
ทำไม "ชิวาว่า" และ "ปอมเมอริเนี่ยน" ไม่เหมาะเป็น "K-9" ?
แด่คนรักน้องหมาทุกท่านที่เห็นโพสต์นี้ ก่อนจะดราม่า กรุณาอ่านบทความให้จบเสียก่อน ห้ามมาบีบน้ำตาหรือโมโหในนี้ ใครไม่ฟังแบนถาวร นับตั้งแต่ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ตึกถล่มจากแรงสะเทือนแผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา หน่วยกู้ภัยและทีมช่วยเหลือพร้อมกับหน่วยสุนัข K-9 เข้าทำการช่วยเหลือคนที่ติดในซากอาคารออกมา ขณะเดียวกันนั่นเอง ผู้คนบางกลุ่มอาศัยจังหวะนี้ในการสร้างภาพ AI น้องหมาปอมและชิวาว่าเข้าไปเหมือนปฏิบัติการณ์กู้ตึก แล้วกลายเป็นมีคนหลงเชื่อในจำนวนมาก คนที่เข้าไปเตือนก็โดนคนรักหมาทุ่งลาเวนเดอร์ด่าเสียหายกัน ดังนั้นวันนี้แอดบิวจะมาบอกเล่ากันว่า "ทำไมชิวาว่าและปอมเมอริเนี่ยนถึงไม่เหมาะเป็น K-9 ?" คนรักหมาอย่าเพิ่งเอาเรื่องความเท่าเทียมมาพูดนะ ฟังก่อน• ก่อนอื่นต้องรู้จักก่อนว่า K-9 คืออะไร ซึ่งหน่วย K-9 คือสุนัขที่ผ่านการฝึกฝนทางการทหารและตำรวจเพื่อใช้ปฏิบัติการณ์หลายรูปแบบ ทั้งการจับกุมผู้ร้ายและอาชญากร การอารักขา การเฝ้ายาม ดมหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงงานกู้ชีพต่างๆ ซึ่งสุนัขที่เหมาะแก่การฝึกเป็น K-9 จะต้องเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่เหมาะแก่การทำงานหนัก และสายพันธุ์ที่มีความอึดความอดทนในการฟังคำสั่ง • ซึ่งสุนัขที่เป็น K-9 ที่เราเห็นกันบ่อยๆในสื่อก็จะเป็นสายพันธุ์เยอรมันเชิร์พเพิร์ด (หรืออัลเซเชี่ยน) ที่มักเป็นสุนัขตำรวจและสุนัขทหารชั้นเลิศในด้านงานบู๊หลายแบบ นอกจากนี้ก็ยังมีลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์, เบลเจียนมาลินัวส์, บีเกิ้ล, โดเบอร์แมนพินเชอร์, ดัทซ์เชิร์พเพิร์ด และสายพันธุ์อื่นๆที่แก่งานสายทหารและตำรวจ • กรณีของปอมเมอริเนี่ยนและชิวาว่านั้น ไม่มีคุณสมบัติการเป็น K-9 เลยสักนิด การเป็นสุนัข K-9 ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีการรับฟังคำสั่งดี สั่งหมอบคือหมอบ สั่งคอยคือคอย สั่งไล่คือไล่เท่านั้น แต่กรณีทั้งสองตัวนี้พัฒนามาเพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงาของมนุษย์เท่านั้น ได้ยินเสียงปูนถล่มอาจช็อกตายคาที่ไม่ก็สั่นทั้งตัวเป็นเจ้าเข้าตลอดเวลา • แต่กรณีชิวาว่านั้น เป็นสุนัขที่นิสัยโคตรจะใจกล้าและกร่างไปทั่ว เห่าเสียงดังเหมาะแก่การแจ้งเตือน แต่เอาเข้าจริงๆ น้องขาดคุณสมบัติการเป็น K-9 เพียบ ยกเว้นหน้าที่สุนัขบำบัดหรือ Theraphy dog ที่เหมาะกับชิวาว่าที่สุด บางตัวฝึกมาเพื่อเป็นสุนัขบำบัดโรคซึมเศร้าในโรงพยาบาลจิตเวชนั่นเอง • ฉะนั้นก็มีเพียงเท่านี้ที่แอดบิวจะมาบอกทุกคนครับ ดังนั้นก่อนแชร์รูปอะไรก็ต้องรู้ความจริง อย่าเพิ่งเอาความน่ารักและความโรแมนซ์มาใส่ให้บรรยากาศมันดี เพราะมันจะบิดเบือนข้อเท็จจริงไปจนหมดนั่นเอง
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 เม.ย. 25
อ่าน 4 ครั้ง

ปลาก็ใช้เครื่องมือได้ !
เรื่องน่ารู้ของความฉลาดของหมู่มวลมัจฉา โลกนี้การใช้เครื่องมือนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สัตว์มีความก้าวหน้า ช้างใช้ต้นไม้ช่วยเกาหลังในจุดงวงเอื้อมไม่ถึง ลิงอุรังอุตังสามารถทำรังนอนบนต้นไม้ด้วยการสานใบไม้เป็นเปลนอน อีกาใช้หินถ่วงให้น้ำเพิ่มระดับเพื่อเอาอาหารออกจากขวดแคบๆ หรือแม้แต่มนุษย์เราที่ใช้เครื่องมือต่างๆอำนวยความสะดวก เห็นได้ชัดว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกับนกมีความสามารถในการใช้เครื่องมือได้ แล้วมองมาที่บรรพบุรุษอย่างปลากันบ้าง พวกนี้มีการใช้เครื่องมือหรือไม่ ? • คำตอบคือ ปลาก็เป็นพวกใช้เครื่องมือเหมือนกัน ! ฟังดูแปลกๆ แต่ปลาบางพวกเองก็รู้จักการใช้สิ่งรอบตัวเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้วย ซึ่งส่วนมากพฤติกรรมใช้เครื่องมือของปลาจะเป็นเพื่อการล่าและกินอาหารกับสร้างอาณาเขตมากกว่าจะใช้เพื่อความสะดวกสบาย แม้สมองของปลาอาจจะดูไม่ก้าวหน้าเท่าสัตว์มีกระดูกสันหลังบนบกก็ตาม แต่พวกมันเน้นการเอาตัวรอด อย่างปลาแก้วกู่ (Blackspot tuskfish - 𝘊𝘩𝘰𝘦𝘳𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘴𝘤𝘩𝘰𝘦𝘯𝘭𝘦𝘪𝘯𝘪𝘪) ตัวในภาพประกอบบทความนี้ กำลังคาบหอยเอาไว้ในปากแล้วไปโขกกับก้อนหินตรงหน้าเพื่อเปิดหอยออก • เคยมีรายงานชุดนึงกล่าวว่า ปลากระเบนน้ำจืดจำพวกโมโตโร่ (Motoro stingray) จากลุ่มแม่น้ำแอมะซอนในอเมริกาใต้ ก็ใช้น้ำรอบตัวเป็นเครื่องมือในการหาอาหาร ด้วยการควบคุมการขยับของร่างกายทั้งลำตัว เพื่อเป็นการควบคุมการไหลของน้ำเพื่อสกัดให้แพลงตอนและพืชเล็กๆบางส่วนไหลเข้าปากของปลากระเบนได้โดยไม่ต้องว่ายออกแรงด้วย • ปลาสลิดหินบางชนิดก็ยังใช้ทรายและกรวดหินเป็นเครื่องมือในการทำรังของตัวเองด้วย พ่อแม่ปลาจะทำการเอาทรายและหินกรวยมารวมกันด้วยการคาบเอาไว้ในปากก่อนจะพ่นออกมาทำเป็นรังวางไข่ หรือปลาหมอสีในอเมริกาใต้ก็ใช้ใบไม้แห้งในการทำรังด้วยเช่นกัน โดยเลือกใบไม้ที่มีการงอตัวได้ดีไม่แตกหรือขาดง่ายมาทำคลุมไข่เอาไว้ • จะเห็นได้ชัดว่า ปลาเองก็เป็นสัตว์ที่ใช้เครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาในการเอาชีวิตรอดได้ เพื่อให้ได้อาหาร และการปกป้องเผ่าพันธุ์ตัวเองให้มีโอกาสรอดจนเติบโตได้ PIC CR. SCOTT GARDNERReferenceBernardi, G. (2011). "The use of tools by wrasses (Labridae)".Bourton, J. (January 13, 2010). "Clever stingray fish use tools to solve problems".Keenleyside, M.H.A., (1979). Diversity and Adaptation in Fish Behaviour, Springer-Verlag, Berlin.Keenleyside, M.H.A.; Prince, C. (1976). "Spawning-site selection in relation to parental care of eggs in Aequidens paraguayensis (Pisces: Cichlidae)". Canadian Journal of Zoology.
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 เม.ย. 25
อ่าน 0 ครั้ง

สัตว์ถ้ำต้องตาบอดเสมอหรือไม่ ?
คุณสมบัติของการเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในถ้ำแสนมืดมิด ถ้ำ เป็นสถานที่และชีวนิเวศที่น่าอัศจรรย์ แม้ถิ่นอาศัยแห่งนี้จะมืดมิดเพียงใด สัตว์ก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนอาศัยอยู่โลกข้างนอกที่มีแสงสว่าง หลายคนจะจินตนาการว่า สัตว์ถ้ำเกือบทั้งหมดจะต้องตาบอดหรือไม่มีดวงตาเสมอ ความจริงแล้ว บรรดาสัตว์ที่อยู่ในถ้ำนั้นมีหลายรูปแบบและหลายหน้าตา ขึ้นอยู่กับสภาพความลึกของถ้ำนั่นเอง เรามาดูคุณสมบัติของสัตว์ถ้ำกันครับ ประเภทสัตว์ถ้ำ สัตว์ถ้ำนั้นจะแบ่งออกเป็นจำพวกการอยู่อาศัย 3 แบบครับ อาทิ 1.Troglobite : ผู้อาศัยถ้ำถาวร พวกนี้คือสัตว์ถ้ำของแท้ก็ว่าได้ เช่น ตัวโอล์ม (Olm) และปลาถ้ำตาบอด (Blind cave fish)2.Troglophile : ผู้อาศัยถ้ำเป็นพื้นที่นอนหลับพักผ่อน มีประสาทสัมผัสการใช้ชีวิตในถ้ำได้ดี แต่หากินโลกภายนอกได้ เช่น แมงป่องแส้ และ งูกาบหมากหางนิล เป็นต้น3.Trogloxene : ผู้เยี่ยมเยือนถ้ำแบบชั่วคราว ประสาทสัมผัสใช้ชีวิตในถ้ำต่ำ เช่น ค้างคาว และ หมี เป็นต้น คุณสมบัติสัตว์ถ้ำ คุณสมบัติการอยู่อาศัยในถ้ำนั้น สัตว์หลายชนิดมีวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวใช้ชีวิต แม้ชั่วคราวก็มีเซ้นต์ในการอยู่อาศัยได้ คุณสมบัติมีดังนี้1.เคลื่อนไหวช้า - การอยู่ถ้ำไม่จำเป็นต้องขยับตัวเยอะมาก เนื่องด้วยการขยับตัวนั้นเสี่ยงต่อการเสียพลังงานร่างกายไปแล้วทำให้หิวง่าย ดังนั้นการขยับตัวช้าจะช่วยรักษาพลังงานและสามารถไม่กินอาหารได้นานเป็นเดือนช่วงที่หาอาหารไม่ได้นั่นเอง 2.ไม่มีตาหรือตาหดลง - สัตว์ถ้ำหลายชนิดโดยเฉพาะพวก Troglobite จะวิวัฒนาการดวงตาหายไป เนื่องด้วยการใช้ชีวิตในถ้ำไม่อาศัยการมอง แต่อาศัยการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆแทน ทั้งการรับรู้การสั่นไหว การดมกลิ่น และการรับรู้สนามแม่เหล็กและการใช้ตรวจจับด้วยกระแสไฟฟ้าได้3.ไม่มีเม็ดสี - สัตว์ถ้ำหลายชนิดมักจะไม่มีเม็ดสีหรือสีดูขุ่นๆหมองๆ เนื่องด้วยการอยู่ในถ้ำไม่จำเป็นต้องทำตัวเด่นเกินไป เพื่อเลี่ยงการถูกจับตามองเห็น ดังนั้นสีซีดเหมือนวิญญาณคือหนทางที่ดีสุดในการอยู่ถ้ำ4.มีอวัยวะที่ตรวจจับสัมผัสได้ - จะมีหนวดยาวแบบแมลงถ้ำ หรืออวัยวะพิเศษในร่างกายที่ทำให้รับรู้ภายในโลกอันมืดมิด ช่วยให้สัตว์นั้นๆสามารถปรับตัวได้ในโลกอันมืดมิด ซึ่งที่กล่าวมาทั้ง 4 ประการนั้น ตัวโอล์ม (ตัวในภาพประกอบ) ผู้เป็นซาลาแมนเดอร์ถ้ำแห่งยุโรปตอนใต้คือสัตว์ที่มีคุณสมบัติการเป็นสัตว์ถ้ำทั้งหมดเลย ทั้งเคลื่อนไหวช้า ไม่มีดวงตา ไม่เม็ดสีจนตัวซีด และมีอวัยวะประสาทสัมผัสอย่างเหงือก ปลายเท้า และลำตัวในการรับรู้แรงสั่นไหวได้นั่นเอง PIC CR. lucacavallariReferenceThe Dark!: Wild Life in the Mysterious World of Caves / Lindsey Leigh How have animals living only in caves adapted?https://oceanexplorer.noaa.gov/facts/cave-adapt.htmlWhat Are The Adaptations In Cave-Dwelling Animals?https://www.worldatlas.com/.../what-are-the-adaptations...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 30 มี.ค. 25
อ่าน 1 ครั้ง

ส้วมของกระแต ความสัมพันธ์ของกระแตภูเขากับหม้อข้าวหม้อแกงลิง
ส้วมของกระแต ความสัมพันธ์ของกระแตภูเขากับหม้อข้าวหม้อแกงลิงทุกวัน มนุษย์เราตื่นเช้ามาก็เข้าขับถ่ายที่ส้วมส่วนตัว แต่ทว่าสัตว์โดยทั่วไปนั้น ส้วมส่วนตัวในป่าใหญ่นั้นไม่ได้มีบ่อย มีสัตว์อยู่ชนิดหนึ่งที่ใช้ส้วมส่วนตัวเพื่อให้ส้วมดำรงอยู่ต่อไป มันคือ กระแตภูเขา (Mountain tree shrew - 𝘛𝘶𝘱𝘢𝘪𝘢 𝘮𝘰𝘯𝘵𝘢𝘯𝘢) กระแตชนิดหนึ่งจากเกาะบอร์เนียว ที่ขับถ่ายลงส้วมส่วนตัวอย่างต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงนั่นเอง !- ในปี 2010 นักชีววิทยาพบพฤติกรรมสุดแปลกนี้ที่ภูเขาคินาบาลูในรัฐซาบาห์ เกาะบอร์เนียว เมื่อพวกเขาเฝ้าสังเกตกระแตภูเขาตัวหนึ่งไปกลับระหว่างจุดนอนหลับและต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงต้นเดิมๆทุกเช้า ซึ่งเจ้ากระแตมาที่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นประจำนี้ก็เพื่อเลียกินสารหวานเหมือนน้ำตาลบริเวณฝาต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง (Pitcher lid) หลังกินมื้อเช้าสุดหวานฉ่ำแล้ว ก็อึลงในหม้อข้าวหม้อแกงลิงปิดท้ายแล้วจากไป- พวกเขาพบว่า กระแตภูเขามีพฤติกรรมนี้กับต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง 3 ชนิดในสกุล 𝘕𝘦𝘱𝘦𝘯𝘵𝘩𝘦𝘴 ซึ่งทั้งสามชนิดนั้นเป็นพืชกินแมลงและสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร และการที่พวกมันได้รับอึของกระแตภูเขา ก็ช่วยให้มันได้รับสารอาหารเต็มที่จากการกินของกระแตที่เป็นสัตว์กินทั้งพืชและสัตว์ นี่เป็นการช่วยเพิ่มปุ๋ยให้ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงไปในตัว แล้วกระแตพวกนี้ก็จำต้นส้วมของตัวเองได้เสมอ !- ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั้งสามชนิดสามารถดำรงชีวิตรอดจากการเลือกส้วมขับถ่ายของกระแต ต้นไม้ได้รับสารอาหาร แถมยังแบ่งสารอาหารให้สัตว์บางชนิดได้ดด้วย ไม่ว่าจะเป็นพวกค้างคาวกินผลไม้ที่แวะกินน้ำหวานจากต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงและช่วยกระจายพันธุ์พืชให้ บ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของสัตว์และพืชในระบบนิเวศ ส่งผลต่อชีวนิเวศแหล่งข้อมูลอ้างอิงMutualism between tree shrews and pitcher plants: perspectives and avenues for future researchhttps://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20861680/คลิปเจ้ากระแตภูเขามาขับถ่ายที่ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงhttps://youtu.be/TwL7K_loRjM?si=K47xA8Jm4igwhViW
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25
อ่าน 10 ครั้ง

รักแท้หนึ่งเดียว "ไม่มีจริง !" เรื่องวุ่นๆของ Monogamy
"ไอ้ที่เขาเรียกว่าความรัก มันเป็นแค่ปฏิกิริยาทางเคมีกระตุ้นให้สัตว์ผสมพันธุ์ ความรู้สึกมันถาโถมแล้วค่อยๆจางหาย" ริค ซานเชซ นักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดในโลกจักรวาลนึงกล่าวไว้ริคผมเชื่อคุณเรื่องนึงนะ เรื่องของ "Monogamy" หรือที่เรียกว่า "รักเพียงหนึ่งเดียว" เป็นแค่การที่สัตว์มีความรู้สึกกระตุ้นเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ การทำงานร่วมกัน การอยู่ด้วยกันเป็นกฎเกณฑ์ที่ทำเพื่ออาณาเขต เพื่อแหล่งอาหาร และเผ่าพันธุ์ตัวเองสามารถเติบโตได้ และพฤติกรรมนี้ก็ถ่ายทอดออกไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน แต่เบื้องหลังที่ไม่มีใครเคยพูดถึงแม้แต่นักวิทยาศาสตร์- กว่า 90% ของชนิดนกที่เป็น Monogamy พบว่านกบางชนิดเองก็มีพฤติกรรมที่ไม่ได้น่ารักต่อคู่ครองมันเท่าไร อย่างเช่นนกจับแมลง Superb fairywren (𝘔𝘢𝘭𝘶𝘳𝘶𝘴 𝘤𝘺𝘢𝘯𝘦𝘶𝘴) นกขนาดเล็กจากออสเตรเลีย นักวิจัยศึกษาคู่รักนกคู่หนึ่งพบว่า ในตอนดึกสัญญาณเคลื่อนไหวของนกตัวเมียจากรังคู่มันหายไป แล้วกลับมาในเวลา 15 นาที โดยที่คู่ของมันไม่รู้ นั้นเป็นเพราะเจ้านกสาวลอบไปหาชู้ของมันมา มากสุดที่มีได้คือมีโลก 4 ใบคือ สามีตัวเองและชายอื่น 3 ตัว เท่ากับไข่ในรังมีอัตราส่วนของแฟนตัวเองแค่ 25% เท่านั้น เขามีแต่พรโลก 7 ใบ อันนี้นกโลก 4 ใบ- นกนั้นถูกวาดว่าเป็นสัตว์มีคู่เดียว แม้แต่กับไพรเมตที่เป็นแบบรักเดียวใจเดียวอย่างชะนี ก็มีปัญหาเรื่องการมีโลกอีกใบด้วย จากการที่บิวคุงได้ถามนักวิจัยชะนีไทย เขาก็ยืนยันว่า ชะนีก็เป็นสัตว์ที่นอกใจคู่ตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งเกิดจากกรณีที่แหล่งอาหารในอาณาเขตไม่เพียงพอ หรือปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย ตัวเมียก็ยอมมีโลกอีกใบสำรอง เผื่อตัวผู้คู่ของมันหมดน้ำยาก็จะขยับไปหาโลกใบอื่นแทน- ในมนุษย์นั้น การครองคู่เดียวก็ใช่ว่าเป็นทางเลือกจริงๆ มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวในโลกที่เปรียบเปรยความรักของตนเองเสมือนเป็นดั่งหงส์และนกกระเรียนในรูปปั้นน้ำแข็งแกะสลักงานแต่งงานตัวเอง แต่แท้จริงแล้ว คู่รักหญิงชายน่ะ มีอะไรซ่อนเร้นจริงๆหรือไม่ มนุษย์เราก็ไม่ต่างกับลิงชิมแปนซีและลิงกอริลล่า ที่ความจริงเราเป็น Polygamy กันมาแต่ไหนแต่ไร !- เหตุผลที่มนุษย์ยอมเป็น Monogamy แบบคิดกันเองนั้น ก็เพื่อระเบียบทางสังคมไม่ให้มีความวุ่นวายและมั่วสุมกันเอง กฎหมายห้ามให้สามีหรือภรรยามีโลกอื่นนอกจากคู่ตัวเอง แม่ห้ามมีสัมพันธ์กับลูกชายและลูกสาว ซึ่งถ้าเทียบกับญาติสนิทอย่างลิงโบโนโบ้ หรือลิงชิมแปนซีแคระ (Bonobo - 𝘗𝘢𝘯 𝘱𝘢𝘯𝘪𝘴𝘤𝘶𝘴) พบว่า ลิงเหล่านี้มีสังคมที่เรียบง่ายและปราศจากความวุ่นวายได้ เพียงแค่ใช้ความรักมาสร้างสันติกัน สมาชิกฝูงแสดงความรักแบบหลายแบบ กระทั่งสัมพันธ์กับลูกๆตัวเองในฝูงได้- ในวันวาเลนไทน์นี้ ไม่มีสัตว์ไหนเลยที่จะเหมาะสมกับการเป็นรักหนึ่งเดียวในชีวิต เท่ากับ "𝘋𝘪𝘱𝘭𝘰𝘻𝘰𝘰𝘯 𝘱𝘢𝘳𝘢𝘥𝘰𝘹𝘶𝘮" หรือหนอนตัวแบนชนิดหนึ่งที่บิวคุงขอให้สมญานามว่า "สัตว์ที่ครองคู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น" เมื่อหนอนสองตัวจับคู่กัน พวกมันจะเชื่อมร่างกายหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วทำการกินเลือดปลาและผสมพันธุ์กันจนกว่าจะตายด้วยกัน.....แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://youtu.be/bxQdLhOQf5c?si=M513N_hSAbvhrvJuhttps://www.allohealth.care/.../monogamy-isn-t-realistichttps://www.news-medical.net/.../Study-All-monogamous...https://www.facebook.com/share/v/xVHRnXHGi7LQRCDZ/...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25
อ่าน 0 ครั้ง

อัลลิเกเตอร์ท้าหิมะ ความลับแห่งการเอาตัวรอดของเกเตอร์
ในสหรัฐอเมริกา ลมหนาวและหิมะปกคลุมไปทั่วพื้นที่รัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ สัตว์เลื้อยคลานผู้ดำรงเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่ช่วงยุคครีเตเชียส พบเจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างอัลลิเกเตอร์อเมริกา (American alligator - 𝘈𝘭𝘭𝘪𝘨𝘢𝘵𝘰𝘳 𝘮𝘪𝘴𝘴𝘪𝘴𝘴𝘪𝘱𝘱𝘪𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴) ที่ต้องเผชิญหน้ากับความหนาวเย็นเกือบ 10-20 องศาเซลเซียส !- อัลลิเกเตอร์เป็นสัตว์เลื้อยคลาน พวกมันสร้างพลังงานความร้อนที่รับจากภายนอกร่างกาย หรือที่เรียกว่า "Ectotherm" พวกมันใช้การนอนอาบแดดและรับความร้อนเข้ามาในร่างกาย ทำให้กระบวนการต่างๆทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วถ้าหากเป็นฤดูหนาวที่หิมะตกละ พวกมันอยู่รอดได้อย่างไร ?- อัลลิเกเตอร์และจระเข้เหนือชั้นกว่าสัตว์เลื้อยคลานจำพวกอื่น ตรงที่ร่างกายของมันปกคลุมด้วยผิวหนังที่มีคุณสมบัติพิเศษเรียกว่า "Osteoderm" มีการวิจัยพบว่า ผิวหนังของอัลลิเกเตอร์สามารถดูดซับพลังงานความร้อนจากแสงแดดที่ส่องลงมาท่ามกลางหิมะได้ และส่วนแผ่นหลังนั้นก็ทำหน้าที่เสมือนเป็นโซลาร์เซลล์ที่มีเส้นเลือดฝอยกระจายตัวบริเวณแถบผิวหนังดูดซับเอาความร้อนจากแสงอาทิตย์เร่งกระบวนการเมตาบอลิซึ่มมาสร้างเป็นความร้อนให้ร่างกาย- กรณีที่โดนน้ำแข็งแช่อยู่ในน้ำนานเกือบหลายเดือน อัลลิเกเตอร์ยังคงอยู่รอดได้แม้ได้รับพลังงานความร้อนจากสภาพแวดล้อมน้อย เป็นกระบวนการที่เรียกว่า "Brumation" คล้ายกับการจำศีลในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มันก็ยังคงหายใจได้ เพื่อให้อยู่รอดจนกว่าน้ำแข็งละลาย อัลลิเกเตอร์จะโผล่ส่วนปลายปากและจมูกออกเพื่อให้ระบบทางเดินหายใจของมันยังทำงานหมุนเวียนออกซิเจนเป็นปกติเช่นเคย และปล่อยให้ร่างกายมีสภาวะกึ่งจำศีลรอจนกว่าน้ำแข็งละลาย เรียกพฤติกรรมนี้ว่า "Icing behavior"- เมื่ออากาศเย็น เท่ากับอัลลิเกเตอร์จะไม่อยากอาหารไปอีกนาน พวกมันจะกินน้อยลงเพื่อสงวนพลังงานความร้อนเอาไว้ในยามจำเป็นเท่านั้น ดังนั้นอัลลิเกเตอร์ในช่วงฤดูหนาวจึงมักไม่ค่อยขยับตัวนัก หากถูกคุกคามหรือเข้าใกล้ มันก็จะใช้พลังงานความร้อนที่มีผลักตัวเองลงน้ำหรือหลบไปที่ปลอดภัยก่อน นั้นคืออีกเหตุผลการเอาตัวรอดของสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ผ่านมหายุคไดโนเสาร์มาจนปัจจุบันได้แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.seattletimes.com/.../what-do-lowcountry.../https://scaquarium.org/brumation/https://www.cajunencounters.com/.../too-cold-for-alligators/https://www.jstor.org/stable/3891973
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25
อ่าน 0 ครั้ง

สิงโตออกล่าควายป่าบ่อยขึ้น เพราะ "มด"
กระแสเรื่องสิงโตตอนนี้มาแรงมาก แต่ผมไม่ขอพูดถึงเรื่องแบบนั้นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงสิงโต มันไม่ใช่ทางผมเลย ดังนั้นเราจะมาดูชีวิตของสิงโตในธรรมชาติกันดีกว่าครับอย่างที่ทุกคนทราบ สิงโตเป็นนักล่าสูงสุดของทุ่งหญ้าซาวันน่าในแอฟริกา เป็นสัตว์ที่ควบคุมประชากรสัตว์กินพืชหลายชนิดไม่ให้มีจำนวนมากเกินไป แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากชีวิตสิงโตถูกเปลี่ยนไป เมื่อการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มด"- แม้มดจะมีทั่วไปในแอฟริกา แต่มดชนิดดังกล่าวนี้ทำให้ระบบนิเวศทุ่งหญ้าซาวันน่าเปลี่ยนไปตลอดกาล มันคือ "มดหัวโต" (Big-headed ant - 𝘗𝘩𝘦𝘪𝘥𝘰𝘭𝘦 𝘮𝘦𝘨𝘢𝘤𝘦𝘱𝘩𝘢𝘭𝘢) มดรุกรานที่กระจายไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย พวกมันบุกยึดเขตทุ่งหญ้าซาวันน่า จู่โจมมดอะคาเซีย (Acacia ant - 𝘊𝘳𝘦𝘮𝘢𝘵𝘰𝘨𝘢𝘴𝘵𝘦𝘳 𝘴𝘱.) ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้แล้วยึดอาณาเขต- ซึ่งมดอะคาเซียเป็นมดที่อาศัยบนต้นไม้ต่างๆในทุ่งหญ้าซาวันน่า พอมดอะคาเซียโดนมดหัวโตแย่งถิ่น ต้นอะคาเซียก็ไร้ผู้เตือนภัย เมื่อช้างมาหาอาหาร แทนที่จะโดนมดเตือนไล่ออกไป กลายเป็นช้างโค่นลงได้สบายๆจนต้นไม้ในทุ่งหญ้าโดนโค่นง่ายลง ทำให้เป็นพื้นที่หญ้าโล่ง แล้วก็ส่งผลต่อสิงโต- สิงโตบางฝูงในทุ่งหญ้าซาวันน่าใช้แนวต้นไม้เป็นที่กำบังเพิ่มโอกาสในการล่าม้าลายและแอนทีโลป แต่เมื่อต้นไม้น้อยลง พวกม้าลายและแอนทีโลปเห็นสิงโตง่ายขึ้น จึงทำให้เปอร์เซ็นต์การล่าพวกนี้ลดต่ำลงจาก 62% เป็น 22% และทำให้สิงโตต้องไปล่าเหยื่ออื่นที่ใหญ่กว่านั่นก็คือ ควายป่าแอฟริกา- นักวิจัยในทุ่งหญ้าซาวันน่าในเคนย่าพบว่า สิงโตฝูงที่พวกเขาศึกษา เปลี่ยนพฤติกรรมจากที่พวกมันไม่เคยล่าควายป่าเลย กลายเป็นว่าควายป่าคือเหยื่อที่สิงโตล่ามากที่สุด จาก 0% เป็น 42% ของเหยื่อที่สิงโตกิน บ่งบอกว่าสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและระบบนิเวศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้สรุปเป็นสายโซ่ก็ประมาณนี้ครับStart >> มดต่างถิ่นบุกรุก >> มดอะคาเซียโดนมดต่างถิ่นคุกคาม >> ต้นอะคาเซียและต้นไม้ต่างๆไร้การป้องกันจากมด >> ช้างสามารถโค่นต้นไม้ได้โดยไม่โดนมดเตือน >> สิงโตล่าม้าลายไม่ได้เพราะแนวกำบังน้อยลง >> สิงโตเลยออกล่าควายป่ามากขึ้นเพื่อความอยู่รอด !แหล่งข้อมูลอ้างอิงDisruption of an ant-plant mutualism shapes interactions between lions and their primary preyhttps://www.science.org/doi/10.1126/science.adg1464
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25
อ่าน 0 ครั้ง

ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบ
ลูกอ๊อดยักษ์ เมื่อลูกอ๊อดไม่กลายเป็นกบหากน้องตัวนี้เกิดในประเทศไทย อาจมีถูกจับไปขอหวยขอเลขเด็ดกันแน่นอน ที่เห็นอยู่ในภาพนี้คือ ลูกอ๊อดของกบบูลฟร็อกอเมริกา (American bullfrog - 𝘓𝘪𝘵𝘩𝘰𝘣𝘢𝘵𝘦𝘴 𝘤𝘢𝘵𝘦𝘴𝘣𝘦𝘪𝘢𝘯𝘶𝘴) ที่เติบโตเกินขนาดกว่าปกติ ! ยาวเกือบ 10 นิ้วจะขนาดเท่ากล้วยหอมแล้ว ! ซึ่งมันใหญ่ใกล้เคียงกับกบตัวเต็มวัยเลย ทว่ากลับไม่มีการพัฒนาตัวให้กลายเป็บกบตัวเต็มวัย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าลูกอ๊อดตัวนี้กันแน่ ?- กระบวนการกลายสภาพหรือ Metamorphosis ของกบนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยการเหนี่ยวนำของฮอร์โมนตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า ฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid hormone) หรือฮอร์โมน TSH จากต่อมไทรอยด์กระตุ้นการพัฒนาตัว ด้วยปัจจัยของอุณหภูมิ แสง และสารอาหารที่ลูกอ๊อดกินเข้าไป กระตุ้นฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตจากลูกอ๊อดเป็นกบเต็มวัย- ในกรณีของลูกอ๊อดยักษ์นั้น บางทีมีสาเหตุได้ 2 สาเหตุ สาเหตุแรกคือ ต่อมไทรอยด์มีปัญหาที่ควบคุมฮอร์โมนในการพัฒนาตัวไม่ดีพอ จนทำให้ลูกอ๊อดขยายร่างเอาแต่ไม่พัฒนาส่วนอวัยวะอย่างขาขึ้นมา กับอีกสาเหตุคือ ปัจจัยโดยรอบไม่กระตุ้นฮอร์โมนเอง น้ำอาจเย็นไป หรือแสงไม่มากพอจะกระตุ้น ขณะเดียวกันสารอาหารไม่เกี่ยว เพราะพวกนี้ถ้าได้สารอาหารน้อยมันก็จะตาย แต่ถ้าตัวโตขนาดนี้แปลว่ามันกินอาหารมาก- เมื่อกบตัวเต็มวัยแล้ว ฮอร์โมนไทรอยด์จะหยุดทำงานเรื่องการเจริญเติบโตทันที ลองกลับมาดูเจ้าลูกอ๊อดยักษ์ ถึงตัวจะโตขึ้นแต่ทุกอย่างในร่างกายก็ยังคงสภาพเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดออกมา และมันก็สามารถอยู่ได้นานเป็นปี เคยมีรายงานว่าลูกอ๊อดยักษ์แบบไม่กลายสภาพสามารถอยู่ได้เกือบ 8 ปี ! เป็นเรื่องสุดแปลกและมหัศจรรย์มาก !แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.americanscientist.org/.../the-giant-tadpole...https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6521741/https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK9986/https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK10035/
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 05 ก.พ. 25
อ่าน 3 ครั้ง

สล็อธดำน้ำอึดกว่าโลมา !" เรื่องน่ารู้การหายใจของสัตว์บกบนต้นไม้และสัตว์น้ำแสนฉลาด
รู้หรือไม่ สล็อธเป็นสัตว์ที่ดำน้ำได้นานกว่าโลมาที่เป็นสัตว์น้ำแท้จริง ! ซึ่งในทางสถิติแล้ว โลมาสามารถดำน้ำได้นานเฉลี่ย 10-15 นาทีเท่านั้น ส่วนมนุษย์เราดำน้ำอึดได้นานสุด 24 นาที 32 วินาที ขณะเดียวกันนั่นเอง เจ้าสล็อธสุดเชื่องช้ากลับเป็นสัตว์ที่ดำน้ำอึดกว่าโลมาและมนุษย์อีก ซึ่งดำน้ำได้นานสุดถึง 40 นาที ! • สล็อธเป็นสัตว์เชื่องช้า กระบวนการเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของมันจึงทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั่นเอง ซึ่งจากกระบวนการนี้ทำให้สล็อธย่อยอาหารนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนต่อการกินหนึ่งครั้ง ซึ่งเจ้าเมตาบอลิซึ่มที่ช้านี้ทำให้ปอดและหัวใจของสล็อธทำงานอย่างเชื่องช้า จนทำให้สล็อธกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานมาก อีกทั้งการย่อยอาหารช้าของมันยังเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหารทำให้สล็อธลอยตัวว่ายน้ำได้ดีด้วย • ขณะที่โลมาและมนุษย์นั้น ปอดและหัวใจทำงานแลกเปลี่ยนออกซิเจนอย่างหนักเมื่อดำอยู่ใต้น้ำ แต่ของโลมามีประสิทธิภาพกักเก็บอากาศได้ดีมาก เมื่อโลมาขึ้นหายใจอย่างรวดเร็วเหนือน้ำ มันสามารถสูดอากาศเข้าไปในปอดมากถึง 80% ของเนื้อที่ปอด แต่ด้วยความที่โลมาเป็นสัตว์ขยับตัวเร็วและกล้ามเนื้อทำงานเหมือนเครื่องจักรเรือดำน้ำที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ออกซิเจนหมดก๊อกไว จนต้องรีบโผล่หายใจเหนือน้ำทุก 10-15 นาที • ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว ดูเหมือนกระบวนการเมตาบอลิซึ่มทั้งสล็อธและโลมาแตกต่างกันสิ้นเชิงมาก สล็อธเน้นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเชื่องช้าบนต้นไม้ ขณะที่โลมาใช้ชีวิตในฐานะนักล่าแห่งท้องทะเลผู้ปราดเปรียวและแสนฉลาดหลักแหลม กายภาพและการทำงานของร่างกายนั้นแตกต่างกันมาก PIC CR. Texas Aquarium ReferenceDolphin Or Sloth, Who Can Hold Their Breath For Longer?https://www.iflscience.com/dolphin-or-sloth-who-can-hold...All About Bottlenose Dolphins facts by SEA WORLD https://seaworld.org/.../bottlenose-dolphin/adaptations/8 Facts You (probably) Didn’t Know About Sloths’ anatomyhttps://slothconservation.org/8-facts-about-sloths.../
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 03 ก.พ. 25
อ่าน 12 ครั้ง

"เมื่องูเคยมีขา" วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานสุดมหัศจรรย์
"เมื่องูเคยมีขา" วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานสุดมหัศจรรย์"งู" คำๆเดียวที่สามารถทำให้ใครหลายคนขนลุกชูชันได้ไม่น้อยครับ แต่เราอาจจะมองข้ามมันไปว่า งูนั้นเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการมายาวไกลมาก มันไม่ใช่สัตว์ที่เพิ่งขึ้นในยุคใหม่เลยครับ แต่พวกมันถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้วอยู่อาศัยเคียงข้างกับไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์มากมายแล้วเหตุใดเล่า งูถึงต้องละทิ้งขาตัวเองไป ทั้งๆที่มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานเช่นเดียวกับกิ้งก่าและจระเข้ ? คำตอบนั้นเราต้องย้อนเวลากลับไปดูในช่วงยุครุ่งเรืองของไดโนเสาร์ผ่านฟอสซิลกันครับ จุดเริ่มต้น ฟอสซิลของงูที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุเมื่อ 90 ล้านปีก่อน แต่นักบรรพชีวินวิทยาได้ขุดพบฟอสซิลของสิ่งที่เรียกว่า "รอยต่อแห่งวิวัฒนาการที่หายไป" ในประเทศบราซิล เมื่อพวกเขาพบฟอสซิลของสัตว์เลื้อยคลานที่มีความคล้ายคลึงกับงูมากที่สุด แต่ว่า มันมีขาครับ !มันมีชื่อว่า "เตตระโพโดพริส" (𝘛𝘦𝘵𝘳𝘢𝘱𝘰𝘥𝘰𝘱𝘩𝘪𝘴) ซึ่งมีความหมายของชื่อว่า "งูที่มีสี่ขา" สัตว์เลื้อยคลานที่มีลำตัวและหัวเหมือนงู ไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของงูแต่อย่างใดเพียงแค่ญาติใกล้ชิดเฉยๆ แต่กลับมีขายื่นออกมาสี่ข้างเป็นระยางค์เดินเหมือนกับกิ้งก่า ลำตัวยาว 30 เซนติเมตร ซึ่งดูจากรูปทรงของลำตัวและขนาดของขาแล้ว บ่งบอกว่า ญาติสนิทของงูตัวนี้เริ่มจะปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวจากการมีขาไปใช้ลำตัวในการขยับแทนในทางพันธุกรรมและการอนุกรมวิธาน งูนั้นเป็นสัตว์ที่มีความสนิทกับกิ้บก่ามาก จนทำให้จัดอยู่ในอันดับเดียวกันคือ Order Squamata โดยงูนั้นจะแยกไปอยู่ในสายวิวัฒนาการ จึงทำให้รูปร่างขาของงูไปทางกิ้งก่า มีขาไม่ดีอย่างไรกัน ? แล้วทุกคนสงสัยกันอีกว่า งูมีขาไม่ดีตรงไหนถึงต้องหดขาหายไปจนหมด ทั้งนี้นักบรรพชีวินวิทยาก็ให้คำตอบไม่ชัดเจน แต่ในทางสัตววิทยาแล้ว การไม่มีขาของงูทำให้งูสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ทำให้สามารถมุดเข้าซอกหลีบตามจุดต่างๆที่สัตว์อื่นเข้าไม่ถึงเพื่อหลบพักผ่อนหรือวางไข่ รวมไปถึงยังสามารถใช้ลำตัวรับรู้ภัยอันตรายได้ดีกว่าการใช้หูฟังเสียงอีก ซึ่งงูก็ไม่มีหูด้วยเช่นกันทีนี้มีคำถามสำคัญตามมาอีกว่า แล้วงูหดขาคู่ไหนก่อนกัน ? คำตอบคือ ขาคู่หน้าหดไปก่อนครับ เหตุผลนั้นถ้าทุกคนเคยจำภาพงูเวลาเลื้อยอยู่บนพื้นดิน งูค่อนข้างจะมีส่วนหัวและลำตัวแนบติดพื้นกัน ซึ่งพอไม่มีขาหน้า ประสาทรับรู้ที่ส่งผ่านไปยังสยองจะสามารถรับรู้ได้ทางลำตัวผ่านไปยังกระดูกสันโดยตรงได้เลย ทำให้รู้อันตรายเร็วกว่าแล้วยิ่งงูอยู่มาตั้งแต่ช่วงที่มีไดโนเสาร์ด้วย การรับรู้ว่าแรงสั่นสะเทือนของไดโนเสาร์เดินยังดีกว่ามารู้ตัวตอนที่โดนเหยียบหรือว่าโดนจับกินจากไดโนเสาร์ขนาดเล็ก อย่างเช่นงูดึกดำบรรพ์สกุลหนึ่งที่ชื่อว่า "นาจาซ" (𝘕𝘢𝘫𝘢𝘴𝘩) เป็นงูที่มีชีวิตเมื่อ 90 ล้านปีก่อนในยุคครีเตเชียสตอนปลาย มีหลักฐานการหดไปของขาหน้าแต่ยังมีขาหลังอยู่ ซึ่งฟอสซิลติ่งขาหน้ายังพบอยู่ด้านในลำตัว สิ่งที่นาจาซต่างจากเตตระโพโดพริสก็คือ กระดูกซี่โครงที่มีรูปร่างให้เหมาะแก่การขยับตัวไปข้างหน้าด้วยกล้ามเนื้อลำตัว ซึ่งจะเป็นผลให้งูใช้ลำตัวขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วยไม่ต้องใช้ขาขยับตัวอีกอีกต่อไป แล้วนาจาซเหลือขาหลังเอาไว้ทำอะไร ? ซึ่งถ้ามามองดูในด้านการใช้เพื่อพฤติกรรมจำเป็นต่อชีวิตประจำวันแล้ว มันอาจเอาไว้สำหรับช่วยในการล็อคตัวเมียขณะผสมพันธุ์กันก็เป็นได้ครับ เพราะขณะสัตว์เลื้อยคลานผสมพันธุ์กันนั้น ขาหลังจะช่วยในการขยับส่วนอวัยวะเพศให้สอดใส่ได้ แต่ต่อมาเมื่องูหดขาหลังออก งูก็วิวัฒนาการอวัยวะเพศให้แตกออกเป็นสองข้างเพื่อใช้ผสมแบบใช้ข้างใดข้างหนึ่งแทน แต่งูบางจำพวกอย่างงูกลุ่มไพธ่อน (Python) และ (Boa) ยังคงมีติ่งของระยางค์ขาเล็กช่วงท้ายลำตัว เอาไว้สะกิดขณะการผสมพันธุ์กับตัวเมีย เมื่อขาหดไป ฟอสซิลของงูที่ไม่ปรากฎขาทั้งสี่ข้างเก่าแก่ที่สุดเป็นงูดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อว่า "ไดนิไลเซีย" (𝘋𝘪𝘯𝘪𝘭𝘺𝘴𝘪𝘢) เป็นงูขนาดกลางประมาณงูหลามบอล (Ball python)และงูหลามวัยเด็ก ที่สามารถยาวได้ 1-3 เมตร ที่มีชีวิตเมื่อ 85 ล้านปีก่อนในอเมริกาใต้ โดยสิ่งที่พวกเขาพบจากฟอสซิลงูดึกดำบรรพ์ตัวนี้คือ ขาหดไปจนหมดแล้วประกอบการพบว่าขนาดของกล่องสมองภายในมีขนาดกว้างขึ้น โดยเฉพาะส่วนของสมองส่วนท้ายที่ใช้ในการควบคุมลำตัวและการเคลื่อนที่ กระดูกหูชั้นกลางก็มีการเจริญให้สามารถรับรู้แรงสะเทือนได้ดีขึ้นแบบงูปัจจุบันทั่วไป ยิ่งสนับสนุนเหตุผลของการหดขาไปของงูอีกด้วย"จากมีขา สู่การไม่มีขา" ทำให้งูเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกกว่า 3,800 ชนิด มีหลายรูปร่างทั้งใหญ่และเล็ก พวกที่สวยงามและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม และก็ยังมีพวกที่มีพิษเพื่อการล่าและป้องกันตัว ทั้งนี้ก็เป็นผลวิถีแห่งชีวิตชักนำให้งูปรับตัวและดำรงชีวิตอยู่จนทุกวันนี้มาตั้งแต่ยุคที่พวกไดโนเสาร์อาศัยอยู่กันแล้วReferenceFossil Solves Mystery of How Snakes Lost Their Legshttps://www.amnh.org/explore/news-blogs/how-snakes-lost-legsHow Snakes Lost Their Legshttps://www.npr.org/.../498575639/how-snakes-lost-their-legsDavid M. Martill; Helmut Tischlinger; Nicholas R. Longrich (2015). "A four-legged snake from the Early Cretaceous of Gondwana"Apesteguía, S.; Zaher, H. (2006). "A Cretaceous terrestrial snake with robust hindlimbs and a sacrum".
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 ก.พ. 25
อ่าน 4 ครั้ง

"ใครคือไพรเมตที่ฉลาดที่สุด ?" ระหว่างมนุษย์ ชิมแปนซี และลิงคาปูชิน
ไพรเมต (Primate) คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีทักษะและกระบวนการคิดที่เหนือล้ำกว่าสัตว์อื่นๆ ในโลกนี้นอกจากไพรเมตแล้วก็มีช้างและวาฬกับโลมาที่มีกระบวนการคิดซับซ้อนได้ ความฉลาดในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม การสื่อสาร และการเข้าสังคมของสัตว์ เป็นตัวช่วยให้ไพรเมตสามารถมีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ว่าแต่ ใครละฉลาดที่สุดในบรรดาไพรเมต ? มนุษย์ ? ชิมแปนซี ? หรือเป็นลิงคาปูชิน ? • หากนับรวมไพรเมตทุกชนิด จะมีมนุษย์ ชิมแปนซี และโบโนโบ้ (ชิมแปนซีแคระ) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นไพรเมตที่ฉลาดที่สุดในโลก ถ้าตัดมนุษย์ออกก็เหลือแค่สองตัว ส่วนคาปูชินนั้นจะฉลาดที่สุดในบรรดา Monkey หรือพวกลิงมีหางทั้งหมด แต่ยังฉลาดเทียบลิงชิมแปนซีกับลิงอุรังอุตังไม่ได้ในเรื่องทักษะบางอย่างที่คาปูชินทำไม่ได้ • นักวิจัยมองว่า สมองของพวกไพรเมตทุกสปีชีส์มีหน่วยความจำและการตอบสนองสิ่งเร้าแตกต่างกัน พูดง่ายๆคือ ถ้านักวิจัยเอารูปดารา JAV ให้ชิมแปนซี และคาปูชินดูก็จะไม่เก็ทเท่ามนุษย์ที่ล้ำลึกถึงขนาดหน้าอกหรือหัวนม เพราะสมองนั้นจดจำสิ่งที่คุ้นเคยจากการแปรผลในระดับยีนเกี่ยวกับการประมวลผลแต่ละสปีชีส์ไม่เท่ากัน ดังนั้นสิ่งที่ชิมแปนซีเห็นรูปดาราก็จะมองว่าก็แค่มนุษย์หญิงไม่เห็นน่าสนใจเท่าชิมแปนซีสาววัยแก่ที่มีรอยตีนกาและหุ่นอวบอิ่มชวนเซ็กซี่ ส่วนคาปูชินก็จะมองว่า "อื้อก็มนุษย์นี่"• มนุษย์ ชิมแปนซี และคาปูชิน เป็นไพรเมตที่มีสมองใหญ่เมื่อเทียบกับร่างกาย และมีระดับ EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์ ของมนุษย์จะมีค่าเฉลี่ย 7.4-7.8 แต่ที่น่าสนใจก็คือ ค่าระดับความฉลาดทางอารมณ์ของลิงคาปูชินกลับมากกว่าชิมแปนซี โดยของคาปูชินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 แต่ชิมแปนซีอยู่ประมาณ 2.0-2.49 ทว่าการสื่อความฉลาดทางอารมณ์ของลิงคาปูชินเป็นลักษณะการเข้าสังคมและการผูกมิตรกับสมาชิกในฝูง บางทีสนิทกับคนเลี้ยงด้วยเสมือนคนในครอบครัว• งั้นที่กล่าวมาข้างต้น ชิมแปนซีก็ฉลาดน้อยกว่าคาปูชินน่ะสิ ? ช้าก่อน ความฉลาดของสัตว์ไม่ได้ตัดสินจากระดับ EQ แต่สัตว์จะใช้ความฉลาดได้เปรียบแตกต่างกัน รูปแบบสังคมที่ซับซ้อน แม้ตัวเลขจากนักวิจัยจะเป็นผลสรุป แต่เทียบเรื่องพฤติกรรมแล้ว ชิมแปนซีสื่ออารมณ์เศร้าได้มากกว่าคาปูชินอีก โดยชิมแปนซีมีอารมณ์เศร้าการจากไปของสมาชิกในฝูงที่เป็นแม่ พี่น้อง หรือสหายสนิทอีกด้วย• ขณะที่คาปูชินนั้นด้วยความเป็นลิงมีหาง ทักษะการเรียนรู้ฉับไวเพื่อให้ได้สิ่งที่ปรารถนามากกว่าการคิดวางแผน ลิงคาปูชินสามารถรู้ภาษาคนหูหนวกได้ สามารถช่วยนำทางคนตาบอดเหมือนสุนัขนำทางได้ และยังเรียนรู้เรื่องการแลกเปลี่ยนสิ่งของและเซ็กส์ด้วยวัตถุเหมือนเงินตรา • ท้ายสุด ไม่ว่าใครจะฉลาดที่สุด สำคัญคือสถานการณ์และการเรียนรู้ ชิมแปนซีอาจเสียเปรียบคาปูชินในบางสถานการณ์ แต่ขณะเดียวกัน ชิมแปนซีก็อาจได้เปรียบคาปูชินในสถานการณ์ที่ตัวเองได้เปรียบกว่า ดังนั้น ความฉลาดเป็นเรื่องการเรียนรู้ การแก้ปัญหา วางแผน การมีรูปแบบสังคม และอารมณ์ต่างๆมากกว่า PIC CR. Myrtle Beach SafariReferencePrimates of the World: An Illustrated Guide หนังสือโดย ฌ็อง-ฌัก เพตเตอร์Thinking about Brain Size...https://web.archive.org/.../serendip.../bb/kinser/Int3.htmlHUMBOLDT’S WHITE-FRONTED CAPUCHIN by New England Primate Conservancyhttps://neprimateconservancy.org/humboldts-white-fronted.../Social Intelligence of White-faced Capuchins and Their Behaviors in Aiming for Allianceshttps://www.jaguarrescue.foundation/.../SocialIntelligenc...Genes Make Chimps Glad or Sadhttps://www.science.org/.../genes-make-chimps-glad-or-sad
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 ก.พ. 25
อ่าน 4 ครั้ง

ป้องกันตัวเองเพราะคน วิวัฒนาการของงูเห่าพ่นพิษ
ป้องกันตัวเองเพราะคน วิวัฒนาการของงูเห่าพ่นพิษสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการมาเพื่อการรักษาเผ่าพันธุ์ให้ดำรงคงอยู่ยาวนาน การป้องกันตัวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีเพื่อเลี่ยงการโดนทำร้ายและการโดนจับกิน เรื่องของงูเห่าพ่นพิษ (Spitting cobra) ก็ฟังดูน่าสนใจไม่น้อย ที่ต้นกำเนิดพฤติกรรมป้องกันตัวนี้ อาจวิวัฒนาการมาเพื่อป้องกันศัตรูหนึ่งเดียว นั่นก็คือ มนุษย์นักวิจัยด้านสัตว์เลื้อยคลานและบรรพชีวินวิทยา พบว่างูเห่าพ่นพิษนั้นมีมุมองศาการพ่นพิษในลักษณะยิงพิษเข้าตาศัตรูจำพวกไพรเมตอย่างมนุษย์ แม่นกว่าใส่สัตว์ใหญ่อย่างม้าลายกับสิงโตเสียอีก อีกทั้งฟอสซิลงูเห่าพ่นพิษเก่าแก่ที่สุดก็พบในช่วงเวลาเดียวกับมนุษย์ยุคแรกที่เป็นพวกโฮมินิดส์ (Hominid) วิวัฒนาการอีกด้วย ซึ่งคาดว่างูเห่าพ่นพิษรุ่นแรกๆวิวัฒนาการแอฟริกาเพื่อป้องกันการปะทะกับมนุษย์ยุคแรกที่อาจจะเห็นตัวแล้วทำร้ายก่อนหรือจับกินก่อนมันจะเกี่ยวดองกับสาเหตุที่ทำให้วิวัฒนาการนี้ยังไง คำตอบคือ สัตว์หลายชนิดก็วิวัฒนาการมาเพื่อป้องกันการเจอมนุษย์เช่นกัน เป็นเรื่องของการเตือนและยับยั้งไม่ให้ศัตรูที่มีโอกาสกระชากร่างถอยออกไป สัตว์อื่นๆอาจจะฟังคำเตือนตอนแผ่แม่เบี้ย แต่ด้วยมนุษย์นั้นขี้สงสัยเกินไป การแผ่แม่เบี้ยเตือนอาจจะไม่เพียงพอ งูเห่าพ่นพิษจึงวิวัฒนาการเทคนิคป้องกันตัวเพิ่มนั่นเองแหล่งข้อมูลอ้างอิงPhylogenomics Clarifies the Origin of Spitting Cobras (Antonio Gandini)
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 25
อ่าน 6 ครั้ง

สูตรลับตำรับอสรพิษ เมนูแสนโปรดของงูแต่ละประเภท
งูกว่า 3,900-4,000 ชนิดบนโลกนี้ มีนิสัยการกินอาหารเป็นพวกกินเนื้อเป็นอาหารหลักเท่านั้น ซึ่งงูแต่ละชนิดมีนิสัยการกินชนิดเหยื่อที่แตกต่างกันตามกายภาพฟันขากรรไกร และสรีระวิทยาการย่อยอาหารเหยื่อประเภทนั้นๆ งูกินอาหารโดยไม่ต้องเคี้ยวแค่กลืนเข้าไปทั้งตัวแล้วรอกระบวนการย่อยอาหารด้วยการใช้พลังงานสำรองจากการขยับกล้ามเนื้อในร่างกายปรับอุณหภูมิสูงขึ้นเป็น 30 องศาเซลเซียสโดยเฉลี่ยให้ช่วยย่อยอาหาร ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ในการย่อยแล้วแต่ขนาดเหยื่อที่กินเข้าไป- งูที่กินหนูเป็นอาหารหลักอย่างพวกงูตระกูลไวเปอร์ (Viper) งูเห่า งูเหลือมและงูหลาม งูตระกูลโบอา งูสิงและงูทางมะพร้าว จัดการเหยื่อทั้งการฉกปล่อยพิษในงูพิษหรือรัดเหยื่อให้ตายในงูไม่มีพิษ- งูกาบหมากหางนิล แม้เป็นงูตระกูลเดียวกับงูสิงและงูทางมะพร้าว แต่ก็ชอบกินพวกค้างคาวตามถ้ำเป็นหลัก- งูจงอาง 4 ชนิด, งูแบนดี้ แบนดี้ (Bandy bandy) และงูตระกูลสามเหลี่ยม (Krait) กินงูชนิดอื่นๆเป็นอาหาร- งูก้นขบตัวเล็กอาศัยในหน้าดินและพื้นดินแฉะ กินพวกงู, เขียดงู และปลาไหลเป็นอาหาร- งูลายสาบคอแดง กินสัตว์จำพวกกบและคางคกเป็นอาหารหลักร่วมกับสัตว์อื่นๆ- งูปล้องทอง เป็นงูต้นไม้ที่แท้จะล่ากินสัตว์ฟันแทะด้วย แต่อาหารโดยทั่วไปเน้นพวกตระกูลนกเป็นหลักมากกว่า- งูเขียวพระอินทร์ เป็นงูต้นไม้ที่มีนิสัยชอบล่าและกินสัตว์จำพวกกิ้งก่าและจิ้งจก- งูกินไข่แอฟริกา มีกล้ามเนื้อกับปลายกระดูกสันหลังช่วงต้นคอที่ช่วยในการเจาะกินไข่แดงภายในเปลือกแข็งๆ- งูกินทาก ชอบกินพวกหอยทากเป็นอาหารหลัก- งูกระด้าง เป็นงูน้ำจืดที่มีอวัยวะตรงจับการเคลื่อนไหวของปลา จึงเป็นพวกสายล่าปลาเป็นอาหาร- งูดิน เป็นงูที่มีลักษณะการกินเป็นแบบดูดงับอาหาร จึงกินพวกมดและตัวอ่อนปลวกเป็นอาหารแหล่งข้อมูลอ้างอิง- Snake is the essential visual guide (DK)- Living Snakes of the World in Color. New York: Sterling Publishers- The thermogenesis of digestion in rattlesnakeshttps://journals.biologists.com/.../The-thermogenesis-of...- https://www.discoverwildlife.com/.../what-do-snakes-eat
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 31 ม.ค. 25
อ่าน 3 ครั้ง

"การลักลอบล่าสัตว์ อาชญากรรมระดับโลก"
ตั้งแต่การพบเจอลูกลิงกอริลล่าที่ราบต่ำตะวันตกในลังสินค้าแคบๆที่สนามบินนานาชาติประเทศตุรกี ซึ่งต้นทางมาจากประเทศไนจีเรียกำลังมุ่งหน้าไปปลายทางที่กรุงเทพ ประเทศไทย สร้างความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก ถือว่าเป็นการลักลอบล่าสัตว์หรือ "Poaching" หรือที่เราเรียกๆกันในภาษาชาวบ้านก็ "พรานเถื่อน" (Poacher) ซึ่งเป็นอาชญากรระดับโลกที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายที่ทั่วโลก และภัยคุกคามระดับชาติ- การลักลอบล่าสัตว์นั้นที่เราเห็นผ่านสื่อกันบ่อยๆมีทั้งงาช้างและนอแรดผิดกฎหมาย อวัยวะสัตว์ป่าต่างๆที่จะถูกนำไปทำยาแผนจีนโบราณและเครื่องประดับ รวมไปถึงการลักลอบนำสัตว์ป่าเป็นๆผ่านเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและผิดจรรยาบรรณในปริมาณมากๆ ซึ่งขึ้นกับจำนวนออเดอร์เสมือนสินค้า อย่างข่าวการลักลอบขนลีเมอร์และเต่าจากมาดากัสการ์โดยพ่อค้าเถื่อนจากอินโดนีเซียที่ส่งออเดอร์ให้ใครบางคนในไทย จำนวนกว่า 900 ตัว- การลักลอบล่าสัตว์นั้นแตกต่างจากการล่าปกติหรือล่าเพื่อกีฬา เสมือนคนกดออเดอร์ Art toy ตัวฮิตหลายตัว ผู้ว่าจ้างต้องการเท่าไรก็จะจ้างคนพื้นถิ่นลงมือจัดการเอง อยากได้งาช้างแอฟริกา 50 คู่ ก็ต้องล่าช้างทั้งหมดโขลงใหญ่รวมทั้งช้างวัยอ่อนที่งาเล็กก็เอาด้วย หรืออยากได้เกล็ดผิวของตัวนิ่ม 40 ตัวเอาไปทำซุปเกล็ดตัวนิ่มกระป๋องส่งขาย 500 กระป๋อง พวกเขาก็จะเอาปริมาณโดยไม่สนว่าสัตว์จะอยู่หรือตายแล้ว- ซึ่งรูปแบบการล่านี้ ทำให้สัตว์ป่าเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์รวดเร็วกว่าการล่าปกติหรือการล่าเพื่อกีฬาเสียอีก ลองนึกสภาพนายพรานกีฬายิงช้าง 1 ตัวยังแค่ช่วยคุมประชากรบางที่ แต่พรานเถื่อนที่ลักลอบล่าสัตว์จะทำให้ช้างหายไปจากพื้นที่นานเกือบ 10 ปีเลยเพราะไม่เหลือประชากรช้างมารักษาระบบนิเวศนั้นๆ- ในอดีตช่วงราวต้นปี 2000 การลักลอบล่าสัตว์นั้นแพร่ไปทั่วมากกว่า 80% ของทุกประเทศในโลก ประเทศไทยเองก็ถูกตีตราในสายตานานาชาติว่าเป็นตลาดมืดค้างาช้างแอฟริกาและสัตว์ตัวเป็นๆหลายชนิดเข้ามาอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว ในปี 2012 กรมอุทยานและหน่วยงานอนุรักษ์เกี่ยวข้องได้เพิ่มช้างแอฟริกาซาวันน่าเข้าไปในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองเพื่อป้องกันการค้างาช้างในประเทศไทย- แม้จะมีการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบค้างาช้างและนอแรดได้หลายคนในฝั่งจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็มีผู้มาใหม่เรื่อยๆ และการกระทำก็ค่อนข้างกินเส้นพวกคนทำหน้าที่อย่างผู้รักษากฎหมายและข้าราชการมีอิทธิพลในการปกปิดข้อมูลการนำเข้าสัตว์หรือชิ้นส่วนอวัยวะสัตว์ด้วย- แม้ทุกวันนี้การลักลอบล่าสัตว์จะยังไม่หมดไป แต่เราก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ ยอมรับว่า ผู้มีอิทธิพลบางคนที่เป็นนักธุรกิจเคยบอกบิวคุงว่า ต่อให้มีปากพูดก็ไม่มีใครฟังหรอก หากมีเงินนั่นแหละเขาฟังแน่นอน คำพูดแบบนี้มันฟังแล้วจี้ใจดำ แต่คนธรรมดาทั่วไปทำได้เพียงแค่แจ้งเบาะแสการพบเห็นการลักลอบล่าหรือค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายที่ดูไร้จรรยาบรรณ แจ้งให้หน่วยงานกรมอุทยานหรือหน่วยงาน CITES รับทราบการลักลอบ- ท้ายสุด การลักลอบล่าสัตว์นั้นถือเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรมและไร้ความเป็นมนุษย์ที่กระทำต่อสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่กำลังจะหายไปจากรุ่นลูกรุ่นหลาน ถ้าหากชีวิตลูกลิงกอริลล่าหนึ่งตัวเพื่อความร่ำรวยและมั่งคั่งๆบารมีของคนๆเดียว มันไม่มีค่าเลยเท่ากับลิงกอริลล่าในป่าที่จะส่งต่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้รู้จักและตระหนักการปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้ ! อย่าคิดว่าความรวยความแกลมที่ครอบครองทุกอย่างได้จะชนะเสมอไป- อย่านิ่งดูดาย แม้หลายคนบอกเราสู้พวกนี้ไม่ได้หรอก ผิดแล้วครับ เราสู้ได้ ขอแค่เป็นหูเป็นตากัน อย่าปล่อยให้การลักลอบล่าสัตว์ทำเพื่อเงิน แต่มันส่งผลเสียเป็นวงกว้างระดับโลก เลือกเอาว่า จะอยู่บนโลกที่ปราศจากช้างและกอริลล่าแล้วเห็นแต่ตัวสตั๊ฟฟ์ในพิพิธภัณฑ์กับตัวเป็นในสวนสัตว์ กับเห็นช้างและกอริลล่าในธรรมชาติ คิดว่าอันไหนคู่ควรที่สุด ถ้าเลือกอันแรก เท่ากับว่าคุณไม่แคร์โลกนี้เลย ก็ไม่ควรเกิดให้รกโลกด้วยซ้ำPIC CR. Daily sabah AAแหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://www.britannica.com/topic/poaching-lawhttps://wwf.panda.org/es/?225370/lastchanceforThailandhttps://www.thaipbs.or.th/news/content/199547https://www.bangkokbiznews.com/environment/1126918https://www.aljazeera.com/.../historic-operation-returns...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 30 ม.ค. 25
อ่าน 6 ครั้ง

"ชีวิตของสัตว์กินซาก ผู้รักษาสมดุลย์ของระบบนิเวศ"
ชายฝั่งแห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย เต่าหญ้าตัวหนึ่งเสียชีวิตจากการกินขยะเข้าไปจนแน่นและป่วยจนเสียชีวิต เมื่อความตายมาถึง ผู้กินซากก็ปรากฎตัว ตัวเหี้ย (Asian water monitor - 𝘝𝘢𝘳𝘢𝘯𝘶𝘴 𝘴𝘢𝘭𝘷𝘢𝘵𝘰𝘳) ได้กลิ่นเหม็นเน่าของซากเต่าลอยมาไกลจึงเข้าไปสำรวจที่มาแล้วก็ทำการลงมือกินเพื่อเก็บกวาดซากไม่ให้สูญเปล่าพวกมันถูกเรียกว่า "สัตว์กินซาก" (Scavenger) คือสัตว์ที่บริโภคซากพืชซากสัตว์ที่เริ่มตายหรือกำลังเน่าสลาย โดยสัตว์เหล่านี้จัดเป็นผู้สำคัญที่สุดในระบบนิเวศรองจากผู้ผลิต (พืช) เลยก็ว่าได้ โดยเป็นจำพวกผู้ย่อยสลาย (Decomposer) หากปราศจากผู้กินซากแล้ว ระบบนิเวศจะเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นสกปรก• สัตว์ที่กินซากพืชเป็นหลักก็จะเป็นพวกแมลงปีกแข็ง , ทาก , ปลวก , แมลงสาบและไส้เดือนดิน ส่วนพวกที่กินซากสัตว์ เช่นพวกแร้ง , ไฮยีน่า , แมลงวัน และแมลงกินเนื้อชนิดต่างๆ โดยพื้นฐานแล้วสัตว์ที่กินซากเป็นอาหารคือบรรดาสัตว์ที่คอยเก็บกวาดเศษเหลือและชิ้นส่วนของพืชและสัตว์ที่อาจก่อให้เกิดสิ่งปฏิกูลทับถมกันได้ หรือซ้ำร้ายอาจเกิดโรคของพืชและสัตว์แพร่ในระบบนิเวศได้ถ้าไม่มีผู้กินซาก• สัตว์กินซากสัตว์เป็นอาหาร มักมีการพัฒนาอวัยวะให้เหมาะสมแก่การกินซาก ตัวอย่างเช่นอีแร้งชนิดต่างๆ รู้หรือไม่ครับว่า อีแร้งแต่ละชนิดมีรูปทรงจะงอยปากแตกต่างกัน แร้งหน้าย่น (Lappet-faced vulture) มีจะงอยปากหนาไว้ฉีกหนัง ส่วนแร้งหลังขาว (White-backed vulture) มีจะงอยปากยาวเรียวไว้จิกดึงชิ้นส่วนเนื้อ และแร้งฮู้ด (Hooded vulture) มีจะงอยปากแคบเหมือนไม้จิ้มฟันสำหรับจิกกินเศษเนื้อและไขสันหลัง• สัตว์ที่กินซากสัตว์เป็นอาหารมักมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่มีประสิทธิภาะในการต่อต้านปรสิต แบคทีเรียและไวรัสจากสิ่งมีชีวิตที่มันกินเข้าไป อย่างกระเพาะของไฮยีน่าลายจุด (Spotted hyena) และบรรดาอีแร้งหลายชนิดมีน้ำกรดที่แรงถึงระดับค่า ph = 2 พอจะย่อยสลายเชื้อแอนแทรกซ์ได้ หรือแม้แต่อาจจะทนทานต่อเนื้อที่ติดเชื้อโควิด-19 ได้• สัตว์กินซากบางชนิดใช้ซากสัตว์ในการขยายพันธุ์และวางไข่ให้ตัวอ่อนมีแหล่งอาหารกิน อย่างเช่นแมลงวัน เมื่อตัวแมลงวันเกาะบนซากสัตว์ พวกมันจะวางไข่ปริมาณมากลงในซากสัตว์ แล้วบรรดาหนอนแมลงวันจะฟักออกมาภายหลัง 1 วัน !! แล้วตัวอ่อนหนอนแมลงวันนี้จะกินซากสัตว์แบบเผาผลาญรวดเร็ว ซึ่งพวกมันใช้ระยะเวลา 14 วันในการเจริญเติบโต• ในบางครั้ง สัตว์ที่มีสถานะเป็นผู้ล่าก็มีพฤติกรรมกินซากด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น จระเข้ ซึ่งปกติจระเข้เป็นนักล่าแห่งคุ้งน้ำ แต่เมื่อมีเหยื่อขนาดใหญ่ตายลงในริมน้ำ จระเข้จำนวนมากจะเข้าสนใจกินอาหารจากซากที่หลงเหลือเสมือนเป็นบุฟเฟ่ต์ที่มีไม่บ่อยพวกสัตว์กินซากแม้จะดูน่ารังเกียจ แต่พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วสำคัญต่อระบบนิเวศในธรรมชาติ ปราศจากพวกนี้ก็ไม่มีทางที่ระบบนิเวศจะมีความสมดุลย์ สัตว์เหล่านี้เป็นผู้ดำเนินการตามหนทางของการคัดเลือกโดยธรรมชาติPic CR. Robin BiswasReferenceScavenger National GeographicScavengers: What are they, why are they important and just how do scavengers find their food? All your questions answeredScavenger Animalia
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 30 ม.ค. 25
อ่าน 3 ครั้ง

10 เรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "งูไทย"
เนื่องด้วยปีนี้เป็นปีมะเส็งหรือปีงูเล็ก แอดมินเลยอยากเล่าเรื่องที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับงูไทยทั้งสิ้น 10 เรื่องยอดฮิตมาให้ทุกคนในกลุ่มนี่ตัวอะไรทำความเข้าใจกันใหม่ครับ บางคนคิดว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้จนทำให้เกิดข้อมูลผิดพลาดกันแบบปากต่อปาก ข้อความต่อข้อความกันอย่างไม่มีอ้างอิงกัน งั้นไปดูกันเลยว่า 10 เรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดกันมีอะไรบ้าง1.งูจงอางร้องไม่ได้ : คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่างูจงอางร้องเสียงเหมือนไก่หรือเสียงหัวเราะ แต่อันที่จริงแล้วงูจงอางร้องไม่ได้เหมือนงูทุกชนิด เพราะงูนั้นไม่มีเส้นเสียงและกล่องเสึยงในการเปล่งเสียงร้องนั่นเอง2.งูทะเลไม่ได้กัดคนตายทุกครั้งที่ได้พิษ : งูทะเลเป็นงูที่มีโอกาสกัดแห้งสูงกว่ากัดได้น้ำพิษ เนื่องด้วยเขี้ยวและปากนั้นมีขนาดเล็กเพื่อจับสัตว์น้ำกินเป็นอาหาร แถมพิษออกฤทธิ์ช้ามาก ดังนั้นเมื่อถูกงูทะเลกัดควรไปหาหมอเพื่อรักษาตามอาการทันที ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 ของเคสงูทะเลกัดแล้วเสียชีวิต3.งูทางมะพร้าวมีฟัน ! : หลายคนมักชอบล้อหรือตั้งฉายาให้กับงูทางมะพร้าวว่า "เหงือก" เพราะงูชนิดนี้เวลาอ้าปากบางคนเห็นแต่เหงือขากรรไกรขาวๆ แต่จริงๆแล้วงูทางมะพร้าวมีฟันคมกริบมาก กัดทีก็ทำให้เกิดบาดแผลได้เช่นกัน4.งูที่สีสันจัดจ้านสวยงามไม่ได้เป็นงูพิษเสมอไป : คนไทยชอบเข้าใจว่า งูที่มีสีสันสวยๆมักเป็นงูอันตราย ทว่าความจริงแล้วงูไม่มีพิษในไทยหลายชนิดก็สีสันสวยงามไม่แพ้เช่น งูเขียวกาบหมาก5.งูเหลือมในธรรมชาติของไทยเขมือบคนไม่ได้ : เนื่องด้วยมีข่าวงูเหลือมเขมือบคนในเกาะห่างไกลของอินโดนีเซียหลายครั้งเลยทำให้คนไทยหวาดกลัวงูเหลือมมากินคน ซึ่งงูเหลือมในธรรมชาติไทยนั้นตัวยาวเฉลี่ยไม่เกิน 3 เมตรกัน ซึ่งงูเหลือมป่าที่เขมือบคนได้ต้องสัมพันธ์กับขนาดของงูเท่านั้น ซึ่งในอินโดนีเซีย งูเหลือมหลายเกาะตัวใหญ่กว่าคนหลายเท่าอยู่พอประมาณ6.ประเทศไทยมีชนิดงูพิษน้อยกว่างูไม่มีพิษ : เทียบสัดส่วนของชนิดพันธุ์แล้ว งูมีพิษร้ายแรงในประเทศไทยนั้นมีไม่ถึง 70 ชนิด แต่งูไม่มีพิษมีเกือบ 200 กว่าชนิด !7.งูแสงอาทิตย์เป็นงูไม่มีพิษ : คนไทยบางส่วนยังคงเข้าใจผิดว่างูแสงอาทิตย์เป็นงูมีพิษ แม้เรื่องนี้หลายคนจะเข้าใจกันหมดแล้ว แต่ก็มีบางคนยังคงเข้าใจแบบนั้นอยู่ไม่เสื่อมคลายมานานแสนนาน8.ไม่มีพืชหรือต้นไม้ชนิดไหนที่กันงูเข้าบ้านได้ : ต่อให้มีคนปลูกเสล็ดพังพอน ลิ้นมังกร หรือฟ้าทะลายโจรที่มีการกล่าวว่าใช้ไล่งูได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ต้นไม้อะไรก็กันงูไม่ได้สักชนิดเดียวครับ9.งูพิษไม่สามารถผสมกับงูไม่มีพิษ : คนไทยมักมีความเชื่อว่า งูเห่าสามารถผสมพันธุ์กับงูสิงแล้วออกลูกมาเป็นงูพิษร้ายแรงได้ ความเป็นจริงแล้วงูไม่สามารถผสมข้ามจำพวกได้ ยกเว้นงูที่มีลักษณะทางสกุลร่วมเหมือนกัน อย่างงูเหลือมและงูหลาม สามารถผสมออกมาเป็น Bateater ได้10.งูอาฆาตไม่ได้ : คนไทยคิดว่างูนั้นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็เป็นปีศาจที่มันมีจิตอาฆาตมาตามฆ่าล้างคนในบ้านที่ทำร้ายคู่รักมัน ความจริงแล้วการที่งูตัวนึงไปโผล่บ้านคนได้อาจเป็นเพราะมันตามกลิ่นฟีโรโมนของงูตัวที่ตายก่อนหน้ามาถึงบ้านก็เป็นได้นั่นเองReference10 ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับ "งู" (Species Index)SuperSCI: ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับงูhttps://mgronline.com/science/detail/9570000109460‘สวัสดีปีงูเล็ก’ ชวนรู้จัก 10 เรื่อง(ไม่)ลับ ฉบับคนกลัวงูห้ามพลาด!https://www.seub.or.th/bloging/knowledge/2025-1/งูทะเล - คลังข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งhttps://km.dmcr.go.th/c_280Simple Science I ง.งู ไม่ใช่ผู้ร้าย ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงู
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25
อ่าน 6 ครั้ง

การนอกใจของสัตว์
ในภาพนี้อาจจะดูโรแมนติกของคู่รักนกเพนกวินอะเดลี่ (Adélie penguin - 𝘗𝘺𝘨𝘰𝘴𝘤𝘦𝘭𝘪𝘴 𝘢𝘥𝘦𝘭𝘪𝘢𝘦) กำลังผสมพันธุ์กัน แต่ความจริงแล้ว เจ้าเพนกวินตัวเมียกำลังแสดงพฤติกรรมนอกใจตัวผู้เพื่อการสร้างรังแบบที่ตัวผู้ไม่รู้ โดยนกเพนกวินอะเดลี่ตัวเมียส่วนมากมีพฤติกรรมไซด์ไลน์ (ขอใช้คำนี้เพราะดูไม่ลามกเกินไป) โดยแลกกับหินสร้างรังที่ดีที่สุดจากตัวผู้ตัวอื่นๆ และถ้าคู่มันกลับมาเห็นก็จะทำการไล่เจ้าตัวผู้ที่มาขึ้นคร่อมตัวเมียในโลกของสัตว์นั้น การนอกใจมักเกิดขึ้นในหมู่สัตว์สังคมอย่างนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่างใกล้ตัวสุดที่พวกเราเห็นกันบ่อยๆก็มีมนุษย์นี่แหละ แต่สัตว์อื่นๆก็มีพฤติกรรมนี้เช่นกัน การนอกใจและการคบชู้ ฟังดูเป็นเรื่องธรรมชาติของสัตว์• สัตว์ที่จะแสดงพฤติกรรมนอกใจหรือมีชู้ได้ จะเกิดกับสัตว์ที่มีลักษณะจับคู่แบบ Monogamy หรือจับคู่เพียงตัวเดียว แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยกับสัตว์ที่เป็น Lifelong monogamy หรือสัตว์ที่จับคู่เดียวตลอดชีวิต ดังนั้นสัตว์อย่างนกเงือก และ นกกระเรียนน้อยมากที่จะมีการนอกใจกัน ถึงมีแต่ก็โอกาสน้อย เช่นกรณีของนกเงือกบางชนิดที่แอบแซ่บเมียน้อยห่างจากรังเมียหลวงไปหลายกิโลเมตร• สัตว์บางชนิดคบชู้หรือมีแฟนตัวอื่นนอกคู่รักก็เพราะด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมหรือที่อยู่อาศัยเริ่มขัดสน อย่างเช่น ชะนีมือขาว (Lar gibbon) ตัวเมียนั้นมีพฤติกรรมในการนอกใจสามีตัวเองเพราะด้วยเรื่องของแหล่งอาหาร เลยมีการแอบคบกับตัวผู้ตัวอื่นเพื่อแหล่งอาหารที่ดีกว่าและค่อยๆแยกความสัมพันธ์กับตัวผู้คู่เดิมแบบช้าๆ• สัตว์บางชนิดก็แสดงความอยากเป็นเจ้าของคู่ของตัวนั้นๆด้วยกำลังก็มีเช่นกัน มีนกเพนกวินชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า นกเพนกวินแมกเจลแลน (Magellanic Penguin) ตัวผู้ที่เป็นชู้รักแสดงพฤติกรรมต่อหน้าต่อตาสามีเดิม บางทีก็มีการปะทะกันจนเลือดอาบ แต่ถึงกระนั้น 80% ของผลการปะทะ ตัวเมียก็ยังจะเลือกชู้มากกว่าคู่ตัวเอง ! เพราะมันคือการตัดสินใจของตัวเมีย• ในมนุษย์นั้น การนอกใจคู่หรือการแอบมีชู้ กิ๊ก เมียน้อย และอื่นๆเป็นเรื่องธรรมชาติ เนื่องด้วยมนุษย์เป็นไพรเมตลักษณะสังคมแบบ Polygamy (และ Polyandry) แต่ที่ส่วนมากเป็นคู่ๆก็ด้วยเรื่องของกฎหมายและการควบคุมความสงบในสังคมนั่นเอง บ้างก็ธรรมเนียมแบบคลุมถุงชน บ้างก็เป็นรักแบบสมัครใจ บ้างก็เป็นรักแบบเพื่อสังคม แต่ความจริงแล้ว โดยพฤติกรรมแล้ว มนุษย์ก็มีช่วงหมดรักและอยากแซ่บกับคนใหม่ทุกเวลาเสมอReferencePenguin Prostitution by Penguin worldhttps://www.penguinworld.com/features/prostitution.htmlInfidelity Common Among Birds and Mammals, Experts Sayhttps://www.nytimes.com/.../infidelity-common-among-birds...นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 354 สิงหาคม 2557 "เรื่องรัก" และ "เรื่องลับ" ของชะนีที่เขาใหญ่Homewrecking Penguin | Animal Fight Night (Original)Humans are made to be polygamoushttps://medium.com/.../humans-are-made-to-be-polygamous...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25
อ่าน 6 ครั้ง

"งูกินหาง" 🐍 ความเชื่องมงายที่มนุษย์สร้างขึ้น
กระแสเรื่องของงูกินหางกลับมาอีกครั้งเมื่อมีข่าวออกและมีคนพบเจอเป็นเครื่องรางของขลังนานนับปึ ซึ่งจริงๆแล้ว ความเชื่อเรื่องงูกินหางนั้นเป็นความเชื่อสุดงมงายที่มนุษย์สร้างขึ้นมาโดยการกล่าวอ้างเรื่องความโชคลาภและสิริมงคล วันนี้แอดบิวจะขอเล่าเรื่องงูกินหางในแง่ชีววิทยาและความเชื่องมงายควบคู่กันครับ ความเชื่อ ในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกนั้น งูกินหางหรือโอโรโบรอส (Ouroboros) เป็นชื่อเรียกพฤติกรรมของงูที่กินตัวเองจากทางหางเข้าไปจนกลายเป็นห่วงกลมๆ มีปรากฏอยู่ในตำนานของหลายประเทศ เช่น เม็กซิโก อียิปต์ หรือแม้กระทั่งประเทศไทย ซึ่งในแง่ความเชื่อนั้น คนมักเชื่อเรื่องนี้ในแง่ของความไม่สิ้นสุดคนไทยที่เดิมทีเป็นประเทศที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมายาวนานแต่อดีต ก็จะมองเรื่องนี้เป็นสิริมงคลที่ห้ามลบหลู่ดูแคลน คนไทยจะเรียกกันอีกชื่อว่า "บ่วงนาคบาศ" ที่เชื่อกันว่าเป็นเมตตามหานิยม ใครมีจะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย ค้าขายดี รุ่งเรือง มีกินมีใช้ไม่มีวันอด แถมยังพ่วงท้ายมาด้วยข้อเด่นเรื่องการเสี่ยงโชค มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามแต่ มันแค่ความเชื่อที่คนไทยคิดกันมาเองล้วนๆ ชีววิทยาอย่างในภาพนี้เป็นรูปแบบผิดธรรมชาติมาก เพราะงูกลืนลำตัวไปจนเกือบถึงช่วงกระเพาะอาหาร ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่คนตัดส่วนงูออกครึ่งนึงแล้วยัดเข้าไปขณะเข้ากระบวนสตั๊ฟฟ์ร่างเอาไว้แล้วมาทำเครื่องราง เลยทำให้ไม่เป็นกระบวนการในแบบธรรมชาติในด้านพฤติกรรมแล้ว งูที่กัดหรืองับหางตัวเองนั้น มันจะเกิดจากภาวะความเครียดของงู หรืออีกกรณีก็อาจจะเป็นภาวะทางระบบประสาท ในโลกของสัตว์ไม่ใช่เฉพาะงูแม้กระทั่งสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่เวลามีความเครียดมากๆ หรือว่ามีปัญหาทางระบบประสาทก็สามารถทำร้ายตัวเองได้ แม้กระทั่งมนุษย์ก็สามารถเป็นไปได้เช่นกันดังนั้นหลักการทางธรรมชาตินั้นไม่ได้เป็นแบบงูกินหางที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อตบตาคนที่เชื่ออะไรต่างๆได้ง่ายดายนั่นเอง ควรมีการให้ข้อมูลและวิจารณญาณกันในหมู่คนรอบตัวกันให้มากๆReference"งูกินหาง" สู่ "บ่วงนาคบาศ" แค่งูป่วย หรือคนสร้าง หลอกผู้ศรัทธาว่าของขลังhttps://www.komchadluek.net/news/505133Ouroboros – The Snake That Bites Its Own Tailhttps://www.petmd.com/.../ouroboros-snake-bites-its-own-tailWhy Do Snakes Eat Themselves?https://www.discovermagazine.com/.../why-do-snakes-eat...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25
อ่าน 3 ครั้ง

"สัตว์โลกไซด์ไลน์" ชีวิตรักแบบมีเงื่อนไขชั่วคราว
คำเตือน เนื้อหาต่อไปนี้เป็นความรู้เกี่ยวกับโลกของสัตว์ที่เหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุกว่า 18 ปีขึ้นไป เนื่องด้วยอาจมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ ผู้อ่านที่อายุน้อยกว่า 18 ปี ควรได้รับการแนะนำและมีผู้ปกครองอ่านให้เชิงความรู้ และงดการคอมเม้นต์เชิงตลกทุกข้อเพื่อรับความรู้กันนะครับในโลกของสัตว์ อะไรก็เกิดขึ้นได้ พฤติกรรมที่ดูคล้ายกับมนุษย์เราก็มีอยู่ไม่น้อยครับ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงสุดๆคือสัตว์บางพวก มีพฤติกรรมไซด์ไลน์กันในหมู่สัตว์พวกเดียวกันเองด้วย ความต้องการทางเพศของตัวเมียที่ต้องได้รับสิ่งตอบแทน บางชนิดทำเพื่ออาหาร บางชนิดทำเพื่อความอยู่รอด และบางชนิดก็เพื่อสถานะสังคมที่เท่าเทียมกัน ถ้าพร้อมกันแล้วก็ไปทำความรู้จักกับโลกย่านโคมแดงของสัตว์โลกไซด์ไลน์กันครับ• นักชีววิทยากล่าวว่า โลกนี้มีสัตว์ที่มีพฤติกรรมไซด์ไลน์ในสังคมกันเองอย่างทางการคือ 6 ชนิดเท่านั้น ซึ่งจะมีอยู่แค่ 4 ชนิดที่เป็นสัตว์สังคมใหญ่ อีก 2 ชนิดคือสัตว์ที่อาศัยตามลำพัง ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางเพศที่มีข้อแลกเปลี่ยนโดยไร้การผูกมัด สัตว์ทั้ง 6 ชนิดทำเพื่อการแลกเปลี่ยนในด้านความสุข, อาหาร, สถานะสังคม และการอยู่รอด ซึ่งการแลกเปลี่ยนจะมาในรูปแบบของเงิน, อาหาร, วัตถุที่มีค่าในชนิดนั้นๆ หรือแม้แต่จ่ายด้วยน้ำเชื้อก็มีเช่นกัน• สัตว์ชนิดแรก เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงครับว่ามีพฤติกรรมนี้ มันคือด้วงที่เรียกว่า "Seed beetle" ซึ่งในโลกนี้มีหลายชนิด แต่ชนิดหนึ่งในทะเลทรายสะฮาร่าที่ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า "𝘊𝘢𝘭𝘭𝘰𝘴𝘰𝘣𝘳𝘶𝘤𝘩𝘶𝘴 𝘮𝘢𝘤𝘶𝘭𝘢𝘵𝘶𝘴"มีพฤติกรรมนี้ ด้วงตัวเมียที่กำลังเริ่มขาดน้ำจะปล่อยฟีโรโมนออกมาจากร่างกาย แล้วดึงดูดให้ตัวผู้ตัวอื่นโดยรอบมาสนใจมัน จากนั้นตัวผู้จะเข้ามาผสมพันธุ์อย่างรวดเร็ว ตัวเมียจะคอยกินน้ำเชื้อของตัวผู้ที่เป็นค่าตอบแทนเพื่อให้ได้น้ำและอาหารเพื่ออยู่รอดไป !• นกก็มีพฤติกรรมไซด์ไลน์ นกฮัมมิ่งเบิร์ดคาริบอกม่วง (Purple-throated carib - 𝘌𝘶𝘭𝘢𝘮𝘱𝘪𝘴 𝘫𝘶𝘨𝘶𝘭𝘢𝘳𝘪𝘴) ตัวผู้มีความสามารถในการกินอาหารได้ดีกว่า ตัวเมียบางตัวจึงหาวิธีลัดโดยไม่ต้องออกแรงบินตอดน้ำหวานจากดอกไม้ให้เหนื่อย มันส่งเสียงเหมือนกำลังอยากผสมพันธุ์ ตัวผู้ที่สนใจจะบินเข้ามาคร่อมตัวเมียพร้อมกับเอาปากยื่นไปประกบปากของตัวเมียแล้วส่งน้ำหวานที่กินเป็นค่าตอบแทนให้ตัวเมียปริมาณครึ่งหนึ่ง ! ทำแบบนี้หลายครั้งจนกว่าตัวเมียจะพอใจแล้วบินจากไป• ที่กล่าวไปสองตัวคือสัตว์ที่อยู่ตามลำพัง ต่อจากนี้คือสัตว์ที่มีสังคมกันบ้าง เชิญพบกับนกเพนกวินอะเดลี่ (Adélie penguin - 𝘗𝘺𝘨𝘰𝘴𝘤𝘦𝘭𝘪𝘴 𝘢𝘥𝘦𝘭𝘪𝘢𝘦) จากเขตหนาวของแอนตาร์กติก นกเพนกวินที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูก็มีพฤติกรรมนี้ โดยนกตัวเมียที่แสดงพฤติกรรมนี้ก็เพื่อสะสมก้อนหิน ก้อนหินคือวัตถุมีค่าสำหรับเพนกวิน นกเพนกวินอะเดลีแต่ละคู่จะเก็บก้อนหินมาสร้างรังกันเพื่อเลี้ยงลูก โดยตัวผู้มีหน้าที่คุ้มกันและเลือกก้อนหินมาให้ตัวเมีย ส่วนตัวเมียก็มีพฤติกรรมหาหินแบบพิสดารแบบอ้อมๆ• พฤติกรรมไซด์ไลน์ของเพนกวินอะเดลีเกิดขึ้นในนกที่มีคู่ ! ยังไงละเนี่ยนกมีคู่แล้วมาขายตัวเองให้ตัวผู้รอบๆ โดยขั้นตอนนั้น ตัวเมียจะรอจังหวะคู่ของมันเดินหันหลังแล้วพ้นระยะสายตา ตัวเมียจะทำท่าอ่อยเรียกตัวผู้อื่นมาผสมพันธุ์ โดยแลกเปลี่ยนเป็นก้อนหินมาให้กับตัวเมีย แล้วก็ผสมพันธุ์กันปกติ จากนั้นตัวเมียที่สร้างรังเฉยๆก็จะได้ก้อนหินเป็นอย่างต่ำถึง 62 ก้อนก็สร้างรังได้ ! คู่ของมันแทบไม่รู้เลยว่าตัวเมียสร้างรังเก่งแค่ไหน สาย NTR หรือสายนอกใจสามีถูกใจสิ่งนี้• ชนิดต่อมาคือลิงคาปูชินหน้าขาว (White faced capuchin - 𝘊𝘦𝘣𝘶𝘴 𝘤𝘢𝘱𝘶𝘤𝘪𝘯𝘶𝘴) พฤติกรรมนี้บันทึกโดยนักวิทยาศาสตร์ของ YNH Hospital เขาต้องการศึกษาพฤติกรรมเศรษฐศาสตร์ (Economic behavior) ในลิงคาปูชินที่ได้ชื่อว่าลิงมีหางที่ฉลาดที่สุดในโลก โดยการใช้แผ่นดิสเป็นเสมือนเงินแลกเปลี่ยนผลไม้ในสังคมลิงคาปูชิน ปรากฎว่าวันนึง พวกลิงกลับเอาแผ่นดิสไปใช้แลกเปลี่ยนเซ็กส์กับตัวเมียแทน บ่งบอกว่าลิงคาปูชินเองก็รู้วิธีหาความสุขใส่ตัวแบบมีของแลกเปลี่ยนได้ !- ลิงชิมแปนซีธรรมดา (Common chimpanzee - 𝘗𝘢𝘯 𝘵𝘳𝘰𝘨𝘭𝘰𝘥𝘺𝘵𝘦𝘴) และ ลิงโบโนโบ้ (Bonobo - 𝘗𝘢𝘯 𝘱𝘢𝘯𝘪𝘴𝘤𝘶𝘴) คือสองลิงเอปที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุด พวกมันเองก็มีพฤติกรรมไซด์ไลน์ด้วยเช่นกัน โดยงานวิจัยจะเด่นในลิงชิมแปนซีที่สุด ลิงชิมแปนซีตัวผู้จะใช้เนื้อสัตว์ที่หามาได้แลกเปลี่ยนการมีเซ็กส์กับตัวเมีย โดยมีบันทึกว่า พฤติกรรมนี้ตลอดการวิจัยพวกลิงตัวผู้ทำกับลิงไซด์ไลน์สาวมากถึง 200 กว่าครั้ง ไม่ใช่การผสมพันธุ์ปกติแล้วแต่มีการแลกเปลี่ยนวัตถุกันเพื่อสิ่งนั้น ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อสถานะสังคมและการกระชับมิตร เพราะลิงชิมแปนซีตัวเมียคือหน้าใหม่ของฝูง การทำให้ถูกใจลิงตัวอื่นๆก็ต้องมีพฤติกรรมนี้บ้างเพื่อความเท่าเทียมกับลิงตัวเมียตัวอื่นๆ- ลิงโบโนโบ้ก็ไม่ต่างกับลิงชิมแปนซี ที่ตัวผู้เอาเนื้อมาแลกเปลี่ยนกับเซ็กส์ แต่ท่าทางของลิงโบโนโบ้ในการร่วมเพศนั้นพิสดารกว่าลิงชิมแปนซีธรรมดามาก ตรงที่มันสามารถทำท่าอะไรก็ได้กับลิงตัวเมีย ซึ่งจะไม่พบในลิงชิมแปนซีธรรมดาครับ นักชีววิทยากล่าวว่าลิงโบโนโบ้คือลิงเอปที่สามารถแสดงพฤติกรรมทางเพศเหมือนกับมนุษย์มากสุด- มนุษย์คือสัตว์ชนิดสุดท้ายในเรื่องนี้ที่มีพฤติกรรมไซด์ไลน์ แม้ว่าเรื่องของไซด์ไลน์คือการผิดจริยธรรมของคนมีคู่แล้วก็ตาม แต่ในทางกลับกัน บางมุมมองของประเทศต่างๆมองว่าไซด์ไลน์ก็เป็นอาชีพที่ทำเพื่อความอยู่รอดของแต่ละคน เงื่อนไขคือต้อง Safe sex ทำอะไรได้บ้างขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานและการรักษาเนื้อรักษาตัวของผู้หญิงด้วย บางคนจูบได้ บางคนไม่ขอมีเซ็กส์ทางหลัง หากต้องการต้องมี Option เพิ่มด้วยต้องแลกด้วยวัตถุคือเงิน- จากที่กล่าวมาทั้งหมด สัตว์ทั้ง 6 ชนิดล้วนแล้วทำตามหลักทฤษฎีพฤติกรรมแบบมีเงื่อนไข (Conditioning Behavior) เงื่อนไขคือวัตถุที่จะทำเพื่อให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ ด้วงทำเพื่อให้อยู่รอด นกฮัมมิ่งเบิร์ดทำให้ได้อิ่มท้อง นกเพนกวินทำเพื่อให้สร้างรังไวขึ้นและระบายอารมณ์ และพวกไพรเมตทำเพื่อความสุข , สถานะสังคม และการใช้ชีวิต ไม่แน่ในอนาคตอาจมีการศึกษาเพิ่มเติมในสัตว์อื่นๆอีกก็เป็นได้ReferenceAnimal life , Chapter sex and reproduction by Dk republishingสัตว์โลกสัปดน โดย Salmons BookThe Red Light Forest – Prostitution in the Animal Worldhttps://www.zmescience.com/.../anim.../prostitution-animals/How scientists taught monkeys the concept of money. Not long after, the first prostitute monkey appearedhttps://www.zmescience.com/.../how-scientists-tught.../Female seed beetles, Callosobruchus maculatus, remate for male-supplied water rather than ejaculate nutritionhttps://link.springer.com/article/10.1007/s00265-009-0711-z“Prostitution” Behavior in a Tropical Hummingbirdhttps://academic.oup.com/.../article.../77/2/140/5205491Chimps Barter for Sexhttps://www.livescience.com/3462-chimps-barter-sex.html
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25
อ่าน 1 ครั้ง

สัตว์ป่าเมืองจีน 🐼 ความมหัศจรรย์จากแดนมังกร
รู้หรือไม่ ?- จีนมีกาเซลล์ แอนทีโลป อูฐ ม้าป่า และลาป่าที่ทะเลทรายทางตะวันตกของประเทศ- มีกวางที่หน้าตาผสมระหว่างวัว ลา และกวางรวมกัน - ลิงจมูกเชิดสีทองมีความคล้ายคลึงต้นแบบซุนหงอคงมากสุด- หมีแพนด้ายักษ์พ้นสภาพการเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์แล้ววันนี้เป็นวันของเทศกาลตรุษจีน ตัวแอดบิวก็นึกอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ป่าของประเทศจีนขึ้นมาแบบคร่าวๆครับ วันนี้พิเศษเลยจะมาเล่าเรื่องสัตว์ป่าเมืองจีนและยกตัวอย่างชนิดที่น่าสนใจให้ไปค้นหากันสำหรับคนที่สนใจ • ประเทศจีนมีสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด บางชนิดเป็นสัตว์ถิ่นเดียวที่พบได้เฉพาะในดินแดนนี้ โดยมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 562 ชนิด นก 1,269 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 403 ชนิด สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 346 ชนิด และ ปลาอีก 4,936 ชนิด ซึ่งรวมทั้งสิ้นมีสัตว์มีกระดูกสันหลังมากถึง 7,516 ชนิด • ประเทศจีนเป็นบ้านของสัตว์ใหญ่มากมาย อาทิ- แพนด้ายักษ์ (Giant panda) - อูฐสองโหนก (Bactrain camel) - ช้างเอเชีย (Asian elephant) - เสือดาวหิมะ (Snow leopard) - เสือโคร่งไซบีเรีย (Siberian tiger) - จามรี (Yak) - แรดขาวถิ่นใต้ (Southern white rhinoceros) (นำเข้ามาปล่อยสู่ระบบนิเวศในเขตสงวนแห่งหนึ่งในมณฑลยูนนาน) - ซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน (Chinese giant salamander)- นกกระเรียนมงกุฎแดง (Red-crowned crane) ฯลฯ • บางชนิดเป็นสัตว์แปลกที่ใครต่างก็ไม่เชื่อว่าจะมีอยู่จริงในประเทศจีน บางตัวอย่างกับหลุดมาจากเทพนิยาย อาทิ: - ลิงจมูกเชิดสีทอง (Golden-snub nosed monkey)- อัลลิเกเตอร์จีน (Chinese alligator)- ไก่ฟ้าเทมมิ้นทาโกแพน (Temminck's tragopan) - กาเซลล์หางดำหรือกาเซลล์คอพอก (Goitered gazelle) - กวางเพียร์เดวิด (Pere's david deer) - แพนด้าแดง (Red panda)- ทาคินสีทอง (Goldan takin) - แมวป่าพัลลัส (Pallas's cat)- สุนัขจิ้งจอกทิเบต (Tibetan sand fox) - โลมาแม่น้ำไบจิ (Baiji) (สูญพันธุ์ไปแล้ว) ฯลฯ• และสัตว์บางชนิดก็กำลังถูกคุกคามทั้งจากการล่า การทำลายถิ่นอยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ - ตัวนิ่มจีน (Chinese pangolin)- เสือลายเมฆ (Clouded leopard) - ตัวกุยหรือไซก้าแอนทีโลป (Saiga antelope)- ม้าป่าเปรเซวัสกี้ (Przewalski horse)- พะยูน (Dugong)- ชะนีแก้มขาวถิ่นเหนือ (Northern white-cheeked gibbon)- หมีควาย (Asiatic black bear) - โลมาหัวบาตรหลังเรียบ (Finless porpise) ฯลฯ- แม้ทุกวันนี้ สัตว์ป่าในประเทศจีนกำลังถูกคุกคาม แต่หน่วยงานกับคนรุ่นใหม่ๆเริ่มมีกระแสการอนุรักษ์สัตว์ป่าพื้นถิ่นและสร้างค่านิยมด้านสัตว์ป่าใหม่ๆเสมอ เราก็ควรรู้คุณค่าของสัตว์ป่าและการอนุรักษ์สัตว์ในถิ่นที่อยู่มากขึ้นเช่นเดียวกัน
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 29 ม.ค. 25
อ่าน 0 ครั้ง