

ทำไมต้องเลี้ยง "งูบอลไพธ่อน"?
🐍 ทำไมใครๆ ถึงหลงรัก “งูบอลไพธ่อน”?เหตุผลที่คุณอาจรู้สึกว่า… เอ๊ะ น่าเลี้ยงแฮะ!ถ้าพูดถึงสัตว์เลี้ยงสุดคูลที่ไม่ต้องมอมมือ ไม่ต้องวิ่งไล่จับ และไม่ต้องพาไปเดินเล่นตอนฝนตก “งูบอลไพธ่อน” คือหนึ่งในตัวเลือกที่หลายคนบนโลก Exotic ยกให้เป็น อันดับ 1 ในใจ ❤️🔥วันนี้จะพาไปรู้จักเสน่ห์แบบเรียลๆ ว่า ทำไมถึงต้องเลี้ยงงูบอล?ขอบอกเลยว่า พอรู้แล้ว… อาจอยากมีสักตัว✨ 1. หน้าตาน่ารักกว่าที่คิดงูบอลไม่ได้น่ากลัว! เจ้านี่หน้ากลม ตาใส จมูกมนๆ เวลาเขาม้วนตัวเป็นก้อนบอลคือที่สุดของความคิวท์ เหมือนสัตว์เลี้ยงที่มีความ “ขี้อาย แต่สุภาพ” ดูไปนานๆ แล้วใจอ่อนเฉยเลย🎨 2. มีมอร์ฟให้สะสมเพียบความสนุกของงูบอลคือ มีลายและสีให้เลือกเกิน 500+ มอร์ฟแบบไม่รวมมอร์ฟที่รวมกันอีกตั้งแต่โทนอุ่นแบบ Banana, ลุคเข้มแบบ Cinnamon ไปจนถึงลุคแฟนตาซีแบบ Pied มันคือโลกของนักสะสมที่ไม่มีวันจบจริงๆ🧘♂️ 3. ไม่เสียงดัง ไม่วุ่นวายงูบอลคือสัตว์เลี้ยงที่ เงียบที่สุดในจักรวาลไม่เห่า ไม่ร้อง ไม่กระโดดใส่ ไม่กวนเพื่อนบ้าน ใช้พื้นที่น้อยมาก เหมาะกับคนที่ชอบความสงบ🕒 4. ไม่ต้องดูแลเยอะเลี้ยงง่ายกว่าที่คิดให้อาหารแค่ 7–14 วันครั้งทำความสะอาดตู้ตามรอบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะจบ! เหมาะมากสำหรับคนทำงานหรือเรียนหนัก ไม่มีเวลาเยอะ แต่ยังอยากมีสัตว์เลี้ยง💛 5. เชื่องมาก ไม่ดุนิสัยพื้นฐานของงูบอลคือ ขี้อายมากกว่าถ้ากลัวก็จะม้วนตัว ไม่ใช่พุ่งกัด ทำให้เป็นงูที่มือใหม่ทั่วโลกเริ่มต้นเลี้ยงกัน เพราะปลอดภัยและจับได้สบายๆ🌿 6. เป็นสัตว์เลี้ยงที่ดู “มีสไตล์”ต้องยอมรับว่าคนที่เลี้ยงงูบอล… ดูเท่ขึ้นประมาณ 50%วางตู้สวยๆ แต่งมุม minimal หน่อย ก็เหมือนเพิ่มคาแรกเตอร์ให้ห้องมันเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทั้ง “เรียบง่าย แต่มีเสน่ห์”💬 สรุปงูบอลไพธ่อนเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่เหมือนใครเงียบ สุภาพ ดูแลไม่ยาก และมีความสวยงามเฉพาะตัวถ้าคุณกำลังมองหาสัตว์เลี้ยงที่ทำให้ชีวิตมีความสุขแบบเรียบง่าย แต่เท่แบบมีระดับ…งูบอลอาจเป็นคำตอบที่ใช่ 🖤🐍
เขียนโดย Repttown
โพสต์เมื่อ 09 ธ.ค. 25



“Adder Ball Python” – มอร์ฟลึกลับจากปี 2006 ที่หลายคนยังไม่รู้จัก
🐍 “Adder Ball Python” – มอร์ฟลึกลับจากปี 2006 ที่หลายคนยังไม่รู้จักงูมอร์ฟหนึ่งในสายที่ “ถูกประเมินต่ำ” ที่สุดในวงการ…แต่ใครรู้จักแล้ว มักหลงเสน่ห์ลวดลายสุดเท่ของมันไม่รู้ตัว🧬 จุดเริ่มต้นของสาย “Adder”มอร์ฟ Adder ถูกค้นพบและพัฒนาโดย Colin Thomas ในปี 2006มันเป็นมอร์ฟ ยีนโดมินันต์ (Dominant) หมายถึง แค่ยีนเดียวก็สามารถแสดงลักษณะออกมาได้ชัดเจนในยุคแรก Adder ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะหลายคนคิดว่ามันคล้ายมอร์ฟเข้มทั่วไปแต่เมื่อเวลาผ่านไป นักเพาะเริ่มสังเกตว่า “Adder” มีลายเฉพาะตัวที่ไม่มีมอร์ฟไหนเหมือน🎨 ลวดลายที่ไม่เหมือนใครสิ่งที่ทำให้ Adder โดดเด่นคือ “ลายแนว Alien Head” ที่ใหญ่และเรียงชิดกันตลอดแนวลำตัวพื้นผิวมีความ “สะอาด” (clean dorsal) ไม่รก ไม่เลอะหัวออกโทนเข้ม ลายแน่น และหางมีลายเชื่อมต่อกันแบบ “chain pattern” ดูดุดันแต่สมดุลบางตัวมีความเข้มจนถูกเรียกว่า Black Adderให้ฟีลเท่ ลึกลับ เหมือนงูจากตำนานในชื่อเดียวกัน🧩 ความสำคัญทางพันธุกรรมประเภท: Dominant Geneแสดงลักษณะได้แม้มีเพียง 1 ยีนผสมกับมอร์ฟอื่นได้หลากหลาย เพราะไม่ไปกวน pattern มากนักยังไม่มีข้อมูลว่าอยู่ใน complex หรือกลุ่มยีนใดโดยตรงนี่คือเหตุผลที่หลายคนเรียก Adder ว่า “ยีนที่ถูกประเมินต่ำ”เพราะมันยังมีพื้นที่ให้ทดลองสร้างคอมโบใหม่อีกมากในอนาคต🔍 ทำไมถึงเรียกว่า “มอร์ฟลึกลับ”Adder เป็นมอร์ฟที่มีผู้ถือสายแท้ค่อนข้างน้อยข้อมูลบางส่วนกระจายอยู่ในฟอรั่มเฉพาะ เช่น MorphMarket Communityและยังไม่มีการแพร่หลายเท่ามอร์ฟยอดฮิตอย่าง Clown หรือ Piedแต่สำหรับนักสะสมระดับลึก — มันคือ “hidden gem” หรืออัญมณีที่ซ่อนอยู่ในวงการ💡 สรุป “Adder” ในหนึ่งย่อหน้าเริ่มต้นจาก Colin Thomas ในปี 2006, Adder เป็นมอร์ฟยีนโดมินันต์ที่มีเอกลักษณ์เรื่องลาย alien head ใหญ่ พื้นลำตัวสะอาด และหัวโทนเข้ม แม้จะไม่ดังเท่าสายหลัก แต่ความหายากและโทนลายสุดเท่ของมันทำให้ Adder กลายเป็นมอร์ฟที่นักสะสมตัวจริงเริ่มหันกลับมามองอีกครั้ง 🐍✨
เขียนโดย Repttown
โพสต์เมื่อ 07 พ.ย. 25




ทำไม "ชิวาว่า" และ "ปอมเมอริเนี่ยน" ไม่เหมาะเป็น "K-9" ?
แด่คนรักน้องหมาทุกท่านที่เห็นโพสต์นี้ ก่อนจะดราม่า กรุณาอ่านบทความให้จบเสียก่อน ห้ามมาบีบน้ำตาหรือโมโหในนี้ ใครไม่ฟังแบนถาวร นับตั้งแต่ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ตึกถล่มจากแรงสะเทือนแผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา หน่วยกู้ภัยและทีมช่วยเหลือพร้อมกับหน่วยสุนัข K-9 เข้าทำการช่วยเหลือคนที่ติดในซากอาคารออกมา ขณะเดียวกันนั่นเอง ผู้คนบางกลุ่มอาศัยจังหวะนี้ในการสร้างภาพ AI น้องหมาปอมและชิวาว่าเข้าไปเหมือนปฏิบัติการณ์กู้ตึก แล้วกลายเป็นมีคนหลงเชื่อในจำนวนมาก คนที่เข้าไปเตือนก็โดนคนรักหมาทุ่งลาเวนเดอร์ด่าเสียหายกัน ดังนั้นวันนี้แอดบิวจะมาบอกเล่ากันว่า "ทำไมชิวาว่าและปอมเมอริเนี่ยนถึงไม่เหมาะเป็น K-9 ?" คนรักหมาอย่าเพิ่งเอาเรื่องความเท่าเทียมมาพูดนะ ฟังก่อน• ก่อนอื่นต้องรู้จักก่อนว่า K-9 คืออะไร ซึ่งหน่วย K-9 คือสุนัขที่ผ่านการฝึกฝนทางการทหารและตำรวจเพื่อใช้ปฏิบัติการณ์หลายรูปแบบ ทั้งการจับกุมผู้ร้ายและอาชญากร การอารักขา การเฝ้ายาม ดมหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงงานกู้ชีพต่างๆ ซึ่งสุนัขที่เหมาะแก่การฝึกเป็น K-9 จะต้องเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่เหมาะแก่การทำงานหนัก และสายพันธุ์ที่มีความอึดความอดทนในการฟังคำสั่ง • ซึ่งสุนัขที่เป็น K-9 ที่เราเห็นกันบ่อยๆในสื่อก็จะเป็นสายพันธุ์เยอรมันเชิร์พเพิร์ด (หรืออัลเซเชี่ยน) ที่มักเป็นสุนัขตำรวจและสุนัขทหารชั้นเลิศในด้านงานบู๊หลายแบบ นอกจากนี้ก็ยังมีลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์, เบลเจียนมาลินัวส์, บีเกิ้ล, โดเบอร์แมนพินเชอร์, ดัทซ์เชิร์พเพิร์ด และสายพันธุ์อื่นๆที่แก่งานสายทหารและตำรวจ • กรณีของปอมเมอริเนี่ยนและชิวาว่านั้น ไม่มีคุณสมบัติการเป็น K-9 เลยสักนิด การเป็นสุนัข K-9 ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีการรับฟังคำสั่งดี สั่งหมอบคือหมอบ สั่งคอยคือคอย สั่งไล่คือไล่เท่านั้น แต่กรณีทั้งสองตัวนี้พัฒนามาเพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงาของมนุษย์เท่านั้น ได้ยินเสียงปูนถล่มอาจช็อกตายคาที่ไม่ก็สั่นทั้งตัวเป็นเจ้าเข้าตลอดเวลา • แต่กรณีชิวาว่านั้น เป็นสุนัขที่นิสัยโคตรจะใจกล้าและกร่างไปทั่ว เห่าเสียงดังเหมาะแก่การแจ้งเตือน แต่เอาเข้าจริงๆ น้องขาดคุณสมบัติการเป็น K-9 เพียบ ยกเว้นหน้าที่สุนัขบำบัดหรือ Theraphy dog ที่เหมาะกับชิวาว่าที่สุด บางตัวฝึกมาเพื่อเป็นสุนัขบำบัดโรคซึมเศร้าในโรงพยาบาลจิตเวชนั่นเอง • ฉะนั้นก็มีเพียงเท่านี้ที่แอดบิวจะมาบอกทุกคนครับ ดังนั้นก่อนแชร์รูปอะไรก็ต้องรู้ความจริง อย่าเพิ่งเอาความน่ารักและความโรแมนซ์มาใส่ให้บรรยากาศมันดี เพราะมันจะบิดเบือนข้อเท็จจริงไปจนหมดนั่นเอง
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 เม.ย. 25
อ่าน 10 ครั้ง

ปลาก็ใช้เครื่องมือได้ !
เรื่องน่ารู้ของความฉลาดของหมู่มวลมัจฉา โลกนี้การใช้เครื่องมือนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สัตว์มีความก้าวหน้า ช้างใช้ต้นไม้ช่วยเกาหลังในจุดงวงเอื้อมไม่ถึง ลิงอุรังอุตังสามารถทำรังนอนบนต้นไม้ด้วยการสานใบไม้เป็นเปลนอน อีกาใช้หินถ่วงให้น้ำเพิ่มระดับเพื่อเอาอาหารออกจากขวดแคบๆ หรือแม้แต่มนุษย์เราที่ใช้เครื่องมือต่างๆอำนวยความสะดวก เห็นได้ชัดว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกับนกมีความสามารถในการใช้เครื่องมือได้ แล้วมองมาที่บรรพบุรุษอย่างปลากันบ้าง พวกนี้มีการใช้เครื่องมือหรือไม่ ? • คำตอบคือ ปลาก็เป็นพวกใช้เครื่องมือเหมือนกัน ! ฟังดูแปลกๆ แต่ปลาบางพวกเองก็รู้จักการใช้สิ่งรอบตัวเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้วย ซึ่งส่วนมากพฤติกรรมใช้เครื่องมือของปลาจะเป็นเพื่อการล่าและกินอาหารกับสร้างอาณาเขตมากกว่าจะใช้เพื่อความสะดวกสบาย แม้สมองของปลาอาจจะดูไม่ก้าวหน้าเท่าสัตว์มีกระดูกสันหลังบนบกก็ตาม แต่พวกมันเน้นการเอาตัวรอด อย่างปลาแก้วกู่ (Blackspot tuskfish - 𝘊𝘩𝘰𝘦𝘳𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘴𝘤𝘩𝘰𝘦𝘯𝘭𝘦𝘪𝘯𝘪𝘪) ตัวในภาพประกอบบทความนี้ กำลังคาบหอยเอาไว้ในปากแล้วไปโขกกับก้อนหินตรงหน้าเพื่อเปิดหอยออก • เคยมีรายงานชุดนึงกล่าวว่า ปลากระเบนน้ำจืดจำพวกโมโตโร่ (Motoro stingray) จากลุ่มแม่น้ำแอมะซอนในอเมริกาใต้ ก็ใช้น้ำรอบตัวเป็นเครื่องมือในการหาอาหาร ด้วยการควบคุมการขยับของร่างกายทั้งลำตัว เพื่อเป็นการควบคุมการไหลของน้ำเพื่อสกัดให้แพลงตอนและพืชเล็กๆบางส่วนไหลเข้าปากของปลากระเบนได้โดยไม่ต้องว่ายออกแรงด้วย • ปลาสลิดหินบางชนิดก็ยังใช้ทรายและกรวดหินเป็นเครื่องมือในการทำรังของตัวเองด้วย พ่อแม่ปลาจะทำการเอาทรายและหินกรวยมารวมกันด้วยการคาบเอาไว้ในปากก่อนจะพ่นออกมาทำเป็นรังวางไข่ หรือปลาหมอสีในอเมริกาใต้ก็ใช้ใบไม้แห้งในการทำรังด้วยเช่นกัน โดยเลือกใบไม้ที่มีการงอตัวได้ดีไม่แตกหรือขาดง่ายมาทำคลุมไข่เอาไว้ • จะเห็นได้ชัดว่า ปลาเองก็เป็นสัตว์ที่ใช้เครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาในการเอาชีวิตรอดได้ เพื่อให้ได้อาหาร และการปกป้องเผ่าพันธุ์ตัวเองให้มีโอกาสรอดจนเติบโตได้ PIC CR. SCOTT GARDNERReferenceBernardi, G. (2011). "The use of tools by wrasses (Labridae)".Bourton, J. (January 13, 2010). "Clever stingray fish use tools to solve problems".Keenleyside, M.H.A., (1979). Diversity and Adaptation in Fish Behaviour, Springer-Verlag, Berlin.Keenleyside, M.H.A.; Prince, C. (1976). "Spawning-site selection in relation to parental care of eggs in Aequidens paraguayensis (Pisces: Cichlidae)". Canadian Journal of Zoology.
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 02 เม.ย. 25
อ่าน 2 ครั้ง


ตะขาบวิวัฒนาการพิษแบบไม่ลดความแรง
การปรับตัวของสัตว์ผู้ล่าร้อยขา !!ทุกคนเห็นตะขาบอาจจะมีสองแง่คือ สัตว์ผู้ล่าที่มีพิษน่าสะพรึง และสัตว์ผู้ล่าชวนขนลุก แต่ถึงกระนั้นแล้ว ตะขาบอยู่บนโลกเรามา 400 ล้านปีนับตั้งแต่ปลาขึ้นบกยันไดโนเสาร์สูญพันธุ์และมนุษย์ครองโลก ตะขาบยังคงน่าเกรงขามและมีพิษมาตลอดนับแต่อดีต แต่ที่น่าสนใจก็คือ นักชีววิทยาพบว่า ตะขาบเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการด้านพิษมานานก่อนที่จะมีงูพิษเสียอีก • ซึ่งตะขาบนั้นมีพิษเป็นสารโปรตีนที่สกัดจากต่อมพิษภายในร่างกายส่งผ่านพิษด้วยการกัดเป็นหลัก พิษมีผลต่อระบบประสาทของเหยื่อและศัตรูที่มันกัด โดยพิษของพวกมันประกอบด้วยสารพิษสองตัวคือ ฮิสตามีน (Histamine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งปริมาณพิษที่ปล่อยออกมาจะขึ้นอยู่กับขนาดตัวของตะขาบ พูดง่ายๆก็คือ ตะขาบยิ่งตัวใหญ่พิษยิ่งแรงนั่นเอง • ซึ่งนักชีววิทยาทำงานวิจัยชิ้นนึงเกี่ยวกับวิวัฒนาการของพิษจากตะขาบ 5 อันดับที่เหลืออยู่บนโลก โดยเริ่มจากพวกที่เก่าแก่ที่สุดอย่างพวกตะขาบบ้านขายาว (House centipede - Order Scutigeromorpha) ที่มีพิษอ่อนที่สุดและไม่สามารถทำร้ายคนได้เลย จนถึงพวกที่มีพิษรุนแรงสุดๆพอจะทำให้คนเข้าห้องไอซียูได้ถ้าเผลอไปลองจับมันเข้า • อย่างเช่นตะขาบยักษ์ออสเตรเลีย (Australian giant centipede - 𝘌𝘵𝘩𝘮𝘰𝘴𝘵𝘪𝘨𝘮𝘶𝘴 𝘳𝘶𝘣𝘳𝘪𝘱𝘦𝘴) ตัวในภาพประกอบบทความนี้ เป็นหนึ่งในตะขาบที่มีพิษรุนแรงที่สุดในภูมิภาคโอเชียเนีย พวกมันมีพิษรุนแรงพอจะสามารถทำให้เหยื่อจำพวกแมลงและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วเพื่อง่ายต่อการจัดการ แล้วด้วยพิษที่รุนแรงกับขนาดตัวแล้ว มันก็มีผลให้คนที่โดนกัดเจ็บปวดรุนแรงด้วยนั่นเอง • นอกจากพิษที่สร้างเองแล้ว ตะขาบบางชนิดยังสะสมพิษจากพวกแบคทีเรียและเชื้อรามาเพื่อประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างที่พบได้ในตะขาบหัวแดงแทนซาเนีย (Red-headed centipede - 𝘚𝘤𝘰𝘭𝘰𝘱𝘦𝘯𝘥𝘳𝘢 𝘮𝘰𝘳𝘴𝘪𝘵𝘢𝘯𝘴) ที่นักชีววิทยาพบและตีพิมพ์ลงวารสารวิจัยในปี 2021 ว่าพิษของพวกมันเพิ่มประสิทธิภาพจากการมีแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดที่ส่งผลต่อเหยื่อและศัตรูด้วย ดังนั้นโอกาสหน้าถ้าเจอตะขาบ อย่าหมายลองจับเองเด็ดขาดPIC CR. Jackson NugentReferenceThese Animals Have Been Around For Over 400 Million Years And Evolved Venom 5 Timeshttps://www.iflscience.com/these-animals-have-been-around...Centipede Venom Is A Cocktail Of Genetic Material Nicked From Bacteria And Fungihttps://www.iflscience.com/centipede-venom-is-a-cocktail...Giant centipede - Ethmostigmus rubripes / Australian Geographyhttps://www.australiangeographic.com.au/.../fact-file.../
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 31 มี.ค. 25
อ่าน 25 ครั้ง

สัตว์ถ้ำต้องตาบอดเสมอหรือไม่ ?
คุณสมบัติของการเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในถ้ำแสนมืดมิด ถ้ำ เป็นสถานที่และชีวนิเวศที่น่าอัศจรรย์ แม้ถิ่นอาศัยแห่งนี้จะมืดมิดเพียงใด สัตว์ก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนอาศัยอยู่โลกข้างนอกที่มีแสงสว่าง หลายคนจะจินตนาการว่า สัตว์ถ้ำเกือบทั้งหมดจะต้องตาบอดหรือไม่มีดวงตาเสมอ ความจริงแล้ว บรรดาสัตว์ที่อยู่ในถ้ำนั้นมีหลายรูปแบบและหลายหน้าตา ขึ้นอยู่กับสภาพความลึกของถ้ำนั่นเอง เรามาดูคุณสมบัติของสัตว์ถ้ำกันครับ ประเภทสัตว์ถ้ำ สัตว์ถ้ำนั้นจะแบ่งออกเป็นจำพวกการอยู่อาศัย 3 แบบครับ อาทิ 1.Troglobite : ผู้อาศัยถ้ำถาวร พวกนี้คือสัตว์ถ้ำของแท้ก็ว่าได้ เช่น ตัวโอล์ม (Olm) และปลาถ้ำตาบอด (Blind cave fish)2.Troglophile : ผู้อาศัยถ้ำเป็นพื้นที่นอนหลับพักผ่อน มีประสาทสัมผัสการใช้ชีวิตในถ้ำได้ดี แต่หากินโลกภายนอกได้ เช่น แมงป่องแส้ และ งูกาบหมากหางนิล เป็นต้น3.Trogloxene : ผู้เยี่ยมเยือนถ้ำแบบชั่วคราว ประสาทสัมผัสใช้ชีวิตในถ้ำต่ำ เช่น ค้างคาว และ หมี เป็นต้น คุณสมบัติสัตว์ถ้ำ คุณสมบัติการอยู่อาศัยในถ้ำนั้น สัตว์หลายชนิดมีวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวใช้ชีวิต แม้ชั่วคราวก็มีเซ้นต์ในการอยู่อาศัยได้ คุณสมบัติมีดังนี้1.เคลื่อนไหวช้า - การอยู่ถ้ำไม่จำเป็นต้องขยับตัวเยอะมาก เนื่องด้วยการขยับตัวนั้นเสี่ยงต่อการเสียพลังงานร่างกายไปแล้วทำให้หิวง่าย ดังนั้นการขยับตัวช้าจะช่วยรักษาพลังงานและสามารถไม่กินอาหารได้นานเป็นเดือนช่วงที่หาอาหารไม่ได้นั่นเอง 2.ไม่มีตาหรือตาหดลง - สัตว์ถ้ำหลายชนิดโดยเฉพาะพวก Troglobite จะวิวัฒนาการดวงตาหายไป เนื่องด้วยการใช้ชีวิตในถ้ำไม่อาศัยการมอง แต่อาศัยการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆแทน ทั้งการรับรู้การสั่นไหว การดมกลิ่น และการรับรู้สนามแม่เหล็กและการใช้ตรวจจับด้วยกระแสไฟฟ้าได้3.ไม่มีเม็ดสี - สัตว์ถ้ำหลายชนิดมักจะไม่มีเม็ดสีหรือสีดูขุ่นๆหมองๆ เนื่องด้วยการอยู่ในถ้ำไม่จำเป็นต้องทำตัวเด่นเกินไป เพื่อเลี่ยงการถูกจับตามองเห็น ดังนั้นสีซีดเหมือนวิญญาณคือหนทางที่ดีสุดในการอยู่ถ้ำ4.มีอวัยวะที่ตรวจจับสัมผัสได้ - จะมีหนวดยาวแบบแมลงถ้ำ หรืออวัยวะพิเศษในร่างกายที่ทำให้รับรู้ภายในโลกอันมืดมิด ช่วยให้สัตว์นั้นๆสามารถปรับตัวได้ในโลกอันมืดมิด ซึ่งที่กล่าวมาทั้ง 4 ประการนั้น ตัวโอล์ม (ตัวในภาพประกอบ) ผู้เป็นซาลาแมนเดอร์ถ้ำแห่งยุโรปตอนใต้คือสัตว์ที่มีคุณสมบัติการเป็นสัตว์ถ้ำทั้งหมดเลย ทั้งเคลื่อนไหวช้า ไม่มีดวงตา ไม่เม็ดสีจนตัวซีด และมีอวัยวะประสาทสัมผัสอย่างเหงือก ปลายเท้า และลำตัวในการรับรู้แรงสั่นไหวได้นั่นเอง PIC CR. lucacavallariReferenceThe Dark!: Wild Life in the Mysterious World of Caves / Lindsey Leigh How have animals living only in caves adapted?https://oceanexplorer.noaa.gov/facts/cave-adapt.htmlWhat Are The Adaptations In Cave-Dwelling Animals?https://www.worldatlas.com/.../what-are-the-adaptations...
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 30 มี.ค. 25
อ่าน 11 ครั้ง



จิงโจ้หนูมัสกี้ จิงโจ้ที่ตัวเล็กที่สุดในโลกและต้นกำเนิดการกระโดดของจิงโจ้
ขอเชิญทุกคนพบกับมาโครพอด (Macropod) มาร์ซูเปียลหรือสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องผู้เป็นต้นกำเนิดการกระโดดแรกเริ่มของจิงโจ้กัน นั้นก็คือ "จิงโจ้หนูมัสกี้" (Musky rat-kangaroo - 𝘏𝘺𝘱𝘴𝘪𝘱𝘳𝘺𝘮𝘯𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘮𝘰𝘴𝘤𝘩𝘢𝘵𝘶𝘴) สัตว์พื้นเมืองออสเตรเลียที่พบได้เฉพาะในป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป จิงโจ้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวนี้เป็นต้นแบบการกระโดดสองขาหลังของจิงโจ้และวัลลาบี้ที่ตัวใหญ่ได้อย่างไร ? • ตระกูลของหนูจิงโจ้นั้นเป็นตระกูลเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโอลิโกซีน นามว่า Hypsiprymnodontidae ซึ่งวงศ์นี้เคยมีมาร์ซูเปียลนักล่าหรือจิงโจ้กินเนื้อเป็นสมาชิกวงศ์หลัง แต่พวกนั้นก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จนเหลือแค่จิงโจ้หนูมัสกี้เพียงชนิดเดียวบนโลกนี้มาตั้งแต่ 20 ล้านปีแล้ว ซึ่งเรียกว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอย่างหนึ่งก็ว่าได้เลยครับ• ชื่อมัสกี้ก็มาจากกลิ่นตัวเป็นเอกลักษณ์ที่ปล่อยออกมาหึ่งเหมือนกับกวางชะมด กลิ่นนี้มีไว้เพื่อสื่อสารกันในช่วงฤดูหาคู่และยังบอกสถานะของแต่ละตัว อีกทั้งยังใช้ป้องกันตัวเวลาถูกคุกคามจากนักล่าตัวใหญ่กว่า ที่น่าสนใจกว่าชื่อก็คือ มันเป็นมาร์ซูเปียลผู้เป็นต้นแบบการเคลื่อนไหวของจิงโจ้แรกเริ่ม• ปกติแล้วพวกตระกูลมาโครพอดทั้งหมดจะกระโดดด้วยสองขาหลังได้ แม้แต่จิงโจ้กินเนื้อญาติของจิงโจ้หนูมัสกี้ก็โดดสองขาหลังได้ แต่จิงโจ้หนูมัสกี้เคลื่อนไหวสี่ขา ไม่มีท่ากระโดดสองขาหลัง โดยขยับขาหน้าไปข้างหน้าพร้อมกัน แล้วตามด้วยขาหลังสองข้างขยับไปข้างหน้าด้วยกัน ซึ่งเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวดั้งเดิมของพวกจิงโจ้ในท่าปกติก่อนจะวิวัฒนาการด้านการกระโดดสองขา • เจ้าสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ไม่จำเป็นต้องกระโดดไกลมากเมื่ออยู่ในป่า พวกมันตัวเล็กและหากินอาหารจำพวกผลไม้และเห็ดตามพื้นดินอย่างสงบ ถือเป็นรอยต่อสำคัญของวิวัฒนาการการปรับตัวของสัตว์ในทวีปออสเตรเลียที่สำคัญ ว่าแม้ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนไป แต่ที่นี่บางอย่างยังคงสภาพเหมือนเดิม PIC CR. Ray wilson Reference'Musky' marsupial could solve hopping kangaroo mysteryhttps://phys.org/.../2025-03-musky-marsupial-kangaroo...Musky Rat-Kangaroo - Facts, Diet, Habitat & Pictures on Animalia.biohttps://animalia.bio/index.php/musky-rat-kangarooMeet the musky rat-kangaroo, our smallest kangaroohttps://www.australiangeographic.com.au/.../meet-the.../
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 4 ครั้ง

"อิกัวน่าฟิจิลายแถบ" ผู้มาจากดินแดนโพ้นทะเล
เป็นระยะเวลากว่า 50-35 ล้านปีแล้ว ที่กิ้งก่าอิกัวน่าลายแถบฟิจิ (Fiji banded iguana - 𝘉𝘳𝘢𝘤𝘩𝘺𝘭𝘰𝘱𝘩𝘶𝘴 𝘣𝘶𝘭𝘢𝘣𝘶𝘭𝘢) และอิกัวน่าชนิดใหม่ที่แตกสายอีก 3 ชนิด เดินทางไกลแบบติดแพธรรมชาติข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากเม็กซิโก ทวีปอเมริกาเหนือ ถึงหมู่เกาะแปซิฟิกที่ห่างเกือบ 8,000-9,000 กิโลเมตร ถือเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดเดียวในโลกที่การกระจายพันธุ์ข้ามแดนไกลที่สุด พวกมันคือกิ้งก่าที่ปรับตัวกับเกาะที่เป็นแดนสวรรค์อย่างเป็นอย่างดี • ครั้งหนึ่งก่อนที่มนุษย์จะมาถึงหมู่เกาะฟิจิ เคยมีกิ้งก่าอิกัวน่ายักษ์ขนาดตัวเหี้ย 1.2-1.5 เมตรเดินย่ำกินใบไม้และพุ่มไม้บนเกาะตองก้า ก่อนจะหายไปเมื่อราว 2,800 ปีก่อน เหลือแต่ญาติตัวเล็กที่ปรับตัวเป็นกิ้งก่าต้นไม้ หนึ่งในนั้นคือเจ้าอิกัวน่าฟิจิลายแถบผู้มีขนาดเล็กแค่ 19 เซนติเมตรที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุด• ชื่อลาบแถบฟิจิ มาจากลักษณะของตัวผู้ที่มีลายแถบบั้งสีขาวเป็นเอกลักษณ์ ส่วนตัวเมียจะไม่ปรากฎลวดลายบนลำตัว พวกมันเร่งสีให้สดใสขึ้นได้จากอารมณ์ ถ้าหากมันรู้สึกโดนคุกคามมันจะเปล่งสีเขียวจัดจ้านขึ้น แต่ถ้ามันโกรธมันจะเปล่งสีเขียวเข้มลง เมื่อรู้สึกโดนคุกคามหนัก • พวกมันอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 200-500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ชอบกินใบไม้ ดอกไม้ และผลไม้เหมือนกับญาติของพวกมันในป่าฝนแอมะซอน ทวีปอเมริกาใต้ พวกมันชื่นชอบการอยู่บนต้นไม้สูงที่หลบพ้นสายตาของนักล่าบนพื้นดินอย่างมนุษย์และพังพอนที่เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ • อิกัวน่าชนิดนี้มีอัตราการขยายพันธุ์ต่ำ ออกไข่ครั้งนึงแค่ 4 ฟอง และใช้ระยะเวลากกไข่นาน 9 เดือนเต็ม แถมอายุขัยยังน้อย อยู่ที่ 10-15 ปี เลยทำให้มันมีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์แล้ว โชคดีที่สวนสัตว์ใหญ่หลายแห่งทั่วโลกให้การสนใจในการอนุรักษ์และเพาะขยายพันธุ์อิกัวน่าชนิดนี้ให้มีประชากรที่ดีขึ้นในอนาคตอยู่นั่นเอง PIC CR. RatioTileReferenceIguanas “Rafted” 8,000 Kilometers From North America To Fiji – A Record For Land Vertebrateshttps://www.iflscience.com/iguanas-rafted-8000-kilometers...Fiji banded iguana - Smithsonian's zoohttps://nationalzoo.si.edu/animals/fiji-banded-iguanaFiji Island Banded Iguana - Los Angeles zoohttps://lazoo.org/explo.../our-animals/reptiles/fiji-iguana/
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 15 ครั้ง

แมวน้ำรับรู้ระดับออกซิเจนในเลือดได้ !
กลไกมหัศจรรย์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ทั้งแมวน้ำ สิงโตทะเล แมวน้ำขนปุย และวอลรัส ต่างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อที่วิวัฒนาการตัวเองกลับสู่ท้องทะเลในฐานะนักล่าปลาและสัตว์น้ำขนาดย่อม แมวน้ำบางตัวก็ดูน่าเอ็นดู และบางตัวก็ดูน่าสะพรึงกลัวจนเราช็อคคาใต้น้ำได้ แต่ถึงกระนั้นแมวน้ำก็เป็นสัตว์ที่น่าทึ่งไม่แพ้สัตว์บนบกเลย โดยเฉพาะเรื่องที่พวกมันรู้ระดับออกซิเจนในเลือดได้ ! • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหายใจด้วยปอดทั้งสิ้นทุกชนิด แต่สัตว์บกไม่ว่าจะมนุษย์ ช้าง ลิง สล็อธและสัตว์ส่วนมากไม่สามารถรู้ระดับภาวะออกซิเจนในเลือด ทำให้เวลาที่หายใจเข้าออกจะปล่อยอากาศออกนอกร่างกาย แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในน้ำอย่างพวกวาฬและแมวน้ำไม่สามารถหายใจเข้าออกขณะอยู่ใต้น้ำ พวกมันจึงมีกลไกพิเศษที่อยู่ใต้น้ำนานๆหรือระยะสั้นได้ • มีการทดสอบความสามารถในการดำน้ำของแมวน้ำสีเทา (Gray seal - 𝘏𝘢𝘭𝘪𝘤𝘩𝘰𝘦𝘳𝘶𝘴 𝘨𝘳𝘺𝘱𝘶𝘴) ที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง โดยพวกเขาทดสอบให้แมวน้ำแต่ละตัวว่ายน้ำไปกลับรอบสระ 60 เมตร โดยที่ปลายทางก่อนว่ายกลับจะมีจุดให้อาหารแบบมีช่องหายใจที่มีแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เข้มข้นสะสมบริเวณช่อง โดยพวกเขาลองกับภาวะแก๊ส 3 ระดับคือ ระดับแก๊สปกติจากสภาพแวดล้อม, ระดับแก๊สออกซิเจน 2 เท่า และระดับแก๊สออกซิเจนผสมคาร์บอนไดออกไซด์ 200 เท่า ! • พวกเขาพบว่า ระดับออกซิเจนในเลือดของแมวน้ำมีภาวะต่างกัน กรณีที่ได้รับแก๊สออกซิเจนปริมาณมากจากการหายใจ แมวน้ำสามารถอยู่ใต้น้ำได้ยาวนานกว่า ขณะที่ภาวะที่แก๊สออกซิเจนน้อย แมวน้ำจะดำอยู่ใต้น้ำสั้นกว่าได้รับออกซิเจนเยอะ นั้นแปลว่าแมวน้ำนั้นสามารถรับรู้ระดับออกซิเจนในระดับเลือดได้จากการหายใจและดำน้ำได้แต่ละครั้ง เวลาที่ออกซิเจนน้อยเท่ากับขึ้นหายใจบ่อยครั้งกว่าที่หายใจเต็มปอด • บางครั้งธรรมชาติก็สร้างหลายสิ่งให้มีความแปลก แต่ความแปลกนั้นอยู่คู่กับการคัดสรรทางธรรมชาติที่มีผลต่อเผ่าพันธุ์ของสัตว์นั้นๆอีกด้วยนั่นเอง PIC CR. Amos NachoumReferenceJ. Chris McKnight et al, Cognitive perception of circulating oxygen in seals is the reason they don't drown, Science (2025).https://www.science.org/doi/10.1126/science.adw1936
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 5 ครั้ง

"Japanese king ratsnake" ราชาแห่งงูญี่ปุ่นเขตร้อน
หนึ่งในงูที่ตัวใหญ่ที่สุดและยาวที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สมญานามว่า "งูจงอางจำแลง" นามนั้นคือ คิงแร็ทสเน็ค (King ratsnake - 𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢) งูไม่มีพิษขนาดใหญ่แห่งพื้นที่กึ่งเขตร้อนของเกาะเซ็งคาคุและเกาะโยนากุนิ พรมแดนระหว่างประเทศไต้หวันและหมู่เกาะริวกิวของประเทศญี่ปุ่น นี่ถือว่าเป็นงูขนาดใหญ่ที่งดงามและน่าสะพรึงกับท่าทางของมันไม่น้อย • คนญี่ปุ่นเรียกคิงแร็ทสเน็คว่า "ชูดะ" (シュウダ) แปลว่า "งูเหม็น" ซึ่งในญี่ปุ่นนั้นจะมีงูคิงแร็ทสเน็คอยู่ 2 ชนิดย่อยคือ ชนิดย่อยของจีน (𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢) ที่พบในเกาะเซ็งคาคุใกล้กับไต้หวัน และชนิดย่อยโยนากุนิ (𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢 𝘺𝘰𝘯𝘢𝘨𝘶𝘯𝘪𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴) ที่งดงามแบบตัวในภาพนี้จากเกาะโยนากุนิและมีชื่อเสียงมาก ใช้ชื่อเรียกกันว่า "Japanese king ratsnake" หรือโยนากุนิชูดะ (ヨナグニシュウダ) • ซึ่งทั้งคิงแร็ทสเน็คทั้งสองชนิดย่อยนี้ความยาวเฉลี่ยไล่เลี่ยกันคือ 1.5-2.4 เมตรโดยประมาณ ซึ่งตัวคิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นจากเกาะโยนากุนินั้นมีสีสันค่อนข้างเด่นสะดุดตาเนื่องด้วยพวกมันอาศัยอยู่ในตามป่าฝนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนนั่นเอง ตอนเป็นวัยอ่อนจะมีสีน้ำตาลที่กลมกลืนกับพื้นดิน พอโตขึ้นจะมีสีสันสวยงาม• คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นได้ชื่อว่า "งูจงอางจำแลง" เนื่องด้วยบริเวณหัวนั้นมีแผ่นเกล็ดขนาดใหญ่เด่นชัด ซึ่งแผ่นเกล็ดขนาดใหญ่นี่เองที่ทำให้ชาวตะวันตกสับสนเข้าใจว่าเป็นงูจงอางมาก่อน เลยตั้งชื่อลักษณะความใหญ่โตเสมือนราชาแบบงูจงอาง ว่า "King ratsnake" หรือราชาแห่งงูสิงผู้กินงูอื่นๆ ซึ่งงูที่มีพฤติกรรมกินงูด้วยกันเองจะมีแผ่นเกล็ดเรียงตัวลักษณะแบบนี้ • คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นยังมีอีกสมญานามว่า "เทพธิดากลิ่นเหม็น" เพราะเมื่อถูกคุกคามแบบขั้นสุด นอกจากการกัดป้องกันตัวด้วยฟันคมกริบแล้ว ยังปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาทำให้สัตว์ที่พยายามจะล่าไม่ว่าจะสุนัขกับแมวจรจัดและนกนักล่าต้องถอยหนีทันทีถ้าโดนปล่อยกลิ่นใส่ • คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นชอบกินงูชนิดอื่นๆที่มีหลายชนิดด้วยกันทั้งงูมีพิษและงูไม่มีพิษ, หนู, นก, ไข่นก, กบ, กิ้งก่ากับจิ้งเหลน (เหยื่อสุดโปรดในเมนูกิ้งก่าคือ จิ้งเหลนยักษ์คิชิโนะอุเอะ (Kishinoue's giant skink)), ด้วง และตั๊กแตนเป็นอาหารอีกด้วย เรียกว่าเจ้าตัวนี้กินได้หลากหลายมาก สมกับราชาแห่งงูสิงโดยแท้ PIC CR. Jaehyeon-leeReferenceヨナグニシュウダ / Japan herptology https://herpetology.raindrop.jp/elaphe_carinata...Elaphe carinata yonaguniensis (Takara, 1962)/ヨナグニシュウダ/Yonaguni Shu-Dahttps://1pixel.sakura.ne.jp/.../elaphe_c_yonaguniensis.htm
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25
อ่าน 64 ครั้ง

Spotted bush snake encounter-False green mamba !
ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับงูตัวนี้ เกริ่นก่อนว่าน้องไม่ใช่งูแมมบ้าเขียว (Green mamba) นะครับ แต่เป็นเจ้า Spotted bush snake (𝘗𝘩𝘪𝘭𝘰𝘵𝘩𝘢𝘮𝘯𝘶𝘴 𝘴𝘦𝘮𝘪𝘷𝘢𝘳𝘪𝘦𝘨𝘢𝘵𝘶𝘴) หรืองูเขียวลายจุดแอฟริกาเป็นงูพื้นเมืองของทุ่งหญ้าซาวันน่า ทวีปแอฟริกา ว่องไว ปราดเปรียวสมฉายา "แมมบ้าเขียวปลอม" แต่ไม่มีพิษ ! งูชนิดนี้โตเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 60-90 เซนติเมตร เป็นงูไม่มีพิษขนาดเล็กที่มักอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ในท้องทุ่งกว้าง สีเขียวบนตัวของมันช่วยกลมกลืนไม่ให้เตะตาจากสัตว์ใหญ่อย่างแอนทีโลปที่มาเล็มพุ่มไม้ หรือนักล่าอย่างพวกนกนักล่าที่บินผ่านไปมา จริงๆแล้วสีปกติของงูชนิดนี้จะต้องมีแต้มจุดสีดำบนลำตัว แต่งูบางตัวก็เป็นสีเขียวอ่อนทั้งตัวเหมือนงูแมมบ้าเขียว เวลาถูกคุกคามจะอ้าปากสีดำขู่เหมือนงูแมมบ้าดำเพื่อเตือนสัตว์ที่มาใกล้มัน พวกมันชอบกินกิ้งก่าและปาดตัวเล็กๆ ปีนต้นไม้คล่องแคล่ว และว่ายน้ำเก่งมาก เป็นงูไม่กี่ชนิดที่นักชีววิทยาพูดตรงกันว่า มีสายตาตอบสนองดีสุดในบรรดางูก็ว่าได้ โปรดสังเกตว่าน้องไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับกล้องเท่าไร จะสวบเอาๆอย่างเดียว ในทวีปแอฟริกา มีงูที่มีลำตัวสีเขียวหลักๆที่พบเจอบ่อยๆอยู่ประมาณ 6 ชนิด อาทิ 1.Green water snake (ไม่มีพิษ) 2.Spotted bush snake (ไม่มีพิษ ตัวที่สัมผัส)3.Eastern natal green snake (ไม่มีพิษ)4.Western natal green snake (ไม่มีพิษ)5.Boomslang (งูพิษเขี้ยวหลัง พิษรุนแรง)6.Green mamba (งูพิษเขี้ยวหน้า พิษรุนแรง)
เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006
โพสต์เมื่อ 19 มี.ค. 25
อ่าน 18 ครั้ง

