้ได้รับสารอาหาร แถมยังแบ่งสารอาหารให้สัตว์บางชนิดได้ดด้วย ไม่ว่าจะเป็นพวกค้างคาวกินผลไม้ที่แวะกินน้ำหวานจากต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงและช่วยกระจายพันธุ์พืชให้ บ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของสัตว์และพืชในระบบนิเวศ ส่งผลต่อชีวนิเวศแหล่งข้อมูลอ้างอิงMutualism between tree shrews and pitcher plants: perspectives and avenues for future researchhttps://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20861680/คลิปเจ้ากระแตภูเขามาขับถ่ายที่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงhttps://youtu.be/TwL7K_loRjM?si=K47xA8Jm4igwhViW
ความรู้รอบโลก
กระแต

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 6 ครั้ง


รักแท้หนึ่งเดียว "ไม่มีจริง !" เรื่องวุ่นๆของ Monogamy

รักแท้หนึ่งเดียว "ไม่มีจริง !" เรื่องวุ่นๆของ Monogamy

"ไอ้ที่เขาเรียกว่าความรัก มันเป็นแค่ปฏิกิริยาทางเคมีกระตุ้นให้สัตว์ผสมพันธุ์ ความรู้สึกมันถาโถมแล้วค่อยๆจางหาย" ริค ซานเชซ นักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดในโลกจักรวาลนึงกล่าวไว้ริคผมเชื่อคุณเรื่องนึงนะ เรื่องของ "Monogamy" หรือที่เรียกว่า "รักเพียงหนึ่งเดียว" เป็นแค่การที่สัตว์มีความรู้สึกกระตุ้นเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ การทำงานร่วมกัน การอยู่ด้วยกันเป็นกฎเกณฑ์ที่ทำเพื่ออาณาเขต เพื่อแหล่งอาหาร และเผ่าพันธุ์ตัวเองสามารถเติบโตได้ และพฤติกรรมนี้ก็ถ่ายทอดออกไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน แต่เบื้องหลังที่ไม่มีใครเคยพูดถึงแม้แต่นักวิทยาศาสตร์- กว่า 90% ของชนิดนกที่เป็น Monogamy พบว่านกบางชนิดเองก็มีพฤติกรรมที่ไม่ได้น่ารักต่อคู่ครองมันเท่าไร อย่างเช่นนกจับแมลง Superb fairywren (𝘔𝘢𝘭𝘶𝘳𝘶𝘴 𝘤𝘺𝘢𝘯𝘦𝘶𝘴) นกขนาดเล็กจากออสเตรเลีย นักวิจัยศึกษาคู่รักนกคู่หนึ่งพบว่า ในตอนดึกสัญญาณเคลื่อนไหวของนกตัวเมียจากรังคู่มันหายไป แล้วกลับมาในเวลา 15 นาที โดยที่คู่ของมันไม่รู้ นั้นเป็นเพราะเจ้านกสาวลอบไปหาชู้ของมันมา มากสุดที่มีได้คือมีโลก 4 ใบคือ สามีตัวเองและชายอื่น 3 ตัว เท่ากับไข่ในรังมีอัตราส่วนของแฟนตัวเองแค่ 25% เท่านั้น เขามีแต่พรโลก 7 ใบ อันนี้นกโลก 4 ใบ- นกนั้นถูกวาดว่าเป็นสัตว์มีคู่เดียว แม้แต่กับไพรเมตที่เป็นแบบรักเดียวใจเดียวอย่างชะนี ก็มีปัญหาเรื่องการมีโลกอีกใบด้วย จากการที่บิวคุงได้ถามนักวิจัยชะนีไทย เขาก็ยืนยันว่า ชะนีก็เป็นสัตว์ที่นอกใจคู่ตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งเกิดจากกรณีที่แหล่งอาหารในอาณาเขตไม่เพียงพอ หรือปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย ตัวเมียก็ยอมมีโลกอีกใบสำรอง เผื่อตัวผู้คู่ของมันหมดน้ำยาก็จะขยับไปหาโลกใบอื่นแทน- ในมนุษย์นั้น การครองคู่เดียวก็ใช่ว่าเป็นทางเลือกจริงๆ มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวในโลกที่เปรียบเปรยความรักของตนเองเสมือนเป็นดั่งหงส์และนกกระเรียนในรูปปั้นน้ำแข็งแกะสลักงานแต่งงานตัวเอง แต่แท้จริงแล้ว คู่รักหญิงชายน่ะ มีอะไรซ่อนเร้นจริงๆหรือไม่ มนุษย์เราก็ไม่ต่างกับลิงชิมแปนซีและลิงกอริลล่า ที่ความจริงเราเป็น Polygamy กันมาแต่ไหนแต่ไร !- เหตุผลที่มนุษย์ยอมเป็น Monogamy แบบคิดกันเองนั้น ก็เพื่อระเบียบทางสังคมไม่ให้มีความวุ่นวายและมั่วสุมกันเอง กฎหมายห้ามให้สามีหรือภรรยามีโลกอื่นนอกจากคู่ตัวเอง แม่ห้ามมีสัมพันธ์กับลูกชายและลูกสาว ซึ่งถ้าเทียบกับญาติสนิทอย่างลิงโบโนโบ้ หรือลิงชิมแปนซีแคระ (Bonobo - 𝘗𝘢𝘯 𝘱𝘢𝘯𝘪𝘴𝘤𝘶𝘴) พบว่า ลิงเหล่านี้มีสังคมที่เรียบง่ายและปราศจากความวุ่นวายได้ เพียงแค่ใช้ความรักมาสร้างสันติกัน สมาชิกฝูงแสดงความรักแบบหลายแบบ กระทั่งสัมพันธ์กับลูกๆตัวเองในฝูงได้- ในวันวาเลนไทน์นี้ ไม่มีสัตว์ไหนเลยที่จะเหมาะสมกับการเป็นรักหนึ่งเดียวในชีวิต เท่ากับ "𝘋𝘪𝘱𝘭𝘰𝘻𝘰𝘰𝘯 𝘱𝘢𝘳𝘢𝘥𝘰𝘹𝘶𝘮" หรือหนอนตัวแบนชนิดหนึ่งที่บิวคุงขอให้สมญานามว่า "สัตว์ที่ครองคู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น" เมื่อหนอนสองตัวจับคู่กัน พวกมันจะเชื่อมร่างกายหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วทำการกินเลือดปลาและผสมพันธุ์กันจนกว่าจะตายด้วยกัน.....แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://youtu.be/bxQdLhOQf5c?si=M513N_hSAbvhrvJuhttps://www.allohealth.care/.../monogamy-isn-t-realistichttps://www.news-medical.net/.../Study-All-monogamous...https://www.facebook.com/share/v/xVHRnXHGi7LQRCDZ/...

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 0 ครั้ง


อัลลิเกเตอร์ท้าหิมะ ความลับแห่งการเอาตัวรอดของเกเตอร์

อัลลิเกเตอร์ท้าหิมะ ความลับแห่งการเอาตัวรอดของเกเตอร์

ในสหรัฐอเมริกา ลมหนาวและหิมะปกคลุมไปทั่วพื้นที่รัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ สัตว์เลื้อยคลานผู้ดำรงเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่ช่วงยุคครีเตเชียส พบเจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างอัลลิเกเตอร์อเมริกา (American alligator - 𝘈𝘭𝘭𝘪𝘨𝘢𝘵𝘰𝘳 𝘮𝘪𝘴𝘴𝘪𝘴𝘴𝘪𝘱𝘱𝘪𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴) ที่ต้องเผชิญหน้ากับความหนาวเย็นเกือบ 10-20 องศาเซลเซียส !- อัลลิเกเตอร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน พวกมันสร้างพลังงานความร้อนที่รับจากภายนอกร่างกาย หรือที่เรียกว่า "Ectotherm" พวกมันใช้การนอนอาบแดดและรับความร้อนเข้ามาในร่างกาย ทำให้กระบวนการต่างๆทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วถ้าหากเป็นฤดูหนาวที่หิมะตกละ พวกมันอยู่รอดได้อย่างไร ?- อัลลิเกเตอร์และจระเข้เหนือชั้นกว่าสัตว์เลื้อยคลานจำพวกอื่น ตรงที่ร่างกายของมันปกคลุมด้วยผิวหนังที่มีคุณสมบัติพิเศษเรียกว่า "Osteoderm" มีการวิจัยพบว่า ผิวหนังของอัลลิเกเตอร์สามารถดูดซับพลังงานความร้อนจากแสงแดดที่ส่องลงมาท่ามกลางหิมะได้ และส่วนแผ่นหลังนั้นก็ทำหน้าที่เสมือนเป็นโซลาร์เซลล์ที่มีเส้นเลือดฝอยกระจายตัวบริเวณแถบผิวหนังดูดซับเอาความร้อนจากแสงอาทิตย์เร่งกระบวนการเมตาบอลิซึ่มมาสร้างเป็นความร้อนให้ร่างกาย- กรณีที่โดนน้ำแข็งแช่อยู่ในน้ำนานเกือบหลายเดือน อัลลิเกเตอร์ยังคงอยู่รอดได้แม้ได้รับพลังงานความร้อนจากสภาพแวดล้อมน้อย เป็นกระบวนการที่เรียกว่า "Brumation" คล้ายกับการจำศีลในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มันก็ยังคงหายใจได้ เพื่อให้อยู่รอดจนกว่าน้ำแข็งละลาย อัลลิเกเตอร์จะโผล่ส่วนปลายปากและจมูกออกเพื่อให้ระบบทางเดินหายใจของมันยังทำงานหมุนเวียนออกซิเจนเป็นปกติเช่นเคย และปล่อยให้ร่างกายมีสภาวะกึ่งจำศีลรอจนกว่าน้ำแข็งละลาย เรียกพฤติกรรมนี้ว่า "Icing behavior"- เมื่ออากาศเย็น เท่ากับอัลลิเกเตอร์จะไม่อยากอาหารไปอีกนาน พวกมันจะกินน้อยลงเพื่อสงวนพลังงานความร้อนเอาไว้ในยามจำเป็นเท่านั้น ดังนั้นอัลลิเกเตอร์ในช่วงฤดูหนาวจึงมักไม่ค่อยขยับตัวนัก หากถูกคุกคามหรือเข้าใกล้ มันก็จะใช้พลังงานความร้อนที่มีผลักตัวเองลงน้ำหรือหลบไปที่ปลอดภัยก่อน นั้นคืออีกเหตุผลการเอาตัวรอดของสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ผ่านมหายุคไดโนเสาร์มาจนปัจจุบันได้แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.seattletimes.com/.../what-do-lowcountry.../https://scaquarium.org/brumation/https://www.cajunencounters.com/.../too-cold-for-alligators/https://www.jstor.org/stable/3891973

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 0 ครั้ง


สิงโตออกล่าควายป่าบ่อยขึ้น เพราะ "มด"

สิงโตออกล่าควายป่าบ่อยขึ้น เพราะ "มด"

กระแสเรื่องสิงโตตอนนี้มาแรงมาก แต่ผมไม่ขอพูดถึงเรื่องแบบนั้นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงสิงโต มันไม่ใช่ทางผมเลย ดังนั้นเราจะมาดูชีวิตของสิงโตในธรรมชาติกันดีกว่าครับอย่างที่ทุกคนทราบ สิงโตเป็นนักล่าสูงสุดของทุ่งหญ้าซาวันน่าในแอฟริกา เป็นสัตว์ที่ควบคุมประชากรสัตว์กินพืชหลายชนิดไม่ให้มีจำนวนมากเกินไป แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากชีวิตสิงโตถูกเปลี่ยนไป เมื่อการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มด"- แม้มดจะมีทั่วไปในแอฟริกา แต่มดชนิดดังกล่าวนี้ทำให้ระบบนิเวศทุ่งหญ้าซาวันน่าเปลี่ยนไปตลอดกาล มันคือ "มดหัวโต" (Big-headed ant - 𝘗𝘩𝘦𝘪𝘥𝘰𝘭𝘦 𝘮𝘦𝘨𝘢𝘤𝘦𝘱𝘩𝘢𝘭𝘢) มดรุกรานที่กระจายไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย พวกมันบุกยึดเขตทุ่งหญ้าซาวันน่า จู่โจมมดอะคาเซีย (Acacia ant - 𝘊𝘳𝘦𝘮𝘢𝘵𝘰𝘨𝘢𝘴𝘵𝘦𝘳 𝘴𝘱.) ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้แล้วยึดอาณาเขต- ซึ่งมดอะคาเซียเป็นมดที่อาศัยบนต้นไม้ต่างๆในทุ่งหญ้าซาวันน่า พอมดอะคาเซียโดนมดหัวโตแย่งถิ่น ต้นอะคาเซียก็ไร้ผู้เตือนภัย เมื่อช้างมาหาอาหาร แทนที่จะโดนมดเตือนไล่ออกไป กลายเป็นช้างโค่นลงได้สบายๆจนต้นไม้ในทุ่งหญ้าโดนโค่นง่ายลง ทำให้เป็นพื้นที่หญ้าโล่ง แล้วก็ส่งผลต่อสิงโต- สิงโตบางฝูงในทุ่งหญ้าซาวันน่าใช้แนวต้นไม้เป็นที่กำบังเพิ่มโอกาสในการล่าม้าลายและแอนทีโลป แต่เมื่อต้นไม้น้อยลง พวกม้าลายและแอนทีโลปเห็นสิงโตง่ายขึ้น จึงทำให้เปอร์เซ็นต์การล่าพวกนี้ลดต่ำลงจาก 62% เป็น 22% และทำให้สิงโตต้องไปล่าเหยื่ออื่นที่ใหญ่กว่านั่นก็คือ ควายป่าแอฟริกา- นักวิจัยในทุ่งหญ้าซาวันน่าในเคนย่าพบว่า สิงโตฝูงที่พวกเขาศึกษา เปลี่ยนพฤติกรรมจากที่พวกมันไม่เคยล่าควายป่าเลย กลายเป็นว่าควายป่าคือเหยื่อที่สิงโตล่ามากที่สุด จาก 0% เป็น 42% ของเหยื่อที่สิงโตกิน บ่งบอกว่าสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและระบบนิเวศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้สรุปเป็นสายโซ่ก็ประมาณนี้ครับStart >> มดต่างถิ่นบุกรุก >> มดอะคาเซียโดนมดต่างถิ่นคุกคาม >> ต้นอะคาเซียและต้นไม้ต่างๆไร้การป้องกันจากมด >> ช้างสามารถโค่นต้นไม้ได้โดยไม่โดนมดเตือน >> สิงโตล่าม้าลายไม่ได้เพราะแนวกำบังน้อยลง >> สิงโตเลยออกล่าควายป่ามากขึ้นเพื่อความอยู่รอด !แหล่งข้อมูลอ้างอิงDisruption of an ant-plant mutualism shapes interactions between lions and their primary preyhttps://www.science.org/doi/10.1126/science.adg1464

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 0 ครั้ง


ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบ

ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบ

ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบหากน้องตัวนี้เกิดในประเทศไทย อาจมีถูกจับไปขอหวยขอเลขเด็ดกันแน่นอน ที่เห็นอยู่ในภาพนี้คือ ลูกอ๊อดของกบบูลฟร็อกอเมริกา (American bullfrog - 𝘓𝘪𝘵𝘩𝘰𝘣𝘢𝘵𝘦𝘴 𝘤𝘢𝘵𝘦𝘴𝘣𝘦𝘪𝘢𝘯𝘶𝘴) ที่เติบโตเกินขนาดกว่าปกติ ! ยาวเกือบ 10 นิ้วจะขนาดเท่ากล้วยหอมแล้ว ! ซึ่งมันใหญ่ใกล้เคียงกับกบตัวเต็มวัยเลย ทว่ากลับไม่มีการพัฒนาตัวให้กลายเป็บกบตัวเต็มวัย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าลูกอ๊อดตัวนี้กันแน่ ?- กระบวนการกลายสภาพหรือ Metamorphosis ของกบนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยการเหนี่ยวนำของฮอร์โมนตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า ฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid hormone) หรือฮอร์โมน TSH จากต่อมไทรอยด์กระตุ้นการพัฒนาตัว ด้วยปัจจัยของอุณหภูมิ แสง และสารอาหารที่ลูกอ๊อดกินเข้าไป กระตุ้นฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตจากลูกอ๊อดเป็นกบเต็มวัย- ในกรณีของลูกอ๊อดยักษ์นั้น บางทีมีสาเหตุได้ 2 สาเหตุ สาเหตุแรกคือ ต่อมไทรอยด์มีปัญหาที่ควบคุมฮอร์โมนในการพัฒนาตัวไม่ดีพอ จนทำให้ลูกอ๊อดขยายร่างเอาแต่ไม่พัฒนาส่วนอวัยวะอย่างขาขึ้นมา กับอีกสาเหตุคือ ปัจจัยโดยรอบไม่กระตุ้นฮอร์โมนเอง น้ำอาจเย็นไป หรือแสงไม่มากพอจะกระตุ้น ขณะเดียวกันสารอาหารไม่เกี่ยว เพราะพวกนี้ถ้าได้สารอาหารน้อยมันก็จะตาย แต่ถ้าตัวโตขนาดนี้แปลว่ามันกินอาหารมาก- เมื่อกบตัวเต็มวัยแล้ว ฮอร์โมนไทรอยด์จะหยุดทำงานเรื่องการเจริญเติบโตทันที ลองกลับมาดูเจ้าลูกอ๊อดยักษ์ ถึงตัวจะโตขึ้นแต่ทุกอย่างในร่างกายก็ยังคงสภาพเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดออกมา และมันก็สามารถอยู่ได้นานเป็นปี เคยมีรายงานว่าลูกอ๊อดยักษ์แบบไม่กลายสภาพสามารถอยู่ได้เกือบ 8 ปี ! เป็นเรื่องสุดแปลกและมหัศจรรย์มาก !แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.americanscientist.org/.../the-giant-tadpole...https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6521741/https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK9986/https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK10035/

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25

อ่าน 3 ครั้ง


สล็อธดำน้ำอึดกว่าโลมา !"   เรื่องน่ารู้การหายใจของสัตว์บกบนต้นไม้และสัตว์น้ำแสนฉลาด

สล็อธดำน้ำอึดกว่าโลมา !" เรื่องน่ารู้การหายใจของสัตว์บกบนต้นไม้และสัตว์น้ำแสนฉลาด

รู้หรือไม่ สล็อธเป็นสัตว์ที่ดำน้ำได้นานกว่าโลมาที่เป็นสัตว์น้ำแท้จริง ! ซึ่งในทางสถิติแล้ว โลมาสามารถดำน้ำได้นานเฉลี่ย 10-15 นาทีเท่านั้น ส่วนมนุษย์เราดำน้ำอึดได้นานสุด 24 นาที 32 วินาที ขณะเดียวกันนั่นเอง เจ้าสล็อธสุดเชื่องช้ากลับเป็นสัตว์ที่ดำน้ำอึดกว่าโลมาและมนุษย์อีก ซึ่งดำน้ำได้นานสุดถึง 40 นาที ! • สล็อธเป็นสัตว์เชื่องช้า กระบวนการเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของมันจึงทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั่นเอง ซึ่งจากกระบวนการนี้ทำให้สล็อธย่อยอาหารนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนต่อการกินหนึ่งครั้ง ซึ่งเจ้าเมตาบอลิซึ่มที่ช้านี้ทำให้ปอดและหัวใจของสล็อธทำงานอย่างเชื่องช้า จนทำให้สล็อธกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานมาก อีกทั้งการย่อยอาหารช้าของมันยังเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหารทำให้สล็อธลอยตัวว่ายน้ำได้ดีด้วย • ขณะที่โลมาและมนุษย์นั้น ปอดและหัวใจทำงานแลกเปลี่ยนออกซิเจนอย่างหนักเมื่อดำอยู่ใต้น้ำ แต่ของโลมามีประสิทธิภาพกักเก็บอากาศได้ดีมาก เมื่อโลมาขึ้นหายใจอย่างรวดเร็วเหนือน้ำ มันสามารถสูดอากาศเข้าไปในปอดมากถึง 80% ของเนื้อที่ปอด แต่ด้วยความที่โลมาเป็นสัตว์ขยับตัวเร็วและกล้ามเนื้อทำงานเหมือนเครื่องจักรเรือดำน้ำที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ออกซิเจนหมดก๊อกไว จนต้องรีบโผล่หายใจเหนือน้ำทุก 10-15 นาที • ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว ดูเหมือนกระบวนการเมตาบอลิซึ่มทั้งสล็อธและโลมาแตกต่างกันสิ้นเชิงมาก สล็อธเน้นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเชื่องช้าบนต้นไม้ ขณะที่โลมาใช้ชีวิตในฐานะนักล่าแห่งท้องทะเลผู้ปราดเปรียวและแสนฉลาดหลักแหลม กายภาพและการทำงานของร่างกายนั้นแตกต่างกันมาก PIC CR. Texas Aquarium ReferenceDolphin Or Sloth, Who Can Hold Their Breath For Longer?https://www.iflscience.com/dolphin-or-sloth-who-can-hold...All About Bottlenose Dolphins facts by SEA WORLD https://seaworld.org/.../bottlenose-dolphin/adaptations/8 Facts You (probably) Didn’t Know About Sloths’ anatomyhttps://slothconservation.org/8-facts-about-sloths.../

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 03 ก.พ. 25

อ่าน 10 ครั้ง


"เมื่องูเคยมีขา" วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานสุดมหัศจรรย์

"เมื่องูเคยมีขา" วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานสุดมหัศจรรย์

"เมื่องูเคยมีขา" วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานสุดมหัศจรรย์"งู" คำๆเดียวที่สามารถทำให้ใครหลายคนขนลุกชูชันได้ไม่น้อยครับ แต่เราอาจจะมองข้ามมันไปว่า งูนั้นเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการมายาวไกลมาก มันไม่ใช่สัตว์ที่เพิ่งขึ้นในยุคใหม่เลยครับ แต่พวกมันถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้วอยู่อาศัยเคียงข้างกับไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์มากมายแล้วเหตุใดเล่า งูถึงต้องละทิ้งขาตัวเองไป ทั้งๆที่มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานเช่นเดียวกับกิ้งก่าและจระเข้ ? คำตอบนั้นเราต้องย้อนเวลากลับไปดูในช่วงยุครุ่งเรืองของไดโนเสาร์ผ่านฟอสซิลกันครับ จุดเริ่มต้น ฟอสซิลของงูที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุเมื่อ 90 ล้านปีก่อน แต่นักบรรพชีวินวิทยาได้ขุดพบฟอสซิลของสิ่งที่เรียกว่า "รอยต่อแห่งวิวัฒนาการที่หายไป" ในประเทศบราซิล เมื่อพวกเขาพบฟอสซิลของสัตว์เลื้อยคลานที่มีความคล้ายคลึงกับงูมากที่สุด แต่ว่า มันมีขาครับ !มันมีชื่อว่า "เตตระโพโดพริส" (𝘛𝘦𝘵𝘳𝘢𝘱𝘰𝘥𝘰𝘱𝘩𝘪𝘴) ซึ่งมีความหมายของชื่อว่า "งูที่มีสี่ขา" สัตว์เลื้อยคลานที่มีลำตัวและหัวเหมือนงู ไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของงูแต่อย่างใดเพียงแค่ญาติใกล้ชิดเฉยๆ แต่กลับมีขายื่นออกมาสี่ข้างเป็นระยางค์เดินเหมือนกับกิ้งก่า ลำตัวยาว 30 เซนติเมตร ซึ่งดูจากรูปทรงของลำตัวและขนาดของขาแล้ว บ่งบอกว่า ญาติสนิทของงูตัวนี้เริ่มจะปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวจากการมีขาไปใช้ลำตัวในการขยับแทนในทางพันธุกรรมและการอนุกรมวิธาน งูนั้นเป็นสัตว์ที่มีความสนิทกับกิ้บก่ามาก จนทำให้จัดอยู่ในอันดับเดียวกันคือ Order Squamata โดยงูนั้นจะแยกไปอยู่ในสายวิวัฒนาการ จึงทำให้รูปร่างขาของงูไปทางกิ้งก่า มีขาไม่ดีอย่างไรกัน ? แล้วทุกคนสงสัยกันอีกว่า งูมีขาไม่ดีตรงไหนถึงต้องหดขาหายไปจนหมด ทั้งนี้นักบรรพชีวินวิทยาก็ให้คำตอบไม่ชัดเจน แต่ในทางสัตววิทยาแล้ว การไม่มีขาของงูทำให้งูสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ทำให้สามารถมุดเข้าซอกหลีบตามจุดต่างๆที่สัตว์อื่นเข้าไม่ถึงเพื่อหลบพักผ่อนหรือวางไข่ รวมไปถึงยังสามารถใช้ลำตัวรับรู้ภัยอันตรายได้ดีกว่าการใช้หูฟังเสียงอีก ซึ่งงูก็ไม่มีหูด้วยเช่นกันทีนี้มีคำถามสำคัญตามมาอีกว่า แล้วงูหดขาคู่ไหนก่อนกัน ? คำตอบคือ ขาคู่หน้าหดไปก่อนครับ เหตุผลนั้นถ้าทุกคนเคยจำภาพงูเวลาเลื้อยอยู่บนพื้นดิน งูค่อนข้างจะมีส่วนหัวและลำตัวแนบติดพื้นกัน ซึ่งพอไม่มีขาหน้า ประสาทรับรู้ที่ส่งผ่านไปยังสยองจะสามารถรับรู้ได้ทางลำตัวผ่านไปยังกระดูกสันโดยตรงได้เลย ทำให้รู้อันตรายเร็วกว่าแล้วยิ่งงูอยู่มาตั้งแต่ช่วงที่มีไดโนเสาร์ด้วย การรับรู้ว่าแรงสั่นสะเทือนของไดโนเสาร์เดินยังดีกว่ามารู้ตัวตอนที่โดนเหยียบหรือว่าโดนจับกินจากไดโนเสาร์ขนาดเล็ก อย่างเช่นงูดึกดำบรรพ์สกุลหนึ่งที่ชื่อว่า "นาจาซ" (𝘕𝘢𝘫𝘢𝘴𝘩) เป็นงูที่มีชีวิตเมื่อ 90 ล้านปีก่อนในยุคครีเตเชียสตอนปลาย มีหลักฐานการหดไปของขาหน้าแต่ยังมีขาหลังอยู่ ซึ่งฟอสซิลติ่งขาหน้ายังพบอยู่ด้านในลำตัว สิ่งที่นาจาซต่างจากเตตระโพโดพริสก็คือ กระดูกซี่โครงที่มีรูปร่างให้เหมาะแก่การขยับตัวไปข้างหน้าด้วยกล้ามเนื้อลำตัว ซึ่งจะเป็นผลให้งูใช้ลำตัวขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วยไม่ต้องใช้ขาขยับตัวอีกอีกต่อไป แล้วนาจาซเหลือขาหลังเอาไว้ทำอะไร ? ซึ่งถ้ามามองดูในด้านการใช้เพื่อพฤติกรรมจำเป็นต่อชีวิตประจำวันแล้ว มันอาจเอาไว้สำหรับช่วยในการล็อคตัวเมียขณะผสมพันธุ์กันก็เป็นได้ครับ เพราะขณะสัตว์เลื้อยคลานผสมพันธุ์กันนั้น ขาหลังจะช่วยในการขยับส่วนอวัยวะเพศให้สอดใส่ได้ แต่ต่อมาเมื่องูหดขาหลังออก งูก็วิวัฒนาการอวัยวะเพศให้แตกออกเป็นสองข้างเพื่อใช้ผสมแบบใช้ข้างใดข้างหนึ่งแทน แต่งูบางจำพวกอย่างงูกลุ่มไพธ่อน (Python) และ (Boa) ยังคงมีติ่งของระยางค์ขาเล็กช่วงท้ายลำตัว เอาไว้สะกิดขณะการผสมพันธุ์กับตัวเมีย เมื่อขาหดไป ฟอสซิลของงูที่ไม่ปรากฎขาทั้งสี่ข้างเก่าแก่ที่สุดเป็นงูดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อว่า "ไดนิไลเซีย" (𝘋𝘪𝘯𝘪𝘭𝘺𝘴𝘪𝘢) เป็นงูขนาดกลางประมาณงูหลามบอล (Ball python)และงูหลามวัยเด็ก ที่สามารถยาวได้ 1-3 เมตร ที่มีชีวิตเมื่อ 85 ล้านปีก่อนในอเมริกาใต้ โดยสิ่งที่พวกเขาพบจากฟอสซิลงูดึกดำบรรพ์ตัวนี้คือ ขาหดไปจนหมดแล้วประกอบการพบว่าขนาดของกล่องสมองภายในมีขนาดกว้างขึ้น โดยเฉพาะส่วนของสมองส่วนท้ายที่ใช้ในการควบคุมลำตัวและการเคลื่อนที่ กระดูกหูชั้นกลางก็มีการเจริญให้สามารถรับรู้แรงสะเทือนได้ดีขึ้นแบบงูปัจจุบันทั่วไป ยิ่งสนับสนุนเหตุผลของการหดขาไปของงูอีกด้วย"จากมีขา สู่การไม่มีขา" ทำให้งูเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกกว่า 3,800 ชนิด มีหลายรูปร่างทั้งใหญ่และเล็ก พวกที่สวยงามและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม และก็ยังมีพวกที่มีพิษเพื่อการล่าและป้องกันตัว ทั้งนี้ก็เป็นผลวิถีแห่งชีวิตชักนำให้งูปรับตัวและดำรงชีวิตอยู่จนทุกวันนี้มาตั้งแต่ยุคที่พวกไดโนเสาร์อาศัยอยู่กันแล้วReferenceFossil Solves Mystery of How Snakes Lost Their Legshttps://www.amnh.org/explore/news-blogs/how-snakes-lost-legsHow Snakes Lost Their Legshttps://www.npr.org/.../498575639/how-snakes-lost-their-legsDavid M. Martill; Helmut Tischlinger; Nicholas R. Longrich (2015). "A four-legged snake from the Early Cretaceous of Gondwana"Apesteguía, S.; Zaher, H. (2006). "A Cretaceous terrestrial snake with robust hindlimbs and a sacrum".

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 02 ก.พ. 25

อ่าน 2 ครั้ง


"ใครคือไพรเมตที่ฉลาดที่สุด ?" ระหว่างมนุษย์ ชิมแปนซี และลิงคาปูชิน

"ใครคือไพรเมตที่ฉลาดที่สุด ?" ระหว่างมนุษย์ ชิมแปนซี และลิงคาปูชิน

ไพรเมต (Primate) คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีทักษะและกระบวนการคิดที่เหนือล้ำกว่าสัตว์อื่นๆ ในโลกนี้นอกจากไพรเมตแล้วก็มีช้างและวาฬกับโลมาที่มีกระบวนการคิดซับซ้อนได้ ความฉลาดในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม การสื่อสาร และการเข้าสังคมของสัตว์ เป็นตัวช่วยให้ไพรเมตสามารถมีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ว่าแต่ ใครละฉลาดที่สุดในบรรดาไพรเมต ? มนุษย์ ? ชิมแปนซี ? หรือเป็นลิงคาปูชิน ? • หากนับรวมไพรเมตทุกชนิด จะมีมนุษย์ ชิมแปนซี และโบโนโบ้ (ชิมแปนซีแคระ) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นไพรเมตที่ฉลาดที่สุดในโลก ถ้าตัดมนุษย์ออกก็เหลือแค่สองตัว ส่วนคาปูชินนั้นจะฉลาดที่สุดในบรรดา Monkey หรือพวกลิงมีหางทั้งหมด แต่ยังฉลาดเทียบลิงชิมแปนซีกับลิงอุรังอุตังไม่ได้ในเรื่องทักษะบางอย่างที่คาปูชินทำไม่ได้ • นักวิจัยมองว่า สมองของพวกไพรเมตทุกสปีชีส์มีหน่วยความจำและการตอบสนองสิ่งเร้าแตกต่างกัน พูดง่ายๆคือ ถ้านักวิจัยเอารูปดารา JAV ให้ชิมแปนซี และคาปูชินดูก็จะไม่เก็ทเท่ามนุษย์ที่ล้ำลึกถึงขนาดหน้าอกหรือหัวนม เพราะสมองนั้นจดจำสิ่งที่คุ้นเคยจากการแปรผลในระดับยีนเกี่ยวกับการประมวลผลแต่ละสปีชีส์ไม่เท่ากัน ดังนั้นสิ่งที่ชิมแปนซีเห็นรูปดาราก็จะมองว่าก็แค่มนุษย์หญิงไม่เห็นน่าสนใจเท่าชิมแปนซีสาววัยแก่ที่มีรอยตีนกาและหุ่นอวบอิ่มชวนเซ็กซี่ ส่วนคาปูชินก็จะมองว่า "อื้อก็มนุษย์นี่"• มนุษย์ ชิมแปนซี และคาปูชิน เป็นไพรเมตที่มีสมองใหญ่เมื่อเทียบกับร่างกาย และมีระดับ EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์ ของมนุษย์จะมีค่าเฉลี่ย 7.4-7.8 แต่ที่น่าสนใจก็คือ ค่าระดับความฉลาดทางอารมณ์ของลิงคาปูชินกลับมากกว่าชิมแปนซี โดยของคาปูชินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 แต่ชิมแปนซีอยู่ประมาณ 2.0-2.49 ทว่าการสื่อความฉลาดทางอารมณ์ของลิงคาปูชินเป็นลักษณะการเข้าสังคมและการผูกมิตรกับสมาชิกในฝูง บางทีสนิทกับคนเลี้ยงด้วยเสมือนคนในครอบครัว• งั้นที่กล่าวมาข้างต้น ชิมแปนซีก็ฉลาดน้อยกว่าคาปูชินน่ะสิ ? ช้าก่อน ความฉลาดของสัตว์ไม่ได้ตัดสินจากระดับ EQ แต่สัตว์จะใช้ความฉลาดได้เปรียบแตกต่างกัน รูปแบบสังคมที่ซับซ้อน แม้ตัวเลขจากนักวิจัยจะเป็นผลสรุป แต่เทียบเรื่องพฤติกรรมแล้ว ชิมแปนซีสื่ออารมณ์เศร้าได้มากกว่าคาปูชินอีก โดยชิมแปนซีมีอารมณ์เศร้าการจากไปของสมาชิกในฝูงที่เป็นแม่ พี่น้อง หรือสหายสนิทอีกด้วย• ขณะที่คาปูชินนั้นด้วยความเป็นลิงมีหาง ทักษะการเรียนรู้ฉับไวเพื่อให้ได้สิ่งที่ปรารถนามากกว่าการคิดวางแผน ลิงคาปูชินสามารถรู้ภาษาคนหูหนวกได้ สามารถช่วยนำทางคนตาบอดเหมือนสุนัขนำทางได้ และยังเรียนรู้เรื่องการแลกเปลี่ยนสิ่งของและเซ็กส์ด้วยวัตถุเหมือนเงินตรา • ท้ายสุด ไม่ว่าใครจะฉลาดที่สุด สำคัญคือสถานการณ์และการเรียนรู้ ชิมแปนซีอาจเสียเปรียบคาปูชินในบางสถานการณ์ แต่ขณะเดียวกัน ชิมแปนซีก็อาจได้เปรียบคาปูชินในสถานการณ์ที่ตัวเองได้เปรียบกว่า ดังนั้น ความฉลาดเป็นเรื่องการเรียนรู้ การแก้ปัญหา วางแผน การมีรูปแบบสังคม และอารมณ์ต่างๆมากกว่า PIC CR. Myrtle Beach SafariReferencePrimates of the World: An Illustrated Guide หนังสือโดย ฌ็อง-ฌัก เพตเตอร์Thinking about Brain Size...https://web.archive.org/.../serendip.../bb/kinser/Int3.htmlHUMBOLDT’S WHITE-FRONTED CAPUCHIN by New England Primate Conservancyhttps://neprimateconservancy.org/humboldts-white-fronted.../Social Intelligence of White-faced Capuchins and Their Behaviors in Aiming for Allianceshttps://www.jaguarrescue.foundation/.../SocialIntelligenc...Genes Make Chimps Glad or Sadhttps://www.science.org/.../genes-make-chimps-glad-or-sad

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 02 ก.พ. 25

อ่าน 1 ครั้ง


ป้องกันตัวเองเพราะคน วิวัฒนาการของงูเห่าพ่นพิษ

ป้องกันตัวเองเพราะคน วิวัฒนาการของงูเห่าพ่นพิษ

ป้องกันตัวเองเพราะคน วิวัฒนาการของงูเห่าพ่นพิษสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการมาเพื่อการรักษาเผ่าพันธุ์ให้ดำรงคงอยู่ยาวนาน การป้องกันตัวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีเพื่อเลี่ยงการโดนทำร้ายและการโดนจับกิน เรื่องของงูเห่าพ่นพิษ (Spitting cobra) ก็ฟังดูน่าสนใจไม่น้อย ที่ต้นกำเนิดพฤติกรรมป้องกันตัวนี้ อาจวิวัฒนาการมาเพื่อป้องกันศัตรูหนึ่งเดียว นั่นก็คือ มนุษย์นักวิจัยด้านสัตว์เลื้อยคลานและบรรพชีวินวิทยา พบว่างูเห่าพ่นพิษนั้นมีมุมองศาการพ่นพิษในลักษณะยิงพิษเข้าตาศัตรูจำพวกไพรเมตอย่างมนุษย์ แม่นกว่าใส่สัตว์ใหญ่อย่างม้าลายกับสิงโตเสียอีก อีกทั้งฟอสซิลงูเห่าพ่นพิษเก่าแก่ที่สุดก็พบในช่วงเวลาเดียวกับมนุษย์ยุคแรกที่เป็นพวกโฮมินิดส์ (Hominid) วิวัฒนาการอีกด้วย ซึ่งคาดว่างูเห่าพ่นพิษรุ่นแรกๆวิวัฒนาการแอฟริกาเพื่อป้องกันการปะทะกับมนุษย์ยุคแรกที่อาจจะเห็นตัวแล้วทำร้ายก่อนหรือจับกินก่อนมันจะเกี่ยวดองกับสาเหตุที่ทำให้วิวัฒนาการนี้ยังไง คำตอบคือ สัตว์หลายชนิดก็วิวัฒนาการมาเพื่อป้องกันการเจอมนุษย์เช่นกัน เป็นเรื่องของการเตือนและยับยั้งไม่ให้ศัตรูที่มีโอกาสกระชากร่างถอยออกไป สัตว์อื่นๆอาจจะฟังคำเตือนตอนแผ่แม่เบี้ย แต่ด้วยมนุษย์นั้นขี้สงสัยเกินไป การแผ่แม่เบี้ยเตือนอาจจะไม่เพียงพอ งูเห่าพ่นพิษจึงวิวัฒนาการเทคนิคป้องกันตัวเพิ่มนั่นเองแหล่งข้อมูลอ้างอิงPhylogenomics Clarifies the Origin of Spitting Cobras (Antonio Gandini)

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 25

อ่าน 6 ครั้ง


สูตรลับตำรับอสรพิษ เมนูแสนโปรดของงูแต่ละประเภท

สูตรลับตำรับอสรพิษ เมนูแสนโปรดของงูแต่ละประเภท

งูกว่า 3,900-4,000 ชนิดบนโลกนี้ มีนิสัยการกินอาหารเป็นพวกกินเนื้อเป็นอาหารหลักเท่านั้น ซึ่งงูแต่ละชนิดมีนิสัยการกินชนิดเหยื่อที่แตกต่างกันตามกายภาพฟันขากรรไกร และสรีระวิทยาการย่อยอาหารเหยื่อประเภทนั้นๆ งูกินอาหารโดยไม่ต้องเคี้ยวแค่กลืนเข้าไปทั้งตัวแล้วรอกระบวนการย่อยอาหารด้วยการใช้พลังงานสำรองจากการขยับกล้ามเนื้อในร่างกายปรับอุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 30 องศาเซลเซียสโดยเฉลี่ยให้ช่วยย่อยอาหาร ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ในการย่อยแล้วแต่ขนาดเหยื่อที่กินเข้าไป- งูที่กินหนูเป็นอาหารหลักอย่างพวกงูตระกูลไวเปอร์ (Viper) งูเห่า งูเหลือมและงูหลาม งูตระกูลโบอา งูสิงและงูทางมะพร้าว จัดการเหยื่อทั้งการฉกปล่อยพิษในงูพิษหรือรัดเหยื่อให้ตายในงูไม่มีพิษ- งูกาบหมากหางนิล แม้เป็นงูตระกูลเดียวกับงูสิงและงูทางมะพร้าว แต่ก็ชอบกินพวกค้างคาวตามถ้ำเป็นหลัก- งูจงอาง 4 ชนิด, งูแบนดี้ แบนดี้ (Bandy bandy) และงูตระกูลสามเหลี่ยม (Krait) กินงูชนิดอื่นๆเป็นอาหาร- งูก้นขบตัวเล็กอาศัยในหน้าดินและพื้นดินแฉะ กินพวกงู, เขียดงู และปลาไหลเป็นอาหาร- งูลายสาบคอแดง กินสัตว์จำพวกกบและคางคกเป็นอาหารหลักร่วมกับสัตว์อื่นๆ- งูปล้องทอง เป็นงูต้นไม้ที่แท้จะล่ากินสัตว์ฟันแทะด้วย แต่อาหารโดยทั่วไปเน้นพวกตระกูลนกเป็นหลักมากกว่า- งูเขียวพระอินทร์ เป็นงูต้นไม้ที่มีนิสัยชอบล่าและกินสัตว์จำพวกกิ้งก่าและจิ้งจก- งูกินไข่แอฟริกา มีกล้ามเนื้อกับปลายกระดูกสันหลังช่วงต้นคอที่ช่วยในการเจาะกินไข่แดงภายในเปลือกแข็งๆ- งูกินทาก ชอบกินพวกหอยทากเป็นอาหารหลัก- งูกระด้าง เป็นงูน้ำจืดที่มีอวัยวะตรงจับการเคลื่อนไหวของปลา จึงเป็นพวกสายล่าปลาเป็นอาหาร- งูดิน เป็นงูที่มีลักษณะการกินเป็นแบบดูดงับอาหาร จึงกินพวกมดและตัวอ่อนปลวกเป็นอาหารแหล่งข้อมูลอ้างอิง- Snake is the essential visual guide (DK)- Living Snakes of the World in Color. New York: Sterling Publishers- The thermogenesis of digestion in rattlesnakeshttps://journals.biologists.com/.../The-thermogenesis-of...- https://www.discoverwildlife.com/.../what-do-snakes-eat

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 25

อ่าน 3 ครั้ง


"การลักลอบล่าสัตว์ อาชญากรรมระดับโลก"

"การลักลอบล่าสัตว์ อาชญากรรมระดับโลก"

ตั้งแต่การพบเจอลูกลิงกอริลล่าที่ราบต่ำตะวันตกในลังสินค้าแคบๆที่สนามบินนานาชาติประเทศตุรกี ซึ่งต้นทางมาจากประเทศไนจีเรียกำลังมุ่งหน้าไปปลายทางที่กรุงเทพ ประเทศไทย สร้างความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก ถือว่าเป็นการลักลอบล่าสัตว์หรือ "Poaching" หรือที่เราเรียกๆกันในภาษาชาวบ้านก็ "พรานเถื่อน" (Poacher) ซึ่งเป็นอาชญากรระดับโลกที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายที่ทั่วโลก และภัยคุกคามระดับชาติ- การลักลอบล่าสัตว์นั้นที่เราเห็นผ่านสื่อกันบ่อยๆมีทั้งงาช้างและนอแรดผิดกฎหมาย อวัยวะสัตว์ป่าต่างๆที่จะถูกนำไปทำยาแผนจีนโบราณและเครื่องประดับ รวมไปถึงการลักลอบนำสัตว์ป่าเป็นๆผ่านเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและผิดจรรยาบรรณในปริมาณมากๆ ซึ่งขึ้นกับจำนวนออเดอร์เสมือนสินค้า อย่างข่าวการลักลอบขนลีเมอร์และเต่าจากมาดากัสการ์โดยพ่อค้าเถื่อนจากอินโดนีเซียที่ส่งออเดอร์ให้ใครบางคนในไทย จำนวนกว่า 900 ตัว- การลักลอบล่าสัตว์นั้นแตกต่างจากการล่าปกติหรือล่าเพื่อกีฬา เสมือนคนกดออเดอร์ Art toy ตัวฮิตหลายตัว ผู้ว่าจ้างต้องการเท่าไรก็จะจ้างคนพื้นถิ่นลงมือจัดการเอง อยากได้งาช้างแอฟริกา 50 คู่ ก็ต้องล่าช้างทั้งหมดโขลงใหญ่รวมทั้งช้างวัยอ่อนที่งาเล็กก็เอาด้วย หรืออยากได้เกล็ดผิวของตัวนิ่ม 40 ตัวเอาไปทำซุปเกล็ดตัวนิ่มกระป๋องส่งขาย 500 กระป๋อง พวกเขาก็จะเอาปริมาณโดยไม่สนว่าสัตว์จะอยู่หรือตายแล้ว- ซึ่งรูปแบบการล่านี้ ทำให้สัตว์ป่าเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์รวดเร็วกว่าการล่าปกติหรือการล่าเพื่อกีฬาเสียอีก ลองนึกสภาพนายพรานกีฬายิงช้าง 1 ตัวยังแค่ช่วยคุมประชากรบางที่ แต่พรานเถื่อนที่ลักลอบล่าสัตว์จะทำให้ช้างหายไปจากพื้นที่นานเกือบ 10 ปีเลยเพราะไม่เหลือประชากรช้างมารักษาระบบนิเวศนั้นๆ- ในอดีตช่วงราวต้นปี 2000 การลักลอบล่าสัตว์นั้นแพร่ไปทั่วมากกว่า 80% ของทุกประเทศในโลก ประเทศไทยเองก็ถูกตีตราในสายตานานาชาติว่าเป็นตลาดมืดค้างาช้างแอฟริกาและสัตว์ตัวเป็นๆหลายชนิดเข้ามาอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว ในปี 2012 กรมอุทยานและหน่วยงานอนุรักษ์เกี่ยวข้องได้เพิ่มช้างแอฟริกาซาวันน่าเข้าไปในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองเพื่อป้องกันการค้างาช้างในประเทศไทย- แม้จะมีการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบค้างาช้างและนอแรดได้หลายคนในฝั่งจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็มีผู้มาใหม่เรื่อยๆ และการกระทำก็ค่อนข้างกินเส้นพวกคนทำหน้าที่อย่างผู้รักษากฎหมายและข้าราชการมีอิทธิพลในการปกปิดข้อมูลการนำเข้าสัตว์หรือชิ้นส่วนอวัยวะสัตว์ด้วย- แม้ทุกวันนี้การลักลอบล่าสัตว์จะยังไม่หมดไป แต่เราก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ยอมรับว่า ผู้มีอิทธิพลบางคนที่เป็นนักธุรกิจเคยบอกบิวคุงว่า ต่อให้มีปากพูดก็ไม่มีใครฟังหรอก หากมีเงินนั่นแหละเขาฟังแน่นอน คำพูดแบบนี้มันฟังแล้วจี้ใจดำ แต่คนธรรมดาทั่วไปทำได้เพียงแค่แจ้งเบาะแสการพบเห็นการลักลอบล่าหรือค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายที่ดูไร้จรรยาบรรณ แจ้งให้หน่วยงานกรมอุทยานหรือหน่วยงาน CITES รับทราบการลักลอบ- ท้ายสุด การลักลอบล่าสัตว์นั้นถือเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรมและไร้ความเป็นมนุษย์ที่กระทำต่อสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่กำลังจะหายไปจากรุ่นลูกรุ่นหลาน ถ้าหากชีวิตลูกลิงกอริลล่าหนึ่งตัวเพื่อความร่ำรวยและมั่งคั่งๆบารมีของคนๆเดียว มันไม่มีค่าเลยเท่ากับลิงกอริลล่าในป่าที่จะส่งต่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้รู้จักและตระหนักการปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้ ! อย่าคิดว่าความรวยความแกลมที่ครอบครองทุกอย่างได้จะชนะเสมอไป- อย่านิ่งดูดาย แม้หลายคนบอกเราสู้พวกนี้ไม่ได้หรอก ผิดแล้วครับ เราสู้ได้ ขอแค่เป็นหูเป็นตากัน อย่าปล่อยให้การลักลอบล่าสัตว์ทำเพื่อเงิน แต่มันส่งผลเสียเป็นวงกว้างระดับโลก เลือกเอาว่า จะอยู่บนโลกที่ปราศจากช้างและกอริลล่าแล้วเห็นแต่ตัวสตั๊ฟฟ์ในพิพิธภัณฑ์กับตัวเป็นในสวนสัตว์ กับเห็นช้างและกอริลล่าในธรรมชาติ คิดว่าอันไหนคู่ควรที่สุด ถ้าเลือกอันแรก เท่ากับว่าคุณไม่แคร์โลกนี้เลย ก็ไม่ควรเกิดให้รกโลกด้วยซ้ำPIC CR. Daily sabah AAแหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.britannica.com/topic/poaching-lawhttps://wwf.panda.org/es/?225370/lastchanceforThailandhttps://www.thaipbs.or.th/news/content/199547https://www.bangkokbiznews.com/environment/1126918https://www.aljazeera.com/.../historic-operation-returns...

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 30 ม.ค. 25

อ่าน 6 ครั้ง


"ชีวิตของสัตว์กินซาก ผู้รักษาสมดุลย์ของระบบนิเวศ"

"ชีวิตของสัตว์กินซาก ผู้รักษาสมดุลย์ของระบบนิเวศ"

ชายฝั่งแห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย เต่าหญ้าตัวหนึ่งเสียชีวิตจากการกินขยะเข้าไปจนแน่นและป่วยจนเสียชีวิต เมื่อความตายมาถึง ผู้กินซากก็ปรากฎตัว ตัวเหี้ย (Asian water monitor - 𝘝𝘢𝘳𝘢𝘯𝘶𝘴 𝘴𝘢𝘭𝘷𝘢𝘵𝘰𝘳) ได้กลิ่นเหม็นเน่าของซากเต่าลอยมาไกลจึงเข้าไปสำรวจที่มาแล้วก็ทำการลงมือกินเพื่อเก็บกวาดซากไม่ให้สูญเปล่าพวกมันถูกเรียกว่า "สัตว์กินซาก" (Scavenger) คือสัตว์ที่บริโภคซากพืชซากสัตว์ที่เริ่มตายหรือกำลังเน่าสลาย โดยสัตว์เหล่านี้จัดเป็นผู้สำคัญที่สุดในระบบนิเวศรองจากผู้ผลิต (พืช) เลยก็ว่าได้ โดยเป็นจำพวกผู้ย่อยสลาย (Decomposer) หากปราศจากผู้กินซากแล้ว ระบบนิเวศจะเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นสกปรก• สัตว์ที่กินซากพืชเป็นหลักก็จะเป็นพวกแมลงปีกแข็ง , ทาก , ปลวก , แมลงสาบและไส้เดือนดิน ส่วนพวกที่กินซากสัตว์ เช่นพวกแร้ง , ไฮยีน่า , แมลงวัน และแมลงกินเนื้อชนิดต่างๆ โดยพื้นฐานแล้วสัตว์ที่กินซากเป็นอาหารคือบรรดาสัตว์ที่คอยเก็บกวาดเศษเหลือและชิ้นส่วนของพืชและสัตว์ที่อาจก่อให้เกิดสิ่งปฏิกูลทับถมกันได้ หรือซ้ำร้ายอาจเกิดโรคของพืชและสัตว์แพร่ในระบบนิเวศได้ถ้าไม่มีผู้กินซาก• สัตว์กินซากสัตว์เป็นอาหาร มักมีการพัฒนาอวัยวะให้เหมาะสมแก่การกินซาก ตัวอย่างเช่นอีแร้งชนิดต่างๆ รู้หรือไม่ครับว่า อีแร้งแต่ละชนิดมีรูปทรงจะงอยปากแตกต่างกัน แร้งหน้าย่น (Lappet-faced vulture) มีจะงอยปากหนาไว้ฉีกหนัง ส่วนแร้งหลังขาว (White-backed vulture) มีจะงอยปากยาวเรียวไว้จิกดึงชิ้นส่วนเนื้อ และแร้งฮู้ด (Hooded vulture) มีจะงอยปากแคบเหมือนไม้จิ้มฟันสำหรับจิกกินเศษเนื้อและไขสันหลัง• สัตว์ที่กินซากสัตว์เป็นอาหารมักมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่มีประสิทธิภาะในการต่อต้านปรสิต แบคทีเรียและไวรัสจากสิ่งมีชีวิตที่มันกินเข้าไป อย่างกระเพาะของไฮยีน่าลายจุด (Spotted hyena) และบรรดาอีแร้งหลายชนิดมีน้ำกรดที่แรงถึงระดับค่า ph = 2 พอจะย่อยสลายเชื้อแอนแทรกซ์ได้ หรือแม้แต่อาจจะทนทานต่อเนื้อที่ติดเชื้อโควิด-19 ได้• สัตว์กินซากบางชนิดใช้ซากสัตว์ในการขยายพันธุ์และวางไข่ให้ตัวอ่อนมีแหล่งอาหารกิน อย่างเช่นแมลงวัน เมื่อตัวแมลงวันเกาะบนซากสัตว์ พวกมันจะวางไข่ปริมาณมากลงในซากสัตว์ แล้วบรรดาหนอนแมลงวันจะฟักออกมาภายหลัง 1 วัน !! แล้วตัวอ่อนหนอนแมลงวันนี้จะกินซากสัตว์แบบเผาผลาญรวดเร็ว ซึ่งพวกมันใช้ระยะเวลา 14 วันในการเจริญเติบโต• ในบางครั้ง สัตว์ที่มีสถานะเป็นผู้ล่าก็มีพฤติกรรมกินซากด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น จระเข้ ซึ่งปกติจระเข้เป็นนักล่าแห่งคุ้งน้ำ แต่เมื่อมีเหยื่อขนาดใหญ่ตายลงในริมน้ำ จระเข้จำนวนมากจะเข้าสนใจกินอาหารจากซากที่หลงเหลือเสมือนเป็นบุฟเฟ่ต์ที่มีไม่บ่อยพวกสัตว์กินซากแม้จะดูน่ารังเกียจ แต่พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วสำคัญต่อระบบนิเวศในธรรมชาติ ปราศจากพวกนี้ก็ไม่มีทางที่ระบบนิเวศจะมีความสมดุลย์ สัตว์เหล่านี้เป็นผู้ดำเนินการตามหนทางของการคัดเลือกโดยธรรมชาติPic CR. Robin BiswasReferenceScavenger National GeographicScavengers: What are they, why are they important and just how do scavengers find their food? All your questions answeredScavenger Animalia

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 30 ม.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง


10 เรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "งูไทย"

10 เรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "งูไทย"

เนื่องด้วยปีนี้เป็นปีมะเส็งหรือปีงูเล็ก แอดมินเลยอยากเล่าเรื่องที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับงูไทยทั้งสิ้น 10 เรื่องยอดฮิตมาให้ทุกคนในกลุ่มนี่ตัวอะไรทำความเข้าใจกันใหม่ครับ บางคนคิดว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้จนทำให้เกิดข้อมูลผิดพลาดกันแบบปากต่อปาก ข้อความต่อข้อความกันอย่างไม่มีอ้างอิงกัน งั้นไปดูกันเลยว่า 10 เรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดกันมีอะไรบ้าง1.งูจงอางร้องไม่ได้ : คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่างูจงอางร้องเสียงเหมือนไก่หรือเสียงหัวเราะ แต่อันที่จริงแล้วงูจงอางร้องไม่ได้เหมือนงูทุกชนิด เพราะงูนั้นไม่มีเส้นเสียงและกล่องเสึยงในการเปล่งเสียงร้องนั่นเอง2.งูทะเลไม่ได้กัดคนตายทุกครั้งที่ได้พิษ : งูทะเลเป็นงูที่มีโอกาสกัดแห้งสูงกว่ากัดได้น้ำพิษ เนื่องด้วยเขี้ยวและปากนั้นมีขนาดเล็กเพื่อจับสัตว์น้ำกินเป็นอาหาร แถมพิษออกฤทธิ์ช้ามาก ดังนั้นเมื่อถูกงูทะเลกัดควรไปหาหมอเพื่อรักษาตามอาการทันที ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 ของเคสงูทะเลกัดแล้วเสียชีวิต3.งูทางมะพร้าวมีฟัน ! : หลายคนมักชอบล้อหรือตั้งฉายาให้กับงูทางมะพร้าวว่า "เหงือก" เพราะงูชนิดนี้เวลาอ้าปากบางคนเห็นแต่เหงือขากรรไกรขาวๆ แต่จริงๆแล้วงูทางมะพร้าวมีฟันคมกริบมาก กัดทีก็ทำให้เกิดบาดแผลได้เช่นกัน4.งูที่สีสันจัดจ้านสวยงามไม่ได้เป็นงูพิษเสมอไป : คนไทยชอบเข้าใจว่า งูที่มีสีสันสวยๆมักเป็นงูอันตราย ทว่าความจริงแล้วงูไม่มีพิษในไทยหลายชนิดก็สีสันสวยงามไม่แพ้เช่น งูเขียวกาบหมาก5.งูเหลือมในธรรมชาติของไทยเขมือบคนไม่ได้ : เนื่องด้วยมีข่าวงูเหลือมเขมือบคนในเกาะห่างไกลของอินโดนีเซียหลายครั้งเลยทำให้คนไทยหวาดกลัวงูเหลือมมากินคน ซึ่งงูเหลือมในธรรมชาติไทยนั้นตัวยาวเฉลี่ยไม่เกิน 3 เมตรกัน ซึ่งงูเหลือมป่าที่เขมือบคนได้ต้องสัมพันธ์กับขนาดของงูเท่านั้น ซึ่งในอินโดนีเซีย งูเหลือมหลายเกาะตัวใหญ่กว่าคนหลายเท่าอยู่พอประมาณ6.ประเทศไทยมีชนิดงูพิษน้อยกว่างูไม่มีพิษ : เทียบสัดส่วนของชนิดพันธุ์แล้ว งูมีพิษร้ายแรงในประเทศไทยนั้นมีไม่ถึง 70 ชนิด แต่งูไม่มีพิษมีเกือบ 200 กว่าชนิด !7.งูแสงอาทิตย์เป็นงูไม่มีพิษ : คนไทยบางส่วนยังคงเข้าใจผิดว่างูแสงอาทิตย์เป็นงูมีพิษ แม้เรื่องนี้หลายคนจะเข้าใจกันหมดแล้ว แต่ก็มีบางคนยังคงเข้าใจแบบนั้นอยู่ไม่เสื่อมคลายมานานแสนนาน8.ไม่มีพืชหรือต้นไม้ชนิดไหนที่กันงูเข้าบ้านได้ : ต่อให้มีคนปลูกเสล็ดพังพอน ลิ้นมังกร หรือฟ้าทะลายโจรที่มีการกล่าวว่าใช้ไล่งูได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ต้นไม้อะไรก็กันงูไม่ได้สักชนิดเดียวครับ9.งูพิษไม่สามารถผสมกับงูไม่มีพิษ : คนไทยมักมีความเชื่อว่า งูเห่าสามารถผสมพันธุ์กับงูสิงแล้วออกลูกมาเป็นงูพิษร้ายแรงได้ ความเป็นจริงแล้วงูไม่สามารถผสมข้ามจำพวกได้ ยกเว้นงูที่มีลักษณะทางสกุลร่วมเหมือนกัน อย่างงูเหลือมและงูหลาม สามารถผสมออกมาเป็น Bateater ได้10.งูอาฆาตไม่ได้ : คนไทยคิดว่างูนั้นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็เป็นปีศาจที่มันมีจิตอาฆาตมาตามฆ่าล้างคนในบ้านที่ทำร้ายคู่รักมัน ความจริงแล้วการที่งูตัวนึงไปโผล่บ้านคนได้อาจเป็นเพราะมันตามกลิ่นฟีโรโมนของงูตัวที่ตายก่อนหน้ามาถึงบ้านก็เป็นได้นั่นเองReference10 ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับ "งู" (Species Index)SuperSCI: ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับงูhttps://mgronline.com/science/detail/9570000109460‘สวัสดีปีงูเล็ก’ ชวนรู้จัก 10 เรื่อง(ไม่)ลับ ฉบับคนกลัวงูห้ามพลาด!https://www.seub.or.th/bloging/knowledge/2025-1/งูทะเล - คลังข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งhttps://km.dmcr.go.th/c_280Simple Science I ง.งู ไม่ใช่ผู้ร้าย ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงู

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25

อ่าน 3 ครั้ง


การนอกใจของสัตว์

การนอกใจของสัตว์

ในภาพนี้อาจจะดูโรแมนติกของคู่รักนกเพนกวินอะเดลี่ (Adélie penguin - 𝘗𝘺𝘨𝘰𝘴𝘤𝘦𝘭𝘪𝘴 𝘢𝘥𝘦𝘭𝘪𝘢𝘦) กำลังผสมพันธุ์กัน แต่ความจริงแล้ว เจ้าเพนกวินตัวเมียกำลังแสดงพฤติกรรมนอกใจตัวผู้เพื่อการสร้างรังแบบที่ตัวผู้ไม่รู้ โดยนกเพนกวินอะเดลี่ตัวเมียส่วนมากมีพฤติกรรมไซด์ไลน์ (ขอใช้คำนี้เพราะดูไม่ลามกเกินไป) โดยแลกกับหินสร้างรังที่ดีที่สุดจากตัวผู้ตัวอื่นๆ และถ้าคู่มันกลับมาเห็นก็จะทำการไล่เจ้าตัวผู้ที่มาขึ้นคร่อมตัวเมียในโลกของสัตว์นั้น การนอกใจมักเกิดขึ้นในหมู่สัตว์สังคมอย่างนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่างใกล้ตัวสุดที่พวกเราเห็นกันบ่อยๆก็มีมนุษย์นี่แหละ แต่สัตว์อื่นๆก็มีพฤติกรรมนี้เช่นกัน การนอกใจและการคบชู้ ฟังดูเป็นเรื่องธรรมชาติของสัตว์• สัตว์ที่จะแสดงพฤติกรรมนอกใจหรือมีชู้ได้ จะเกิดกับสัตว์ที่มีลักษณะจับคู่แบบ Monogamy หรือจับคู่เพียงตัวเดียว แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยกับสัตว์ที่เป็น Lifelong monogamy หรือสัตว์ที่จับคู่เดียวตลอดชีวิต ดังนั้นสัตว์อย่างนกเงือก และ นกกระเรียนน้อยมากที่จะมีการนอกใจกัน ถึงมีแต่ก็โอกาสน้อย เช่นกรณีของนกเงือกบางชนิดที่แอบแซ่บเมียน้อยห่างจากรังเมียหลวงไปหลายกิโลเมตร• สัตว์บางชนิดคบชู้หรือมีแฟนตัวอื่นนอกคู่รักก็เพราะด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมหรือที่อยู่อาศัยเริ่มขัดสน อย่างเช่น ชะนีมือขาว (Lar gibbon) ตัวเมียนั้นมีพฤติกรรมในการนอกใจสามีตัวเองเพราะด้วยเรื่องของแหล่งอาหาร เลยมีการแอบคบกับตัวผู้ตัวอื่นเพื่อแหล่งอาหารที่ดีกว่าและค่อยๆแยกความสัมพันธ์กับตัวผู้คู่เดิมแบบช้าๆ• สัตว์บางชนิดก็แสดงความอยากเป็นเจ้าของคู่ของตัวนั้นๆด้วยกำลังก็มีเช่นกัน มีนกเพนกวินชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า นกเพนกวินแมกเจลแลน (Magellanic Penguin) ตัวผู้ที่เป็นชู้รักแสดงพฤติกรรมต่อหน้าต่อตาสามีเดิม บางทีก็มีการปะทะกันจนเลือดอาบ แต่ถึงกระนั้น 80% ของผลการปะทะ ตัวเมียก็ยังจะเลือกชู้มากกว่าคู่ตัวเอง ! เพราะมันคือการตัดสินใจของตัวเมีย• ในมนุษย์นั้น การนอกใจคู่หรือการแอบมีชู้ กิ๊ก เมียน้อย และอื่นๆเป็นเรื่องธรรมชาติ เนื่องด้วยมนุษย์เป็นไพรเมตลักษณะสังคมแบบ Polygamy (และ Polyandry) แต่ที่ส่วนมากเป็นคู่ๆก็ด้วยเรื่องของกฎหมายและการควบคุมความสงบในสังคมนั่นเอง บ้างก็ธรรมเนียมแบบคลุมถุงชน บ้างก็เป็นรักแบบสมัครใจ บ้างก็เป็นรักแบบเพื่อสังคม แต่ความจริงแล้ว โดยพฤติกรรมแล้ว มนุษย์ก็มีช่วงหมดรักและอยากแซ่บกับคนใหม่ทุกเวลาเสมอReferencePenguin Prostitution by Penguin worldhttps://www.penguinworld.com/features/prostitution.htmlInfidelity Common Among Birds and Mammals, Experts Sayhttps://www.nytimes.com/.../infidelity-common-among-birds...นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 354 สิงหาคม 2557 "เรื่องรัก" และ "เรื่องลับ" ของชะนีที่เขาใหญ่Homewrecking Penguin | Animal Fight Night (Original)Humans are made to be polygamoushttps://medium.com/.../humans-are-made-to-be-polygamous...

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง


"งูกินหาง" 🐍 ความเชื่องมงายที่มนุษย์สร้างขึ้น

"งูกินหาง" 🐍 ความเชื่องมงายที่มนุษย์สร้างขึ้น

กระแสเรื่องของงูกินหางกลับมาอีกครั้งเมื่อมีข่าวออกและมีคนพบเจอเป็นเครื่องรางของขลังนานนับปึ ซึ่งจริงๆแล้ว ความเชื่อเรื่องงูกินหางนั้นเป็นความเชื่อสุดงมงายที่มนุษย์สร้างขึ้นมาโดยการกล่าวอ้างเรื่องความโชคลาภและสิริมงคล วันนี้แอดบิวจะขอเล่าเรื่องงูกินหางในแง่ชีววิทยาและความเชื่องมงายควบคู่กันครับ ความเชื่อ ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกนั้น งูกินหางหรือโอโรโบรอส (Ouroboros) เป็นชื่อเรียกพฤติกรรมของงูที่กินตัวเองจากทางหางเข้าไปจนกลายเป็นห่วงกลมๆ มีปรากฏอยู่ในตำนานของหลายประเทศ เช่น เม็กซิโก อียิปต์ หรือแม้กระทั่งประเทศไทย ซึ่งในแง่ความเชื่อนั้น คนมักเชื่อเรื่องนี้ในแง่ของความไม่สิ้นสุดคนไทยที่เดิมทีเป็นประเทศที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมายาวนานแต่อดีต ก็จะมองเรื่องนี้เป็นสิริมงคลที่ห้ามลบหลู่ดูแคลน คนไทยจะเรียกกันอีกชื่อว่า "บ่วงนาคบาศ" ที่เชื่อกันว่าเป็นเมตตามหานิยม ใครมีจะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย ค้าขายดี รุ่งเรือง มีกินมีใช้ไม่มีวันอด แถมยังพ่วงท้ายมาด้วยข้อเด่นเรื่องการเสี่ยงโชค มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามแต่ มันแค่ความเชื่อที่คนไทยคิดกันมาเองล้วนๆ ชีววิทยาอย่างในภาพนี้เป็นรูปแบบผิดธรรมชาติมาก เพราะงูกลืนลำตัวไปจนเกือบถึงช่วงกระเพาะอาหาร ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่คนตัดส่วนงูออกครึ่งนึงแล้วยัดเข้าไปขณะเข้ากระบวนสตั๊ฟฟ์ร่างเอาไว้แล้วมาทำเครื่องราง เลยทำให้ไม่เป็นกระบวนการในแบบธรรมชาติในด้านพฤติกรรมแล้ว งูที่กัดหรืองับหางตัวเองนั้น มันจะเกิดจากภาวะความเครียดของงู หรืออีกกรณีก็อาจจะเป็นภาวะทางระบบประสาท ในโลกของสัตว์ไม่ใช่เฉพาะงูแม้กระทั่งสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่เวลามีความเครียดมากๆ หรือว่ามีปัญหาทางระบบประสาทก็สามารถทำร้ายตัวเองได้ แม้กระทั่งมนุษย์ก็สามารถเป็นไปได้เช่นกันดังนั้นหลักการทางธรรมชาตินั้นไม่ได้เป็นแบบงูกินหางที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อตบตาคนที่เชื่ออะไรต่างๆได้ง่ายดายนั่นเอง ควรมีการให้ข้อมูลและวิจารณญาณกันในหมู่คนรอบตัวกันให้มากๆReference"งูกินหาง" สู่ "บ่วงนาคบาศ" แค่งูป่วย หรือคนสร้าง หลอกผู้ศรัทธาว่าของขลังhttps://www.komchadluek.net/news/505133Ouroboros – The Snake That Bites Its Own Tailhttps://www.petmd.com/.../ouroboros-snake-bites-its-own-tailWhy Do Snakes Eat Themselves?https://www.discovermagazine.com/.../why-do-snakes-eat...

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25

อ่าน 1 ครั้ง


"สัตว์โลกไซด์ไลน์" ชีวิตรักแบบมีเงื่อนไขชั่วคราว

"สัตว์โลกไซด์ไลน์" ชีวิตรักแบบมีเงื่อนไขชั่วคราว

คำเตือน เนื้อหาต่อไปนี้เป็นความรู้เกี่ยวกับโลกของสัตว์ที่เหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุกว่า 18 ปีขึ้นไป เนื่องด้วยอาจมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ ผู้อ่านที่อายุน้อยกว่า 18 ปี ควรได้รับการแนะนำและมีผู้ปกครองอ่านให้เชิงความรู้ และงดการคอมเม้นต์เชิงตลกทุกข้อเพื่อรับความรู้กันนะครับในโลกของสัตว์ อะไรก็เกิดขึ้นได้ พฤติกรรมที่ดูคล้ายกับมนุษย์เราก็มีอยู่ไม่น้อยครับ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงสุดๆคือสัตว์บางพวก มีพฤติกรรมไซด์ไลน์กันในหมู่สัตว์พวกเดียวกันเองด้วย ความต้องการทางเพศของตัวเมียที่ต้องได้รับสิ่งตอบแทน บางชนิดทำเพื่ออาหาร บางชนิดทำเพื่อความอยู่รอด และบางชนิดก็เพื่อสถานะสังคมที่เท่าเทียมกัน ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปทำความรู้จักกับโลกย่านโคมแดงของสัตว์โลกไซด์ไลน์กันครับ• นักชีววิทยากล่าวว่า โลกนี้มีสัตว์ที่มีพฤติกรรมไซด์ไลน์ในสังคมกันเองอย่างทางการคือ 6 ชนิดเท่านั้น ซึ่งจะมีอยู่แค่ 4 ชนิดที่เป็นสัตว์สังคมใหญ่ อีก 2 ชนิดคือสัตว์ที่อาศัยตามลำพัง ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางเพศที่มีข้อแลกเปลี่ยนโดยไร้การผูกมัด สัตว์ทั้ง 6 ชนิดทำเพื่อการแลกเปลี่ยนในด้านความสุข, อาหาร, สถานะสังคม และการอยู่รอด ซึ่งการแลกเปลี่ยนจะมาในรูปแบบของเงิน, อาหาร, วัตถุที่มีค่าในชนิดนั้นๆ หรือแม้แต่จ่ายด้วยน้ำเชื้อก็มีเช่นกัน• สัตว์ชนิดแรก เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงครับว่ามีพฤติกรรมนี้ มันคือด้วงที่เรียกว่า "Seed beetle" ซึ่งในโลกนี้มีหลายชนิด แต่ชนิดหนึ่งในทะเลทรายสะฮาร่าที่ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า "𝘊𝘢𝘭𝘭𝘰𝘴𝘰𝘣𝘳𝘶𝘤𝘩𝘶𝘴 𝘮𝘢𝘤𝘶𝘭𝘢𝘵𝘶𝘴"มีพฤติกรรมนี้ ด้วงตัวเมียที่กำลังเริ่มขาดน้ำจะปล่อยฟีโรโมนออกมาจากร่างกาย แล้วดึงดูดให้ตัวผู้ตัวอื่นโดยรอบมาสนใจมัน จากนั้นตัวผู้จะเข้ามาผสมพันธุ์อย่างรวดเร็ว ตัวเมียจะคอยกินน้ำเชื้อของตัวผู้ที่เป็นค่าตอบแทนเพื่อให้ได้น้ำและอาหารเพื่ออยู่รอดไป !• นกก็มีพฤติกรรมไซด์ไลน์ นกฮัมมิ่งเบิร์ดคาริบอกม่วง (Purple-throated carib - 𝘌𝘶𝘭𝘢𝘮𝘱𝘪𝘴 𝘫𝘶𝘨𝘶𝘭𝘢𝘳𝘪𝘴) ตัวผู้มีความสามารถในการกินอาหารได้ดีกว่า ตัวเมียบางตัวจึงหาวิธีลัดโดยไม่ต้องออกแรงบินตอดน้ำหวานจากดอกไม้ให้เหนื่อย มันส่งเสียงเหมือนกำลังอยากผสมพันธุ์ ตัวผู้ที่สนใจจะบินเข้ามาคร่อมตัวเมียพร้อมกับเอาปากยื่นไปประกบปากของตัวเมียแล้วส่งน้ำหวานที่กินเป็นค่าตอบแทนให้ตัวเมียปริมาณครึ่งหนึ่ง ! ทำแบบนี้หลายครั้งจนกว่าตัวเมียจะพอใจแล้วบินจากไป• ที่กล่าวไปสองตัวคือสัตว์ที่อยู่ตามลำพัง ต่อจากนี้คือสัตว์ที่มีสังคมกันบ้าง เชิญพบกับนกเพนกวินอะเดลี่ (Adélie penguin - 𝘗𝘺𝘨𝘰𝘴𝘤𝘦𝘭𝘪𝘴 𝘢𝘥𝘦𝘭𝘪𝘢𝘦) จากเขตหนาวของแอนตาร์กติก นกเพนกวินที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูก็มีพฤติกรรมนี้ โดยนกตัวเมียที่แสดงพฤติกรรมนี้ก็เพื่อสะสมก้อนหิน ก้อนหินคือวัตถุมีค่าสำหรับเพนกวิน นกเพนกวินอะเดลีแต่ละคู่จะเก็บก้อนหินมาสร้างรังกันเพื่อเลี้ยงลูก โดยตัวผู้มีหน้าที่คุ้มกันและเลือกก้อนหินมาให้ตัวเมีย ส่วนตัวเมียก็มีพฤติกรรมหาหินแบบพิสดารแบบอ้อมๆ• พฤติกรรมไซด์ไลน์ของเพนกวินอะเดลีเกิดขึ้นในนกที่มีคู่ ! ยังไงละเนี่ยนกมีคู่แล้วมาขายตัวเองให้ตัวผู้รอบๆ โดยขั้นตอนนั้น ตัวเมียจะรอจังหวะคู่ของมันเดินหันหลังแล้วพ้นระยะสายตา ตัวเมียจะทำท่าอ่อยเรียกตัวผู้อื่นมาผสมพันธุ์ โดยแลกเปลี่ยนเป็นก้อนหินมาให้กับตัวเมีย แล้วก็ผสมพันธุ์กันปกติ จากนั้นตัวเมียที่สร้างรังเฉยๆก็จะได้ก้อนหินเป็นอย่างต่ำถึง 62 ก้อนก็สร้างรังได้ ! คู่ของมันแทบไม่รู้เลยว่าตัวเมียสร้างรังเก่งแค่ไหน สาย NTR หรือสายนอกใจสามีถูกใจสิ่งนี้• ชนิดต่อมาคือลิงคาปูชินหน้าขาว (White faced capuchin - 𝘊𝘦𝘣𝘶𝘴 𝘤𝘢𝘱𝘶𝘤𝘪𝘯𝘶𝘴) พฤติกรรมนี้บันทึกโดยนักวิทยาศาสตร์ของ YNH Hospital เขาต้องการศึกษาพฤติกรรมเศรษฐศาสตร์ (Economic behavior) ในลิงคาปูชินที่ได้ชื่อว่าลิงมีหางที่ฉลาดที่สุดในโลก โดยการใช้แผ่นดิสเป็นเสมือนเงินแลกเปลี่ยนผลไม้ในสังคมลิงคาปูชิน ปรากฎว่าวันนึง พวกลิงกลับเอาแผ่นดิสไปใช้แลกเปลี่ยนเซ็กส์กับตัวเมียแทน บ่งบอกว่าลิงคาปูชินเองก็รู้วิธีหาความสุขใส่ตัวแบบมีของแลกเปลี่ยนได้ !- ลิงชิมแปนซีธรรมดา (Common chimpanzee - 𝘗𝘢𝘯 𝘵𝘳𝘰𝘨𝘭𝘰𝘥𝘺𝘵𝘦𝘴) และ ลิงโบโนโบ้ (Bonobo - 𝘗𝘢𝘯 𝘱𝘢𝘯𝘪𝘴𝘤𝘶𝘴) คือสองลิงเอปที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุด พวกมันเองก็มีพฤติกรรมไซด์ไลน์ด้วยเช่นกัน โดยงานวิจัยจะเด่นในลิงชิมแปนซีที่สุด ลิงชิมแปนซีตัวผู้จะใช้เนื้อสัตว์ที่หามาได้แลกเปลี่ยนการมีเซ็กส์กับตัวเมีย โดยมีบันทึกว่า พฤติกรรมนี้ตลอดการวิจัยพวกลิงตัวผู้ทำกับลิงไซด์ไลน์สาวมากถึง 200 กว่าครั้ง ไม่ใช่การผสมพันธุ์ปกติแล้วแต่มีการแลกเปลี่ยนวัตถุกันเพื่อสิ่งนั้น ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อสถานะสังคมและการกระชับมิตร เพราะลิงชิมแปนซีตัวเมียคือหน้าใหม่ของฝูง การทำให้ถูกใจลิงตัวอื่นๆก็ต้องมีพฤติกรรมนี้บ้างเพื่อความเท่าเทียมกับลิงตัวเมียตัวอื่นๆ- ลิงโบโนโบ้ก็ไม่ต่างกับลิงชิมแปนซี ที่ตัวผู้เอาเนื้อมาแลกเปลี่ยนกับเซ็กส์ แต่ท่าทางของลิงโบโนโบ้ในการร่วมเพศนั้นพิสดารกว่าลิงชิมแปนซีธรรมดามาก ตรงที่มันสามารถทำท่าอะไรก็ได้กับลิงตัวเมีย ซึ่งจะไม่พบในลิงชิมแปนซีธรรมดาครับ นักชีววิทยากล่าวว่าลิงโบโนโบ้คือลิงเอปที่สามารถแสดงพฤติกรรมทางเพศเหมือนกับมนุษย์มากสุด- มนุษย์คือสัตว์ชนิดสุดท้ายในเรื่องนี้ที่มีพฤติกรรมไซด์ไลน์ แม้ว่าเรื่องของไซด์ไลน์คือการผิดจริยธรรมของคนมีคู่แล้วก็ตาม แต่ในทางกลับกัน บางมุมมองของประเทศต่างๆมองว่าไซด์ไลน์ก็เป็นอาชีพที่ทำเพื่อความอยู่รอดของแต่ละคน เงื่อนไขคือต้อง Safe sex ทำอะไรได้บ้างขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานและการรักษาเนื้อรักษาตัวของผู้หญิงด้วย บางคนจูบได้ บางคนไม่ขอมีเซ็กส์ทางหลัง หากต้องการต้องมี Option เพิ่มด้วยต้องแลกด้วยวัตถุคือเงิน- จากที่กล่าวมาทั้งหมด สัตว์ทั้ง 6 ชนิดล้วนแล้วทำตามหลักทฤษฎีพฤติกรรมแบบมีเงื่อนไข (Conditioning Behavior) เงื่อนไขคือวัตถุที่จะทำเพื่อให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ ด้วงทำเพื่อให้อยู่รอด นกฮัมมิ่งเบิร์ดทำให้ได้อิ่มท้อง นกเพนกวินทำเพื่อให้สร้างรังไวขึ้นและระบายอารมณ์ และพวกไพรเมตทำเพื่อความสุข , สถานะสังคม และการใช้ชีวิต ไม่แน่ในอนาคตอาจมีการศึกษาเพิ่มเติมในสัตว์อื่นๆอีกก็เป็นได้ReferenceAnimal life , Chapter sex and reproduction by Dk republishingสัตว์โลกสัปดน โดย Salmons BookThe Red Light Forest – Prostitution in the Animal Worldhttps://www.zmescience.com/.../anim.../prostitution-animals/How scientists taught monkeys the concept of money. Not long after, the first prostitute monkey appearedhttps://www.zmescience.com/.../how-scientists-tught.../Female seed beetles, Callosobruchus maculatus, remate for male-supplied water rather than ejaculate nutritionhttps://link.springer.com/article/10.1007/s00265-009-0711-z“Prostitution” Behavior in a Tropical Hummingbirdhttps://academic.oup.com/.../article.../77/2/140/5205491Chimps Barter for Sexhttps://www.livescience.com/3462-chimps-barter-sex.html

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25

อ่าน 1 ครั้ง


สัตว์ป่าเมืองจีน 🐼 ความมหัศจรรย์จากแดนมังกร

สัตว์ป่าเมืองจีน 🐼 ความมหัศจรรย์จากแดนมังกร

รู้หรือไม่ ?- จีนมีกาเซลล์ แอนทีโลป อูฐ ม้าป่า และลาป่าที่ทะเลทรายทางตะวันตกของประเทศ- มีกวางที่หน้าตาผสมระหว่างวัว ลา และกวางรวมกัน - ลิงจมูกเชิดสีทองมีความคล้ายคลึงต้นแบบซุนหงอคงมากสุด- หมีแพนด้ายักษ์พ้นสภาพการเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์แล้ววันนี้เป็นวันของเทศกาลตรุษจีน ตัวแอดบิวก็นึกอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ป่าของประเทศจีนขึ้นมาแบบคร่าวๆครับ วันนี้พิเศษเลยจะมาเล่าเรื่องสัตว์ป่าเมืองจีนและยกตัวอย่างชนิดที่น่าสนใจให้ไปค้นหากันสำหรับคนที่สนใจ • ประเทศจีนมีสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด บางชนิดเป็นสัตว์ถิ่นเดียวที่พบได้เฉพาะในดินแดนนี้ โดยมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 562 ชนิด นก 1,269 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 403 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 346 ชนิด และ ปลาอีก 4,936 ชนิด ซึ่งรวมทั้งสิ้นมีสัตว์มีกระดูกสันหลังมากถึง 7,516 ชนิด • ประเทศจีนเป็นบ้านของสัตว์ใหญ่มากมาย อาทิ- แพนด้ายักษ์ (Giant panda) - อูฐสองโหนก (Bactrain camel) - ช้างเอเชีย (Asian elephant) - เสือดาวหิมะ (Snow leopard) - เสือโคร่งไซบีเรีย (Siberian tiger) - จามรี (Yak) - แรดขาวถิ่นใต้ (Southern white rhinoceros) (นำเข้ามาปล่อยสู่ระบบนิเวศในเขตสงวนแห่งหนึ่งในมณฑลยูนนาน) - ซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน (Chinese giant salamander)- นกกระเรียนมงกุฎแดง (Red-crowned crane) ฯลฯ • บางชนิดเป็นสัตว์แปลกที่ใครต่างก็ไม่เชื่อว่าจะมีอยู่จริงในประเทศจีน บางตัวอย่างกับหลุดมาจากเทพนิยาย อาทิ: - ลิงจมูกเชิดสีทอง (Golden-snub nosed monkey)- อัลลิเกเตอร์จีน (Chinese alligator)- ไก่ฟ้าเทมมิ้นทาโกแพน (Temminck's tragopan) - กาเซลล์หางดำหรือกาเซลล์คอพอก (Goitered gazelle) - กวางเพียร์เดวิด (Pere's david deer) - แพนด้าแดง (Red panda)- ทาคินสีทอง (Goldan takin) - แมวป่าพัลลัส (Pallas's cat)- สุนัขจิ้งจอกทิเบต (Tibetan sand fox) - โลมาแม่น้ำไบจิ (Baiji) (สูญพันธุ์ไปแล้ว) ฯลฯ• และสัตว์บางชนิดก็กำลังถูกคุกคามทั้งจากการล่า การทำลายถิ่นอยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ - ตัวนิ่มจีน (Chinese pangolin)- เสือลายเมฆ (Clouded leopard) - ตัวกุยหรือไซก้าแอนทีโลป (Saiga antelope)- ม้าป่าเปรเซวัสกี้ (Przewalski horse)- พะยูน (Dugong)- ชะนีแก้มขาวถิ่นเหนือ (Northern white-cheeked gibbon)- หมีควาย (Asiatic black bear) - โลมาหัวบาตรหลังเรียบ (Finless porpise) ฯลฯ- แม้ทุกวันนี้ สัตว์ป่าในประเทศจีนกำลังถูกคุกคาม แต่หน่วยงานกับคนรุ่นใหม่ๆเริ่มมีกระแสการอนุรักษ์สัตว์ป่าพื้นถิ่นและสร้างค่านิยมด้านสัตว์ป่าใหม่ๆเสมอ เราก็ควรรู้คุณค่าของสัตว์ป่าและการอนุรักษ์สัตว์ในถิ่นที่อยู่มากขึ้นเช่นเดียวกัน

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25

อ่าน 0 ครั้ง

REPTALES v1.0.2 by ReptTown
All Right Reserved