REPTALES
เรื่องราวสัตว์จาก ReptTown
หาบทความที่อยากอ่านไม่เจอใช่ไหม? อยากอ่านเรื่องไหน? ตามหาเรื่องถูกใจ เข้ามาที่นี่เลยยยย สารบัญของ RepTales

หาบทความที่อยากอ่านไม่เจอใช่ไหม? อยากอ่านเรื่องไหน? ตามหาเรื่องถูกใจ เข้ามาที่นี่เลยยยย สารบัญของ RepTales

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ RepTales แหล่งเล่าเรื่องราวสัตว์ของ Repttown ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาเราขอแนะนำตัวเองให้เพื่อนๆรู้จักก่อนRepttown.com เป็น Startup ที่เกิดจากกลุ่มนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ธรรมศาสตร์ ที่ชื่นชอบในการเลี้ยงสัตว์ ได้ลองพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อซัพพอร์ตผู้ที่เลี้ยงสัตว์, ผู้เพาะพันธุ์, และผู้ที่มีงานอดิเรกหรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ โดยเราได้ผ่านการเข้ารอบในรายการ KU Startup League 2020 และ Startup Thailand League 2020 และล่าสุดในปี 2025 ก็ได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ คือ " RepTales " นั่นเอง เข้าสู่สารบัญของ RepTales กันเล้ยยยยหมวดหมู่บทความจะถูกแยกเป็นตามผู้เขียน ***ถ้าเพื่อนๆต้องหาเฉพาะสัตว์สามารถหาได้ที่แถบค้นหาด้านบนเลย***งูบอลไพธอนLRP Ballpythons : ฟาร์มงูบอลไพธอนและผู้นำเข้างูบอลไพธอนจากทั่วทุกมุมโลก จะมาแนะนำเพื่อนๆทุกท่านเกี่ยวกับการจัดการปัญหาต่างๆไม่ว่าจะเป็นปัญหาสำหรับผู้เลี้ยงหรือฟาร์มเพาะพันธุ์ด้วยคำแนะนำจากฟาร์มและบรีดเดอร์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก>>> https://tales.repttown.com/?search=author:LRP%20BallpythonsProHerper Thailand : ห้องแลปสำหรับตรวจ DNA งูและสัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะ ซึ่งเขาจะมาเล่าเรื่องในแนววิชาการ สำหรับผู้ที่ต้องการความเข้าใจแบบเชิงลึก>>> https://tales.repttown.com/?search=author:ProHerper%20Thailandแฮมสเตอร์Party's Hamstery : ฟาร์มแฮมสเตอร์ชั้นนำประสบการณ์หลาย 10 ปีที่จะมาส่งต่อความรู้แบบเชิงลึกสำหรับผู้ที่อยากทำฟาร์มแฮมสเตอร์สายประกวดต้องทราบ!!!>>> https://tales.repttown.com/?search=author:Party%27s%20HamsteryTea Garden Hamsters : เพจที่รวบรวมข้อมูลสำหรับแฮมสเตอร์แบบครอบจักรวาล ตั้งแต่ พันธุกรรมยีนสี ที่หาเป็บทความภาษาอังกฤษยังยากกก จนไปถึง แกะข้อมูลอาหารและผลิตภัณฑ์ของแฮมสเตอร์แทบทุกแบรนด์ในไทย พร้อมคำแนะนำแบบละเอียดยิบ ใครที่เลี้ยงแฮมสเตอร์บอกเลยว่า ห้ามพลาดดด>>> https://tales.repttown.com/?search=author:Tea%20Garden%20Hamstersหมวดหมู่ทั่วไปRepttown : บทความจากแพลตฟอร์มซื้อ-ขายสัตว์เลี้ยงและสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษอันดับท๊อปของไทย www.repttown.com ที่จะมาแนะนำเกี่ยวกับวิธีเลี้ยงสัตว์ชนิดพิเศษสายพันธุ์ต่างๆอย่างเข้าใจง่าย เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการเลี้ยงสัตว์ชนิดนั้นๆ>>> https://tales.repttown.com/?search=author:RepttownBKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006 : สุดยอดแฟนพันธุ์แท้แค่นี้ก็แทบไม่ต้องพูดถึงความเก่งกาจและความชำนาญของนักเขียนท่านนี้แล้ว คุณบิว BK ถูกเรียกว่าสารานุกรมสัตว์ป่าเคลื่อนที่ โดยเขาจะนำเรื่องราวของสัตว์ทั่วโลกมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านแบบแทบทุกวันที่นี่ บอกเลยว่าอ่านเพลินจนเช้าแน่นอนนน>>> https://tales.repttown.com/?search=author:BKwildlifemaster

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 03 ก.พ. 25

อ่าน 56 ครั้ง


ทำไมต้องเลี้ยง "งูบอลไพธ่อน"?

ทำไมต้องเลี้ยง "งูบอลไพธ่อน"?

🐍 ทำไมใครๆ ถึงหลงรัก “งูบอลไพธ่อน”?เหตุผลที่คุณอาจรู้สึกว่า… เอ๊ะ น่าเลี้ยงแฮะ!ถ้าพูดถึงสัตว์เลี้ยงสุดคูลที่ไม่ต้องมอมมือ ไม่ต้องวิ่งไล่จับ และไม่ต้องพาไปเดินเล่นตอนฝนตก “งูบอลไพธ่อน” คือหนึ่งในตัวเลือกที่หลายคนบนโลก Exotic ยกให้เป็น อันดับ 1 ในใจ ❤️‍🔥วันนี้จะพาไปรู้จักเสน่ห์แบบเรียลๆ ว่า ทำไมถึงต้องเลี้ยงงูบอล?ขอบอกเลยว่า พอรู้แล้ว… อาจอยากมีสักตัว✨ 1. หน้าตาน่ารักกว่าที่คิดงูบอลไม่ได้น่ากลัว! เจ้านี่หน้ากลม ตาใส จมูกมนๆ เวลาเขาม้วนตัวเป็นก้อนบอลคือที่สุดของความคิวท์ เหมือนสัตว์เลี้ยงที่มีความ “ขี้อาย แต่สุภาพ” ดูไปนานๆ แล้วใจอ่อนเฉยเลย🎨 2. มีมอร์ฟให้สะสมเพียบความสนุกของงูบอลคือ มีลายและสีให้เลือกเกิน 500+ มอร์ฟแบบไม่รวมมอร์ฟที่รวมกันอีกตั้งแต่โทนอุ่นแบบ Banana, ลุคเข้มแบบ Cinnamon ไปจนถึงลุคแฟนตาซีแบบ Pied มันคือโลกของนักสะสมที่ไม่มีวันจบจริงๆ🧘‍♂️ 3. ไม่เสียงดัง ไม่วุ่นวายงูบอลคือสัตว์เลี้ยงที่ เงียบที่สุดในจักรวาลไม่เห่า ไม่ร้อง ไม่กระโดดใส่ ไม่กวนเพื่อนบ้าน ใช้พื้นที่น้อยมาก เหมาะกับคนที่ชอบความสงบ🕒 4. ไม่ต้องดูแลเยอะเลี้ยงง่ายกว่าที่คิดให้อาหารแค่ 7–14 วันครั้งทำความสะอาดตู้ตามรอบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะจบ! เหมาะมากสำหรับคนทำงานหรือเรียนหนัก ไม่มีเวลาเยอะ แต่ยังอยากมีสัตว์เลี้ยง💛 5. เชื่องมาก ไม่ดุนิสัยพื้นฐานของงูบอลคือ ขี้อายมากกว่าถ้ากลัวก็จะม้วนตัว ไม่ใช่พุ่งกัด ทำให้เป็นงูที่มือใหม่ทั่วโลกเริ่มต้นเลี้ยงกัน เพราะปลอดภัยและจับได้สบายๆ🌿 6. เป็นสัตว์เลี้ยงที่ดู “มีสไตล์”ต้องยอมรับว่าคนที่เลี้ยงงูบอล… ดูเท่ขึ้นประมาณ 50%วางตู้สวยๆ แต่งมุม minimal หน่อย ก็เหมือนเพิ่มคาแรกเตอร์ให้ห้องมันเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทั้ง “เรียบง่าย แต่มีเสน่ห์”💬 สรุปงูบอลไพธ่อนเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่เหมือนใครเงียบ สุภาพ ดูแลไม่ยาก และมีความสวยงามเฉพาะตัวถ้าคุณกำลังมองหาสัตว์เลี้ยงที่ทำให้ชีวิตมีความสุขแบบเรียบง่าย แต่เท่แบบมีระดับ…งูบอลอาจเป็นคำตอบที่ใช่ 🖤🐍
Ballpython

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 09 ธ.ค. 25


ประวัติของมอร์ฟ “AHI” Ball Python

ประวัติของมอร์ฟ “AHI” Ball Python

🐍 ประวัติของมอร์ฟ Ball Python “AHI”จุดกำเนิด &ที่มามอร์ฟ AHI เป็นการกลายพันธุ์แบบ Dominant (ยีนโดมินันต์) ซึ่งหมายถึงแค่มียีนตัวเดียวก็สามารถแสดงลักษณะ (visual) ได้แล้ว MorphMarketตาม Morphpedia มอร์ฟ AHI ถูก “ผลิตครั้งแรก” (first produced) โดย Yellow Belly Ball ในปี 2009 MorphMarketแม้จะถูกบันทึกว่าผลิตครั้งแรกในปี 2009 แต่ข้อมูล “ประวัติสายพันธุ์ (history)” ของ AHI ยังไม่ละเอียดมากในแหล่งหลัก — Morphpedia ระบุว่า “No history yet” ในส่วน History ของบทความมอร์ฟ AHI MorphMarketความหายาก: AHI ถือว่าเป็นมอร์ฟ “rarer / rarest” (หายากมาก) ในวงการ according to Morphpedia MorphMarket🎨 ลักษณะเด่นของ AHIหัว (Head): หัวของ AHI มักจะเป็นสีแทน (tan) อ่อน และมี “keyhole headstamp” (รอยคล้ายหลุมรูปกุญแจ) บริเวณมงกุฎด้านหลังหัว MorphMarketลำตัว (Body):ลวดลาย “alien heads” หรือวงแหวน (rings) มีลักษณะ “pixelated” หรือ “grainy” — ขอบลายไม่คมชัดเหมือนมอร์ฟปกติ บางส่วนดูเหมือนเม็ดเล็ก ๆ กระจาย MorphMarketโทนสีในลำตัวอาจแปรผันได้มาก — บางตัวลายกับพื้นแตกต่างชัดเจน บางตัวดูค่อนข้างนวล แต่จุด “alien heads” ยังคงเด่นในโครงสร้างลาย MorphMarketหาง (Tail): ตาม Morphpedia หางของ AHI จะมีลวดลายเหมือนกับลำตัว (pattern เดินต่อเนื่อง)สายพันธุ์ & Combos: ไม่มี “proven lines” (สายพันธุ์ที่ยืนยันชัด) ของ AHI ระบุใน Morphpedia ณ ปัจจุบันปัญหาพันธุกรรม: Morphpedia ระบุว่าไม่มี “Issues” (ปัญหทางสุขภาพทั่วไปเกี่ยวกับยีน) สำหรับ AHI MorphMarket🔍 ทำไม AHI ถึงน่าสนใจในวงการมอร์ฟด้วยความเป็น ยีนโดมินันต์ ทำให้การแสดงลักษณะของ AHI ค่อนข้างตรงไปตรงมา — ไม่ต้องมี “สองชุดยีน” เหมือนมอร์ฟรีเซสซีฟหลายตัว => ง่ายกว่าในแง่การเพาะลวดลายที่เป็น “grainy alien heads” ให้ลุคที่ไม่เหมือนมอร์ฟหลักอื่น — เป็นทางเลือกดีสำหรับนักเพาะที่ต้องการ “แตกต่าง”แต่ยังคงโครงสร้างลายบอลไพธอนพื้นฐานความ “rare / หายาก”ของ AHI ทำให้มันน่าดึงดูดสำหรับนักสะสมที่มองหามอร์ฟที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวและไม่แพร่หลายมาก✨ สรุป: AHI ในหนึ่งย่อหน้าAHI Ball Python คือมอร์ฟโดมินันต์ที่ปรากฏครั้งแรกโดย Yellow Belly Ball ในปี 2009 มีลาย “alien heads” แบบ grainy และหัวสีแทนพร้อม keyhole stamp มันเป็นมอร์ฟที่หายากและให้ดีไซน์แตกต่างจากมอร์ฟพื้นฐานทั่วไป เหมาะสำหรับนักเพาะและนักสะสมที่ต้องการลุคไม่ซ้ำใคร

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 17 พ.ย. 25

อ่าน 2 ครั้ง


“จากยีนธรรมดา สู่มอร์ฟที่นักสะสมเรียกว่า ‘กรดกัดลาย’ — Acid คือความคมชัดที่ไม่มีใครเทียบได้”

“จากยีนธรรมดา สู่มอร์ฟที่นักสะสมเรียกว่า ‘กรดกัดลาย’ — Acid คือความคมชัดที่ไม่มีใครเทียบได้”

🐍 “Acid Ball Python” – มอร์ฟเข้มจัด ลายซิปใต้ท้อง ที่เขย่าวงการตั้งแต่ปี 2014“เมื่อยีนใหม่ตัวหนึ่ง ปรากฏขึ้นพร้อมลายซิปใต้ท้องที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน…นั่นคือวันที่ ‘Acid’ ถือกำเนิด”🧬 จุดเริ่มต้นของ Acidมอร์ฟ Acid Ball Python ถูกค้นพบโดย Josh Jensen ในปี 2014เขาพบว่าลูกงูบางตัวในคอกมีลวดลายและสีที่ต่างจากปกติอย่างเห็นได้ชัด — ลายดำเข้มเป็นเส้นซิกแซกใต้ท้อง และจุดลายด้านข้างที่เชื่อมต่อกันคล้าย “ลายแตกกรด”เมื่อเพาะต่อเนื่อง เขาพบว่ามันเป็น ยีน Incomplete Dominant (Co-Dominant) — แปลว่าหากมีเพียงหนึ่งยีนก็แสดงลักษณะให้เห็นได้แล้วชื่อ “Acid” มาจากลายของมันที่ดูเหมือน ถูกกรดกัด — pattern แตกละเอียด สีดำเข้มตัดชัด และให้ฟีลเท่เข้มในทุกมุมมอง🎨 เอกลักษณ์ที่ทำให้ Acid ต่างจากใครลวดลาย (Pattern): ลาย “Alien Head” แตกย่อยและเชื่อมต่อกันเป็นแนวต่อเนื่องสีพื้น (Base Color): น้ำตาลเข้มถึงดำ มีคอนทราสต์สูง ดูเหมือนกรดกัดสีออกจากเกล็ดท้อง (Belly): มีลักษณะเด่นที่สุด — “Zipper Belly” หรือเส้นดำซิกแซกใต้ท้องหัว (Head Stamp): มักเข้มกว่าลำตัว และบางตัวมีจุดกลางคล้ายตราผลรวมคือภาพลักษณ์ของงูที่ทั้ง “ลึกลับ ดิบ และทันสมัย” ซึ่งกลายเป็นลายหายากที่นักสะสมชื่นชอบ🧩 ความสำคัญทางพันธุกรรมประเภท : Incomplete Dominant (Co-Dom)สาย : ถูกคาดว่าอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับ Confusion และ Staticผสมกับมอร์ฟอื่นแล้วให้ผลที่ “แปลกลายอย่างชัดเจน” เช่นAcid Clown → ลายแตกละเอียดแบบหินอ่อนAcid Leopard → ลายเข้มและหนาแน่นAcid Pastel → ให้คอนทราสต์สูง สีเหลือง-ทองโดดออกมา💬 ทำไม Acid ถึงได้รับความนิยมหลังเปิดตัวได้ไม่นาน Acid กลายเป็นมอร์ฟที่ถูกพูดถึงมากในฟอรั่มต่างประเทศเพราะมันให้ผลลาย “ทันสมัย” และเข้ากับแทบทุกมอร์ฟที่มีอยู่แล้วในตลาดอีกทั้งยังไม่มีปัญหาทางสุขภาพเฉพาะแบบบางยีน จึงเหมาะกับทั้งนักเพาะและนักสะสม🕰️ Timeline สั้น ๆ2014 : Josh Jensen ค้นพบ Acid และเริ่มเพาะแพร่2015-2018 : Acid เริ่มเข้าสู่ตลาดอเมริกา ราคาพุ่งเพราะหายาก2019-ปัจจุบัน : เริ่มมีสายผสม Acid กับ Clown, Leopard, Pastel ออกมา และกลายเป็นหนึ่งในยีนพื้นฐานของนักเพาะยุคใหม่✨ สรุป “Acid Ball Python” ในหนึ่งย่อหน้ามอร์ฟยีนกึ่งโดมินันต์ที่ค้นพบโดย Josh Jensen เมื่อปี 2014 โดดเด่นด้วยลายแตกละเอียด สีเข้ม และซิปใต้ท้องสุดเท่ — Acid กลายเป็นหนึ่งในมอร์ฟที่เปลี่ยนแนวทางการเพาะบอลไพธอนยุคใหม่ให้หลุดจากความจำเจ และยังคงเป็นไอคอนของ “มอร์ฟลายกรด” ที่ไม่มีใครเหมือน 🐍⚡

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 07 พ.ย. 25

อ่าน 2 ครั้ง


“Adder Ball Python” – มอร์ฟลึกลับจากปี 2006 ที่หลายคนยังไม่รู้จัก

“Adder Ball Python” – มอร์ฟลึกลับจากปี 2006 ที่หลายคนยังไม่รู้จัก

🐍 “Adder Ball Python” – มอร์ฟลึกลับจากปี 2006 ที่หลายคนยังไม่รู้จักงูมอร์ฟหนึ่งในสายที่ “ถูกประเมินต่ำ” ที่สุดในวงการ…แต่ใครรู้จักแล้ว มักหลงเสน่ห์ลวดลายสุดเท่ของมันไม่รู้ตัว🧬 จุดเริ่มต้นของสาย “Adder”มอร์ฟ Adder ถูกค้นพบและพัฒนาโดย Colin Thomas ในปี 2006มันเป็นมอร์ฟ ยีนโดมินันต์ (Dominant) หมายถึง แค่ยีนเดียวก็สามารถแสดงลักษณะออกมาได้ชัดเจนในยุคแรก Adder ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะหลายคนคิดว่ามันคล้ายมอร์ฟเข้มทั่วไปแต่เมื่อเวลาผ่านไป นักเพาะเริ่มสังเกตว่า “Adder” มีลายเฉพาะตัวที่ไม่มีมอร์ฟไหนเหมือน🎨 ลวดลายที่ไม่เหมือนใครสิ่งที่ทำให้ Adder โดดเด่นคือ “ลายแนว Alien Head” ที่ใหญ่และเรียงชิดกันตลอดแนวลำตัวพื้นผิวมีความ “สะอาด” (clean dorsal) ไม่รก ไม่เลอะหัวออกโทนเข้ม ลายแน่น และหางมีลายเชื่อมต่อกันแบบ “chain pattern” ดูดุดันแต่สมดุลบางตัวมีความเข้มจนถูกเรียกว่า Black Adderให้ฟีลเท่ ลึกลับ เหมือนงูจากตำนานในชื่อเดียวกัน🧩 ความสำคัญทางพันธุกรรมประเภท: Dominant Geneแสดงลักษณะได้แม้มีเพียง 1 ยีนผสมกับมอร์ฟอื่นได้หลากหลาย เพราะไม่ไปกวน pattern มากนักยังไม่มีข้อมูลว่าอยู่ใน complex หรือกลุ่มยีนใดโดยตรงนี่คือเหตุผลที่หลายคนเรียก Adder ว่า “ยีนที่ถูกประเมินต่ำ”เพราะมันยังมีพื้นที่ให้ทดลองสร้างคอมโบใหม่อีกมากในอนาคต🔍 ทำไมถึงเรียกว่า “มอร์ฟลึกลับ”Adder เป็นมอร์ฟที่มีผู้ถือสายแท้ค่อนข้างน้อยข้อมูลบางส่วนกระจายอยู่ในฟอรั่มเฉพาะ เช่น MorphMarket Communityและยังไม่มีการแพร่หลายเท่ามอร์ฟยอดฮิตอย่าง Clown หรือ Piedแต่สำหรับนักสะสมระดับลึก — มันคือ “hidden gem” หรืออัญมณีที่ซ่อนอยู่ในวงการ💡 สรุป “Adder” ในหนึ่งย่อหน้าเริ่มต้นจาก Colin Thomas ในปี 2006, Adder เป็นมอร์ฟยีนโดมินันต์ที่มีเอกลักษณ์เรื่องลาย alien head ใหญ่ พื้นลำตัวสะอาด และหัวโทนเข้ม แม้จะไม่ดังเท่าสายหลัก แต่ความหายากและโทนลายสุดเท่ของมันทำให้ Adder กลายเป็นมอร์ฟที่นักสะสมตัวจริงเริ่มหันกลับมามองอีกครั้ง 🐍✨

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 07 พ.ย. 25


“210 Hypo” มอร์ฟนี้มีที่มาอย่างไรทำไมชื่อเหมือนมอร์ฟ Hypo (มอร์ฟงูบอลไพธอน)

“210 Hypo” มอร์ฟนี้มีที่มาอย่างไรทำไมชื่อเหมือนมอร์ฟ Hypo (มอร์ฟงูบอลไพธอน)

🐍 ประวัติของงูบอลไพธอนมอร์ฟ “210 Hypo”มอร์ฟสายเลือดใหม่ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในกลุ่ม Hypo🧬 จุดเริ่มต้นของชื่อ “210 Hypo”ชื่อ “210 Hypo” มาจากผู้พัฒนาและเพาะพันธุ์หลักคือ 210 Reptiles ซึ่งเริ่มโปรเจกต์นี้ราวปี 2016พวกเขาต้องการสร้าง “สาย Hypo ใหม่” ที่ไม่ซ้ำกับ Hypo เดิมอย่าง Orange Ghost หรือ Ghost ที่มีอยู่แล้วในวงการต้นสายตัวผู้ที่ชื่อว่า Hollywood (หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า 210 Hypo) ถูกระบุว่าเริ่มถูกนำเข้ามาในปี 2013 โดย Ron Tremper ก่อนจะเข้าสู่มือของทีม 210 Reptiles และถูกพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นสายที่เรารู้จักในปัจจุบัน⚗️ จุดประสงค์ของการพัฒนาเป้าหมายของทีมผู้เพาะคือการสร้างมอร์ฟที่มีโทนสีและลักษณะ “นุ่มนวลกว่า Hypo เดิม” แต่ยังคงความคมชัดของลวดลายไว้ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือมอร์ฟที่มีสีทองอ่อน ผสมโทนส้มจาง และมีขอบลายสีขาวสะอาด ดูละมุนและเรียบหรู🧩 ความแตกต่างจาก Hypo / Orange Ghost เดิมสิ่งที่ทำให้ “210 Hypo” เป็นที่ถกเถียงและน่าสนใจในวงการคือเมื่อผสมกับ Hypo หรือ Orange Ghost สายทั่วไป ลูกที่ได้ จะเป็นเพียงพาหะ (het) เท่านั้นไม่เกิดลูกที่แสดงลักษณะ Hypo ออกมาแบบ visualแปลว่า “210 Hypo” ไม่ใช่สายย่อยของ Hypo เดิมแต่เป็น ยีนรีเซสซีฟ (Recessive) ตัวใหม่โดยสมบูรณ์ ซึ่งไม่เข้ากันกับยีน Hypo ที่รู้จักอยู่ก่อนหน้า🎨 ลักษณะภายนอกที่โดดเด่นในสายนี้แม้จะมีชื่อว่า “Hypo” แต่ 210 Hypo มีโทนสีที่เฉพาะตัวมากโทนสีออกน้ำตาลทองจาง พร้อมเฉดส้มละมุนลวดลาย “Alien Head” ชัด ขอบขาวสะอาดท้องสีขาว (Clear Belly)หัวมี blushing หรือเฉดสีจางนวล ๆมีจุดเล็ก ๆ ทั่วลำตัว (freckling) ที่ทำให้ดูมีมิติลักษณะทั้งหมดนี้ทำให้ “210 Hypo” เป็นหนึ่งในมอร์ฟที่ดู “อบอุ่น นุ่มตา แต่ยังคงความคมชัด” ของบอลไพธอนได้ดีที่สุดตัวหนึ่ง📖 การยืนยันสายพันธุ์ข้อมูลจากชุมชนผู้เพาะในต่างประเทศ เช่น MorphMarket และ Community MorphMarket มีการยืนยันว่า210 Hypo ผ่านการทดสอบผสมหลายครั้งไม่แสดงลักษณะร่วมกับ Hypo หรือ Orange Ghost เดิมเป็นสาย Recessive แท้ (Visual เฉพาะเมื่อมี 2 ยีน)ปัจจุบันยังไม่มีการพบ complex หรือกลุ่มยีนที่เชื่อมโยงกับมอร์ฟอื่น🔍 สถานะในวงการปัจจุบันปัจจุบัน “210 Hypo” ถือเป็นมอร์ฟ หายาก (rare line) ที่มีเพียงไม่กี่ฟาร์มในอเมริกาและยุโรปที่ถือสายแท้นักสะสมและผู้เพาะจำนวนมากเริ่มให้ความสนใจ เพราะเชื่อว่าสามารถนำไปผสมต่อกับมอร์ฟอื่นได้เพื่อสร้าง “Hypo รุ่นใหม่” ที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยความเป็นสายเลือดเฉพาะที่ยังไม่ถูกแทนที่โดย Hypo เดิม ทำให้ 210 Hypo ถูกมองว่าเป็น “สายใหม่ในตระกูล Hypo” ที่มีอนาคตในการเพาะพันธุ์สูงมาก🧠 สรุป “210 Hypo” ในหนึ่งย่อหน้า210 Hypo คือมอร์ฟรีเซสซีฟสายใหม่ที่พัฒนาโดย 210 Reptiles ตั้งแต่ปี 2016 มีต้นสายชื่อ Hollywood มีลักษณะโทนสีทองอ่อนและลายขาวคมชัด ไม่เข้ากันกับ Hypo หรือ Orange Ghost เดิม ถือเป็นหนึ่งใน Hypo รุ่นใหม่ที่หายาก และกำลังได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดต่างประเทศ

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 07 พ.ย. 25

อ่าน 1 ครั้ง


🐣 มือใหม่หัดเลี้ยง Exotic Pets ต้องรู้อะไรบ้าง? คู่มือฉบับเริ่มต้น

🐣 มือใหม่หัดเลี้ยง Exotic Pets ต้องรู้อะไรบ้าง? คู่มือฉบับเริ่มต้น

การเลี้ยง สัตว์เลี้ยงแปลก (Exotic Pets) อาจดูน่าตื่นเต้นและไม่เหมือนใคร แต่ก็มีความท้าทายเฉพาะตัวที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะสำหรับ "มือใหม่" การเตรียมความรู้และความพร้อมก่อนรับสัตว์เหล่านี้เข้าบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก🎯 ทำไม Exotic Pets ถึงน่าสนใจ?มีรูปร่าง สีสัน หรือนิสัยที่ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงทั่วไปเป็นมิตร เงียบสงบ เหมาะกับคนอยู่คอนโดหรือมีพื้นที่จำกัดบางชนิดไม่ต้องพาออกไปเดินเล่นหรือต้องดูแลทุกวัน✅ สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มเลี้ยง Exotic Pets1. รู้จักสัตว์ที่จะเลี้ยงให้ดีศึกษาพฤติกรรม, วงจรชีวิต, โรคที่พบบ่อย และความต้องการเฉพาะทางตัวอย่างเช่น งูบอลไพธ่อน ต้องมีที่หลบซ่อนและอุณหภูมิคงที่ หรือ เม่นแคระ ต้องระวังอาการขี้ตกใจ2. อุปกรณ์และที่อยู่อาศัยเตรียมตู้หรือกรงที่เหมาะสมกับขนาดและลักษณะของสัตว์ตรวจสอบระบบควบคุมอุณหภูมิ/ความชื้น (เช่น ฮีตเตอร์, หลอด UVB, มิเตอร์วัดอุณหภูมิ)3. อาหารและโภชนาการหาข้อมูลเรื่องอาหารที่ถูกต้อง เช่นกิ้งก่าเบี๊ยดดราก้อน: จิ้งหรีด, ผักใบเขียวเต่าบกซูคาต้า: หญ้า, ฟางแห้ง, ผักที่ไม่มีแคลเซียมสูงเกินหลีกเลี่ยงการให้อาหาร "จากการคาดเดา" เพราะสัตว์บางชนิดอาจตายได้จากของที่คนคิดว่าไม่เป็นไร4. สุขภาพและการดูแลเรียนรู้สัญญาณป่วยเบื้องต้น เช่น ไม่กินอาหาร, หายใจเสียงดัง, อ่อนแรงตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญ exotic pets เป็นระยะ5. ความถูกต้องตามกฎหมายบางชนิดอาจอยู่ในบัญชีไซเตส (CITES) หรือกฎหมายไทยห้ามครอบครองควรซื้อจากร้าน/ฟาร์มที่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง เช่น มีใบอนุญาตจากกรมอุทยานฯ6. งบประมาณในการเลี้ยงค่าใช้จ่ายเริ่มต้น (ซื้อสัตว์ + อุปกรณ์พื้นฐาน): 1,500 – 20,000+ บาทค่าใช้จ่ายรายเดือน (อาหาร, ไฟฟ้า, วัสดุรองพื้น, ยา): 300 – 3,000 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดสัตว์🚫 สิ่งที่ไม่ควรทำซื้อสัตว์แปลกจากตลาดมืดหรือไม่รู้แหล่งที่มานำสัตว์ไปสัมผัสกับคนอื่นโดยไม่แน่ใจเรื่องโรคเลี้ยงร่วมกับสัตว์อื่นที่มีขนาดต่างกันโดยไม่ได้ศึกษาก่อนคิดว่า Exotic Pets “ทน” และไม่ต้องดูแลเท่าสุนัข/แมว (ความคิดนี้ผิด!)🛠 แนะนำอุปกรณ์เบื้องต้นที่มือใหม่ควรมีอุปกรณ์ใช้ทำอะไรประมาณราคากล่อง/ตู้เลี้ยงที่อยู่อาศัยหลัก500–3,000฿หลอด UVBจำเป็นสำหรับสัตว์เลื้อยคลาน500–1,500฿ฮีตเตอร์/แผ่นความร้อนควบคุมอุณหภูมิ300–1,000฿เครื่องวัดอุณหภูมิ/ความชื้นตรวจสภาพแวดล้อม200–800฿วัสดุรองพื้นดูดซับของเสีย100–500฿🧠 เคล็ดลับสำหรับมือใหม่เริ่มต้นจากสัตว์ที่เลี้ยงง่ายก่อน เช่น เม่นแคระ, กบฮอร์น, กิ้งก่าเบี๊ยดดราก้อนเข้าร่วมกลุ่มออนไลน์หรือฟอรั่มเกี่ยวกับ Exotic Pets เพื่อเรียนรู้จากคนเลี้ยงจริงถ่ายภาพ/จดบันทึกพฤติกรรมสัตว์ทุกวันในช่วงแรก จะช่วยให้จับอาการผิดปกติได้เร็ว📚 อ้างอิง (References)AVMA Exotic Pet Care Guidehttps://www.avma.orgReptifiles – Beginner’s Guide to Reptile Carehttps://www.reptifiles.comExotic Animal Medicine – Merck Veterinary Manualhttps://www.merckvetmanual.com

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 20 พ.ค. 25

อ่าน 20 ครั้ง


🌟 Exotic Pets คืออะไร? แนะนำ 10 สัตว์เลี้ยงแปลกยอดนิยมในไทย

🌟 Exotic Pets คืออะไร? แนะนำ 10 สัตว์เลี้ยงแปลกยอดนิยมในไทย

Exotic Pets คืออะไร?Exotic Pets หรือ “สัตว์เลี้ยงแปลก” คือสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงทั่วไป เช่น สุนัขหรือแมว แต่เป็นสัตว์สายพันธุ์พิเศษหรือหายากที่มีถิ่นกำเนิดต่างประเทศ หรือมีลักษณะเฉพาะที่ไม่พบเห็นบ่อยในบ้านเรา เช่น เม่นแคระ งู กิ้งก่า หรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำบางชนิดสัตว์เหล่านี้มักต้องการการดูแลที่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงทั่วไป เช่น เรื่องอุณหภูมิ อาหาร หรือการจัดสภาพแวดล้อม แต่ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีเสน่ห์เฉพาะตัว และให้ประสบการณ์เลี้ยงที่น่าท้าทาย🐾 10 สัตว์ Exotic ยอดนิยมในไทย1. เม่นแคระแอฟริกา (African Pygmy Hedgehog)ขนาดเล็ก เลี้ยงง่าย ไม่ส่งเสียงดังต้องการอุณหภูมิที่อบอุ่นและการให้อาหารเฉพาะอายุเฉลี่ย: 3–6 ปี2. ซูการ์ไกลเดอร์ (Sugar Glider)หนูบินขนาดเล็ก ชอบอยู่เป็นกลุ่มต้องการกรงขนาดใหญ่และของเล่นปีนป่ายชอบอาหารที่มีน้ำตาลตามธรรมชาติ เช่น น้ำหวานผลไม้3. งูบอลไพธ่อน (Ball Python)งูไม่มีพิษ ขนาดเล็ก-กลาง เรียบร้อยเลี้ยงในกล่องหรือกลาสเฮาส์ที่ควบคุมอุณหภูมิอายุเฉลี่ย: 20–30 ปี4. กิ้งก่าเบี๊ยดดราก้อน (Bearded Dragon)อัธยาศัยดี ติดคนต้องการแสง UVB และอาหารทั้งแมลงกับผักอายุเฉลี่ย: 8–12 ปี5. เฟอเร็ต (Ferret)ขี้เล่น ฉลาด แต่มีกลิ่นเฉพาะตัวควรเลี้ยงในบ้านหรือกรงขนาดใหญ่ต้องการของเล่นและการเข้าสังคม6. กบฮอร์นแปซิฟิก (Pacman Frog)กบขนาดใหญ่ กินแมลงและสัตว์ขนาดเล็กไม่ชอบถูกรบกวน เหมาะสำหรับดูมากกว่าสัมผัส7. เต่าซูคาต้า (Sulcata Tortoise)เต่าบกขนาดใหญ่ โตช้าชอบอากาศร้อนและต้องมีพื้นที่ให้เดินอายุเฉลี่ย: 50–70 ปี8. แมงมุมทาแรนทูล่า (Tarantula)เลี้ยงง่าย ไม่ต้องให้อาหารทุกวันเหมาะกับคนไม่กลัวแมงมุมและต้องการสัตว์เลี้ยงที่เงียบ9. กุ้งเครฟิช (Crayfish)มีหลายสี เช่น ฟ้า ม่วง ชมพูนิยมเลี้ยงในตู้ปลาขนาดเล็ก-กลางไม่ควรเลี้ยงรวมกับปลาตัวเล็ก10. กบต้นไม้เขียว (Green Tree Frog)สีสวย น่ารัก ชอบอาศัยบนต้นไม้ต้องการความชื้นและอุณหภูมิคงที่เลี้ยงในตู้กระจกแนวตั้ง🧠 สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลี้ยง Exotic Petsควรศึกษาความต้องการเฉพาะของสัตว์แต่ละชนิดตรวจสอบว่าไม่ผิดกฎหมายหรือขัดต่ออนุสัญญาไซเตส (CITES)หาที่มาจากฟาร์มหรือผู้เพาะเลี้ยงที่มีใบอนุญาตเตรียมพร้อมรับผิดชอบระยะยาว เพราะสัตว์บางชนิดมีอายุยืนมาก📚 อ้างอิง (References)Exotic Pet Ownership Guidelines – American Veterinary Medical Association (AVMA)https://www.avma.org"Top 10 Most Popular Exotic Pets" – PetMDhttps://www.petmd.com/exotic/care/evr_ex_top_10_exotic_petsCITES Thailand – กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชhttp://www.dnp.go.thAnimal Diversity Web – University of Michiganhttps://animaldiversity.org

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 20 พ.ค. 25

อ่าน 25 ครั้ง


ทำไม "ชิวาว่า" และ "ปอมเมอริเนี่ยน" ไม่เหมาะเป็น "K-9" ?

ทำไม "ชิวาว่า" และ "ปอมเมอริเนี่ยน" ไม่เหมาะเป็น "K-9" ?

แด่คนรักน้องหมาทุกท่านที่เห็นโพสต์นี้ ก่อนจะดราม่า กรุณาอ่านบทความให้จบเสียก่อน ห้ามมาบีบน้ำตาหรือโมโหในนี้ ใครไม่ฟังแบนถาวร นับตั้งแต่ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ตึกถล่มจากแรงสะเทือนแผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา หน่วยกู้ภัยและทีมช่วยเหลือพร้อมกับหน่วยสุนัข K-9 เข้าทำการช่วยเหลือคนที่ติดในซากอาคารออกมา ขณะเดียวกันนั่นเอง ผู้คนบางกลุ่มอาศัยจังหวะนี้ในการสร้างภาพ AI น้องหมาปอมและชิวาว่าเข้าไปเหมือนปฏิบัติการณ์กู้ตึก แล้วกลายเป็นมีคนหลงเชื่อในจำนวนมาก คนที่เข้าไปเตือนก็โดนคนรักหมาทุ่งลาเวนเดอร์ด่าเสียหายกัน ดังนั้นวันนี้แอดบิวจะมาบอกเล่ากันว่า "ทำไมชิวาว่าและปอมเมอริเนี่ยนถึงไม่เหมาะเป็น K-9 ?" คนรักหมาอย่าเพิ่งเอาเรื่องความเท่าเทียมมาพูดนะ ฟังก่อน• ก่อนอื่นต้องรู้จักก่อนว่า K-9 คืออะไร ซึ่งหน่วย K-9 คือสุนัขที่ผ่านการฝึกฝนทางการทหารและตำรวจเพื่อใช้ปฏิบัติการณ์หลายรูปแบบ ทั้งการจับกุมผู้ร้ายและอาชญากร การอารักขา การเฝ้ายาม ดมหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงงานกู้ชีพต่างๆ ซึ่งสุนัขที่เหมาะแก่การฝึกเป็น K-9 จะต้องเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่เหมาะแก่การทำงานหนัก และสายพันธุ์ที่มีความอึดความอดทนในการฟังคำสั่ง • ซึ่งสุนัขที่เป็น K-9 ที่เราเห็นกันบ่อยๆในสื่อก็จะเป็นสายพันธุ์เยอรมันเชิร์พเพิร์ด (หรืออัลเซเชี่ยน) ที่มักเป็นสุนัขตำรวจและสุนัขทหารชั้นเลิศในด้านงานบู๊หลายแบบ นอกจากนี้ก็ยังมีลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์, เบลเจียนมาลินัวส์, บีเกิ้ล, โดเบอร์แมนพินเชอร์, ดัทซ์เชิร์พเพิร์ด และสายพันธุ์อื่นๆที่แก่งานสายทหารและตำรวจ • กรณีของปอมเมอริเนี่ยนและชิวาว่านั้น ไม่มีคุณสมบัติการเป็น K-9 เลยสักนิด การเป็นสุนัข K-9 ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีการรับฟังคำสั่งดี สั่งหมอบคือหมอบ สั่งคอยคือคอย สั่งไล่คือไล่เท่านั้น แต่กรณีทั้งสองตัวนี้พัฒนามาเพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงาของมนุษย์เท่านั้น ได้ยินเสียงปูนถล่มอาจช็อกตายคาที่ไม่ก็สั่นทั้งตัวเป็นเจ้าเข้าตลอดเวลา • แต่กรณีชิวาว่านั้น เป็นสุนัขที่นิสัยโคตรจะใจกล้าและกร่างไปทั่ว เห่าเสียงดังเหมาะแก่การแจ้งเตือน แต่เอาเข้าจริงๆ น้องขาดคุณสมบัติการเป็น K-9 เพียบ ยกเว้นหน้าที่สุนัขบำบัดหรือ Theraphy dog ที่เหมาะกับชิวาว่าที่สุด บางตัวฝึกมาเพื่อเป็นสุนัขบำบัดโรคซึมเศร้าในโรงพยาบาลจิตเวชนั่นเอง • ฉะนั้นก็มีเพียงเท่านี้ที่แอดบิวจะมาบอกทุกคนครับ ดังนั้นก่อนแชร์รูปอะไรก็ต้องรู้ความจริง อย่าเพิ่งเอาความน่ารักและความโรแมนซ์มาใส่ให้บรรยากาศมันดี เพราะมันจะบิดเบือนข้อเท็จจริงไปจนหมดนั่นเอง

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 02 เม.ย. 25

อ่าน 10 ครั้ง


ปลาก็ใช้เครื่องมือได้ !

ปลาก็ใช้เครื่องมือได้ !

เรื่องน่ารู้ของความฉลาดของหมู่มวลมัจฉา โลกนี้การใช้เครื่องมือนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สัตว์มีความก้าวหน้า ช้างใช้ต้นไม้ช่วยเกาหลังในจุดงวงเอื้อมไม่ถึง ลิงอุรังอุตังสามารถทำรังนอนบนต้นไม้ด้วยการสานใบไม้เป็นเปลนอน อีกาใช้หินถ่วงให้น้ำเพิ่มระดับเพื่อเอาอาหารออกจากขวดแคบๆ หรือแม้แต่มนุษย์เราที่ใช้เครื่องมือต่างๆอำนวยความสะดวก เห็นได้ชัดว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกับนกมีความสามารถในการใช้เครื่องมือได้ แล้วมองมาที่บรรพบุรุษอย่างปลากันบ้าง พวกนี้มีการใช้เครื่องมือหรือไม่ ? • คำตอบคือ ปลาก็เป็นพวกใช้เครื่องมือเหมือนกัน ! ฟังดูแปลกๆ แต่ปลาบางพวกเองก็รู้จักการใช้สิ่งรอบตัวเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้วย ซึ่งส่วนมากพฤติกรรมใช้เครื่องมือของปลาจะเป็นเพื่อการล่าและกินอาหารกับสร้างอาณาเขตมากกว่าจะใช้เพื่อความสะดวกสบาย แม้สมองของปลาอาจจะดูไม่ก้าวหน้าเท่าสัตว์มีกระดูกสันหลังบนบกก็ตาม แต่พวกมันเน้นการเอาตัวรอด อย่างปลาแก้วกู่ (Blackspot tuskfish - 𝘊𝘩𝘰𝘦𝘳𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘴𝘤𝘩𝘰𝘦𝘯𝘭𝘦𝘪𝘯𝘪𝘪) ตัวในภาพประกอบบทความนี้ กำลังคาบหอยเอาไว้ในปากแล้วไปโขกกับก้อนหินตรงหน้าเพื่อเปิดหอยออก • เคยมีรายงานชุดนึงกล่าวว่า ปลากระเบนน้ำจืดจำพวกโมโตโร่ (Motoro stingray) จากลุ่มแม่น้ำแอมะซอนในอเมริกาใต้ ก็ใช้น้ำรอบตัวเป็นเครื่องมือในการหาอาหาร ด้วยการควบคุมการขยับของร่างกายทั้งลำตัว เพื่อเป็นการควบคุมการไหลของน้ำเพื่อสกัดให้แพลงตอนและพืชเล็กๆบางส่วนไหลเข้าปากของปลากระเบนได้โดยไม่ต้องว่ายออกแรงด้วย • ปลาสลิดหินบางชนิดก็ยังใช้ทรายและกรวดหินเป็นเครื่องมือในการทำรังของตัวเองด้วย พ่อแม่ปลาจะทำการเอาทรายและหินกรวยมารวมกันด้วยการคาบเอาไว้ในปากก่อนจะพ่นออกมาทำเป็นรังวางไข่ หรือปลาหมอสีในอเมริกาใต้ก็ใช้ใบไม้แห้งในการทำรังด้วยเช่นกัน โดยเลือกใบไม้ที่มีการงอตัวได้ดีไม่แตกหรือขาดง่ายมาทำคลุมไข่เอาไว้ • จะเห็นได้ชัดว่า ปลาเองก็เป็นสัตว์ที่ใช้เครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาในการเอาชีวิตรอดได้ เพื่อให้ได้อาหาร และการปกป้องเผ่าพันธุ์ตัวเองให้มีโอกาสรอดจนเติบโตได้ PIC CR. SCOTT GARDNERReferenceBernardi, G. (2011). "The use of tools by wrasses (Labridae)".Bourton, J. (January 13, 2010). "Clever stingray fish use tools to solve problems".Keenleyside, M.H.A., (1979). Diversity and Adaptation in Fish Behaviour, Springer-Verlag, Berlin.Keenleyside, M.H.A.; Prince, C. (1976). "Spawning-site selection in relation to parental care of eggs in Aequidens paraguayensis (Pisces: Cichlidae)". Canadian Journal of Zoology.

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 02 เม.ย. 25

อ่าน 2 ครั้ง


สารคัดหลั่งสีแดงในหนูแรท: ไม่ใช่เลือด แต่เป็นสัญญาณบางอย่าง!

สารคัดหลั่งสีแดงในหนูแรท: ไม่ใช่เลือด แต่เป็นสัญญาณบางอย่าง!

หากคุณเลี้ยงหนูแรทแล้ววันหนึ่งเห็นของเหลวสีแดง ๆ บนจมูกหรือรอบดวงตาของมัน คุณอาจตกใจคิดว่าหนูของคุณกำลังมีเลือดออก! แต่เดี๋ยวก่อน… สิ่งที่คุณเห็นนั้นอาจไม่ใช่เลือด แต่เป็น สาร Porphyrin ซึ่งเป็นของเหลวที่หนูแรทผลิตขึ้นเองอย่าเพิ่งตกใจไป เพราะสารนี้เป็นเรื่องปกติของหนูแรท แต่ถ้ามันเยอะผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณว่ามีอะไรบางอย่างไม่โอเค! วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันว่า Porphyrin คืออะไร? ทำไมหนูของคุณถึงมีมันมากขึ้น? และจะช่วยให้หนูสุขภาพดีได้อย่างไร?Porphyrin คืออะไร? ทำไมมันถึงเป็นสีแดง?Porphyrin เป็นสารที่ผลิตจาก ต่อมฮาร์เดอเรียน (Harderian Gland) ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับดวงตาของหนู สารนี้ช่วยให้ดวงตาของหนูชุ่มชื้น แต่เมื่อมันเยอะเกินไป หนูก็อาจดูเหมือนมีน้ำตาสีแดง หรือมีคราบสีแดง ๆ รอบจมูกและปากได้ที่สำคัญ มันไม่ใช่เลือด! แต่ถ้ามีมากเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเจ้าหนูของคุณ กำลังเครียด ป่วย หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมอะไรทำให้หนูแรทมีสารคัดหลั่งสีแดงเยอะขึ้น?🥶 ความเครียดหนูแรทเป็นสัตว์ที่อ่อนไหว ถ้ามีเสียงดัง การเปลี่ยนแปลงกรง หรือถูกจับบ่อยเกินไป อาจทำให้มันเครียดและสร้าง Porphyrin ออกมามากขึ้น🤒 ป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพหนูที่ป่วย เช่น เป็นโรคทางเดินหายใจ หรือมีปัญหากับระบบภูมิคุ้มกัน อาจหลั่ง Porphyrin ออกมามากกว่าปกติ🌬 อากาศแห้งหรือสารระคายเคืองถ้ากรงของหนูมีฝุ่นเยอะ หรืออยู่ในห้องที่มีอากาศแห้งเกินไป สารนี้ก็อาจออกมาเยอะกว่าปกติ🍽 อาหารไม่สมดุลหากหนูไม่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ร่างกายของมันอาจผลิตสารคัดหลั่งสีแดงมากขึ้นแล้วเราจะช่วยหนูของเราได้ยังไง?✅ ดูแลสภาพแวดล้อมให้ดีใช้วัสดุปูรองกรงที่ไม่มีฝุ่น เช่น Tinycobตั้งกรงในที่สงบ ห่างจากเสียงดังและควันบุหรี่✅ ให้โภชนาการที่เหมาะสมให้อาหารที่ครบถ้วน มีโปรตีน ไขมัน และวิตามินเพียงพอ✅ ลดความเครียดอย่าจับหนูบ่อยเกินไปโดยเฉพาะถ้ามันยังไม่คุ้นมือคุณให้มันมีที่หลบซ่อนในกรง เช่น บ้านไม้หรือท่อพลาสติก✅ สังเกตอาการผิดปกติถ้าหนูแสดงอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หายใจติดขัด ซึม หรือเบื่ออาหาร ควรพาไปพบสัตวแพทย์สรุปง่าย ๆ : สารคัดหลั่งสีแดงเป็นเรื่องปกติ แต่อย่ามองข้าม!หากเห็นของเหลวสีแดงในหนูแรท อย่าเพิ่งตกใจ เพราะมันไม่ใช่เลือด! แต่ถ้ามันมีเยอะผิดปกติ หรือหนูของคุณดูอ่อนแอ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าหนูกำลังเครียดหรือป่วย รีบตรวจสอบสภาพแวดล้อมและดูแลมันให้ดี!เขียนโดย Theme CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 01 เม.ย. 25

อ่าน 85 ครั้ง


ตะขาบวิวัฒนาการพิษแบบไม่ลดความแรง

ตะขาบวิวัฒนาการพิษแบบไม่ลดความแรง

การปรับตัวของสัตว์ผู้ล่าร้อยขา !!ทุกคนเห็นตะขาบอาจจะมีสองแง่คือ สัตว์ผู้ล่าที่มีพิษน่าสะพรึง และสัตว์ผู้ล่าชวนขนลุก แต่ถึงกระนั้นแล้ว ตะขาบอยู่บนโลกเรามา 400 ล้านปีนับตั้งแต่ปลาขึ้นบกยันไดโนเสาร์สูญพันธุ์และมนุษย์ครองโลก ตะขาบยังคงน่าเกรงขามและมีพิษมาตลอดนับแต่อดีต แต่ที่น่าสนใจก็คือ นักชีววิทยาพบว่า ตะขาบเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการด้านพิษมานานก่อนที่จะมีงูพิษเสียอีก • ซึ่งตะขาบนั้นมีพิษเป็นสารโปรตีนที่สกัดจากต่อมพิษภายในร่างกายส่งผ่านพิษด้วยการกัดเป็นหลัก พิษมีผลต่อระบบประสาทของเหยื่อและศัตรูที่มันกัด โดยพิษของพวกมันประกอบด้วยสารพิษสองตัวคือ ฮิสตามีน (Histamine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งปริมาณพิษที่ปล่อยออกมาจะขึ้นอยู่กับขนาดตัวของตะขาบ พูดง่ายๆก็คือ ตะขาบยิ่งตัวใหญ่พิษยิ่งแรงนั่นเอง • ซึ่งนักชีววิทยาทำงานวิจัยชิ้นนึงเกี่ยวกับวิวัฒนาการของพิษจากตะขาบ 5 อันดับที่เหลืออยู่บนโลก โดยเริ่มจากพวกที่เก่าแก่ที่สุดอย่างพวกตะขาบบ้านขายาว (House centipede - Order Scutigeromorpha) ที่มีพิษอ่อนที่สุดและไม่สามารถทำร้ายคนได้เลย จนถึงพวกที่มีพิษรุนแรงสุดๆพอจะทำให้คนเข้าห้องไอซียูได้ถ้าเผลอไปลองจับมันเข้า • อย่างเช่นตะขาบยักษ์ออสเตรเลีย (Australian giant centipede - 𝘌𝘵𝘩𝘮𝘰𝘴𝘵𝘪𝘨𝘮𝘶𝘴 𝘳𝘶𝘣𝘳𝘪𝘱𝘦𝘴) ตัวในภาพประกอบบทความนี้ เป็นหนึ่งในตะขาบที่มีพิษรุนแรงที่สุดในภูมิภาคโอเชียเนีย พวกมันมีพิษรุนแรงพอจะสามารถทำให้เหยื่อจำพวกแมลงและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วเพื่อง่ายต่อการจัดการ แล้วด้วยพิษที่รุนแรงกับขนาดตัวแล้ว มันก็มีผลให้คนที่โดนกัดเจ็บปวดรุนแรงด้วยนั่นเอง • นอกจากพิษที่สร้างเองแล้ว ตะขาบบางชนิดยังสะสมพิษจากพวกแบคทีเรียและเชื้อรามาเพื่อประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างที่พบได้ในตะขาบหัวแดงแทนซาเนีย (Red-headed centipede - 𝘚𝘤𝘰𝘭𝘰𝘱𝘦𝘯𝘥𝘳𝘢 𝘮𝘰𝘳𝘴𝘪𝘵𝘢𝘯𝘴) ที่นักชีววิทยาพบและตีพิมพ์ลงวารสารวิจัยในปี 2021 ว่าพิษของพวกมันเพิ่มประสิทธิภาพจากการมีแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดที่ส่งผลต่อเหยื่อและศัตรูด้วย ดังนั้นโอกาสหน้าถ้าเจอตะขาบ อย่าหมายลองจับเองเด็ดขาดPIC CR. Jackson NugentReferenceThese Animals Have Been Around For Over 400 Million Years And Evolved Venom 5 Timeshttps://www.iflscience.com/these-animals-have-been-around...Centipede Venom Is A Cocktail Of Genetic Material Nicked From Bacteria And Fungihttps://www.iflscience.com/centipede-venom-is-a-cocktail...Giant centipede - Ethmostigmus rubripes / Australian Geographyhttps://www.australiangeographic.com.au/.../fact-file.../

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 31 มี.ค. 25

อ่าน 25 ครั้ง


สัตว์ถ้ำต้องตาบอดเสมอหรือไม่ ?

สัตว์ถ้ำต้องตาบอดเสมอหรือไม่ ?

คุณสมบัติของการเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในถ้ำแสนมืดมิด ถ้ำ เป็นสถานที่และชีวนิเวศที่น่าอัศจรรย์ แม้ถิ่นอาศัยแห่งนี้จะมืดมิดเพียงใด สัตว์ก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนอาศัยอยู่โลกข้างนอกที่มีแสงสว่าง หลายคนจะจินตนาการว่า สัตว์ถ้ำเกือบทั้งหมดจะต้องตาบอดหรือไม่มีดวงตาเสมอ ความจริงแล้ว บรรดาสัตว์ที่อยู่ในถ้ำนั้นมีหลายรูปแบบและหลายหน้าตา ขึ้นอยู่กับสภาพความลึกของถ้ำนั่นเอง เรามาดูคุณสมบัติของสัตว์ถ้ำกันครับ ประเภทสัตว์ถ้ำ สัตว์ถ้ำนั้นจะแบ่งออกเป็นจำพวกการอยู่อาศัย 3 แบบครับ อาทิ 1.Troglobite : ผู้อาศัยถ้ำถาวร พวกนี้คือสัตว์ถ้ำของแท้ก็ว่าได้ เช่น ตัวโอล์ม (Olm) และปลาถ้ำตาบอด (Blind cave fish)2.Troglophile : ผู้อาศัยถ้ำเป็นพื้นที่นอนหลับพักผ่อน มีประสาทสัมผัสการใช้ชีวิตในถ้ำได้ดี แต่หากินโลกภายนอกได้ เช่น แมงป่องแส้ และ งูกาบหมากหางนิล เป็นต้น3.Trogloxene : ผู้เยี่ยมเยือนถ้ำแบบชั่วคราว ประสาทสัมผัสใช้ชีวิตในถ้ำต่ำ เช่น ค้างคาว และ หมี เป็นต้น คุณสมบัติสัตว์ถ้ำ คุณสมบัติการอยู่อาศัยในถ้ำนั้น สัตว์หลายชนิดมีวิวัฒนาการเพื่อปรับตัวใช้ชีวิต แม้ชั่วคราวก็มีเซ้นต์ในการอยู่อาศัยได้ คุณสมบัติมีดังนี้1.เคลื่อนไหวช้า - การอยู่ถ้ำไม่จำเป็นต้องขยับตัวเยอะมาก เนื่องด้วยการขยับตัวนั้นเสี่ยงต่อการเสียพลังงานร่างกายไปแล้วทำให้หิวง่าย ดังนั้นการขยับตัวช้าจะช่วยรักษาพลังงานและสามารถไม่กินอาหารได้นานเป็นเดือนช่วงที่หาอาหารไม่ได้นั่นเอง 2.ไม่มีตาหรือตาหดลง - สัตว์ถ้ำหลายชนิดโดยเฉพาะพวก Troglobite จะวิวัฒนาการดวงตาหายไป เนื่องด้วยการใช้ชีวิตในถ้ำไม่อาศัยการมอง แต่อาศัยการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆแทน ทั้งการรับรู้การสั่นไหว การดมกลิ่น และการรับรู้สนามแม่เหล็กและการใช้ตรวจจับด้วยกระแสไฟฟ้าได้3.ไม่มีเม็ดสี - สัตว์ถ้ำหลายชนิดมักจะไม่มีเม็ดสีหรือสีดูขุ่นๆหมองๆ เนื่องด้วยการอยู่ในถ้ำไม่จำเป็นต้องทำตัวเด่นเกินไป เพื่อเลี่ยงการถูกจับตามองเห็น ดังนั้นสีซีดเหมือนวิญญาณคือหนทางที่ดีสุดในการอยู่ถ้ำ4.มีอวัยวะที่ตรวจจับสัมผัสได้ - จะมีหนวดยาวแบบแมลงถ้ำ หรืออวัยวะพิเศษในร่างกายที่ทำให้รับรู้ภายในโลกอันมืดมิด ช่วยให้สัตว์นั้นๆสามารถปรับตัวได้ในโลกอันมืดมิด ซึ่งที่กล่าวมาทั้ง 4 ประการนั้น ตัวโอล์ม (ตัวในภาพประกอบ) ผู้เป็นซาลาแมนเดอร์ถ้ำแห่งยุโรปตอนใต้คือสัตว์ที่มีคุณสมบัติการเป็นสัตว์ถ้ำทั้งหมดเลย ทั้งเคลื่อนไหวช้า ไม่มีดวงตา ไม่เม็ดสีจนตัวซีด และมีอวัยวะประสาทสัมผัสอย่างเหงือก ปลายเท้า และลำตัวในการรับรู้แรงสั่นไหวได้นั่นเอง PIC CR. lucacavallariReferenceThe Dark!: Wild Life in the Mysterious World of Caves / Lindsey Leigh How have animals living only in caves adapted?https://oceanexplorer.noaa.gov/facts/cave-adapt.htmlWhat Are The Adaptations In Cave-Dwelling Animals?https://www.worldatlas.com/.../what-are-the-adaptations...

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 30 มี.ค. 25

อ่าน 11 ครั้ง


กระต่ายสีส้มขนมีเขม่าเยอะมากไม่เหมือนส้มตัวอื่นเลย เกิดจากอะไร??? ทำความรู้จักกับ Rufus Modifiers และ Wideband Gene: ปัจจัยสำคัญของสีขนในกระต่าย

กระต่ายสีส้มขนมีเขม่าเยอะมากไม่เหมือนส้มตัวอื่นเลย เกิดจากอะไร??? ทำความรู้จักกับ Rufus Modifiers และ Wideband Gene: ปัจจัยสำคัญของสีขนในกระต่าย

Rufus Modifiers และ Wideband Gene คืออะไร?Rufus Modifiers และ Wideband Gene เป็นปัจจัยทางพันธุกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสีขนของกระต่าย โดยเฉพาะในสายพันธุ์ที่มีสีแดง (Red) ส้ม (Orange) หรือฟอว์น (Fawn) ทั้งสองยีนนี้ทำงานร่วมกันเพื่อปรับเฉดสีและการกระจายตัวของเม็ดสีในขนของกระต่ายRufus Modifiers คืออะไร?Rufus Modifiers เป็นชุดของยีนที่ส่งผลต่อระดับของเม็ดสี phaeomelanin (เม็ดสีเหลือง-แดง) ในขนของกระต่าย ยีนเหล่านี้ไม่ได้เป็นยีนเดี่ยว แต่เป็นกลุ่มของยีนหลายตัวที่ควบคุมความเข้มหรืออ่อนของสีแดงลักษณะทางพันธุกรรมของ Rufus Modifiers:ลักษณะทางพันธุกรรม: Rufus Modifiers ไม่ใช่ยีนเดี่ยวที่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่เป็นกลุ่มของ polygenes หรือ modifier genes ที่ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มความเข้มของเม็ดสีเหลือง-แดง (phaeomelanin) ในขนของกระต่าย ​การแสดงออก: เนื่องจากเป็น polygenic การแสดงออกของ Rufus Modifiers จึงไม่เป็นแบบเด่นหรือด้อยตามกฎของ Mendel แต่เป็นการเพิ่มหรือลดระดับของสีแดงในขน ขึ้นอยู่กับจำนวนและความเข้มข้นของ modifiers ที่มีอยู่หน้าที่ของ Rufus Modifiers:เพิ่มความเข้มของสีแดงในขนทำให้สีของกระต่ายดูสดใสขึ้น เช่น จากสีส้มอ่อนเป็นสีแดงเข้มพบได้ในกระต่ายที่มีสี Orange, Red และ Fawnระดับของ Rufus Modifiers:ระดับต่ำ: สีขนออกไปทางเหลืองหรือส้มอ่อนระดับสูง: สีขนออกไปทางแดงเข้ม (พบในกระต่าย Red เช่น Thrianta หรือ Red New Zealand)Wideband Gene คืออะไร?Wideband Gene (W/w) เป็นยีนที่มีอิทธิพลต่อการกระจายของเม็ดสีในขน โดยเฉพาะในกระต่ายที่มีลวดลายแบบ Agouti (A_) และสีแดง-ส้ม ช่วยให้สีขนดูเรียบเนียน ไม่มีการแซมของสีดำหรือสีเข้มลักษณะทางพันธุกรรมของ Wideband Gene:ลักษณะทางพันธุกรรม: Wideband Gene ถูกระบุด้วยสัญลักษณ์ W และ w โดยที่ w เป็นยีนด้อย ซึ่งหมายความว่ากระต่ายต้องได้รับยีน w จากทั้งพ่อและแม่ (genotype: ww) เพื่อให้แสดงลักษณะ wideband อย่างเต็มที่ ​การแสดงออก: ยีน Wideband มีผลต่อการขยายความกว้างของแถบสีในขนของกระต่ายที่มีลวดลายแบบ Agouti ทำให้สีขนดูสว่างขึ้นและลดการแซมของสีดำ (ticking) อย่างไรก็ตาม ผลของยีนนี้จะเห็นได้ชัดเจนในกระต่ายที่มีลวดลาย Agouti และอาจไม่แสดงผลในกระต่ายที่มีลวดลายอื่นหน้าที่ของ Wideband Gene:ลดการเกิดสีแซมดำ (ticking) ในขนของกระต่ายขยายพื้นที่ของเม็ดสีเหลือง-แดง ทำให้สีขนดูสดขึ้นพบมากในกระต่ายที่มีสี Red, Orange และ Harlequinยีน Wideband (W/w) ทำงานอย่างไร?WW หรือ Ww: กระต่ายอาจมีสีขนแซมหรือมีลวดลายชัดขึ้นww: ขนจะเป็นสีเดียวตลอดทั้งเส้น (ไม่มี ticking) ทำให้กระต่ายมีสีแดงสด เช่นใน ThriantaRufus Modifiers และ Wideband Gene ทำงานร่วมกันอย่างไร?กระต่ายสี Red หรือ Orange ที่มีสีขนเข้มและสดใส มักต้องมีการทำงานร่วมกันของ Rufus Modifiers สูง และ ww (Wideband แบบด้อย) เช่น:ตัวอย่างชุดยีนและสีขนที่เกิดขึ้น:ee ww + Rufus Modifiers สูง → กระต่ายสีแดงเข้ม (เช่น Thrianta)ee Ww + Rufus Modifiers ปานกลาง → กระต่ายสีส้ม (เช่น Orange Holland Lop)Ee WW + Rufus Modifiers ต่ำ → สีขนอ่อนกว่าและมีสีแซมดำA_ ww ee + Rufus Modifiers สูง → กระต่ายสีแดงแบบ Agouti (Fawn หรือ Red Agouti)A_ WW Ee + Rufus Modifiers ต่ำ → กระต่ายสี Agouti ธรรมดา (Chestnut)หมายเหตุ: ชุดยีนเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างและอาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อสีขนของกระต่ายด้วยตัวอย่างชุดยีนและสีขนที่เกิดขึ้นA_ B_ C_ D_ ee ww: กระต่ายสีแดง (Red) ที่มีสีขนสม่ำเสมอและไม่มีการแซมของสีดำ​A_ B_ C_ D_ ee Ww: กระต่ายสีส้ม (Orange) ที่อาจมีการแซมของสีดำเล็กน้อย​A_ B_ C_ D_ Ee ww: กระต่ายสีเชสนัท (Chestnut) ที่มีสีขนอ่อนกว่าและอาจมีการแซมของสีดำ​เพียงเล็กน้อยสรุปRufus Modifiers และ Wideband Gene เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกำหนดสีขนของกระต่าย โดย Rufus Modifiers ควบคุมความเข้มหรืออ่อนของสีแดง ส่วน Wideband Gene ควบคุมการกระจายตัวของเม็ดสี การทำงานร่วมกันของทั้งสองยีนนี้ช่วยให้กระต่ายมีสีแดง-ส้มที่สวยงามและสม่ำเสมอ ดังนั้น หากต้องการกระต่ายสีแดงเข้ม ต้องมี ee ww + Rufus Modifiers สูง เพื่อให้สีขนออกมาตามต้องการหากคุณกำลังเพาะพันธุ์กระต่ายที่มีสีขนสวยงาม การเข้าใจเรื่อง Rufus Modifiers และ Wideband Gene จะช่วยให้คุณคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น!เขียนโดย Theme CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 30 มี.ค. 25

อ่าน 11 ครั้ง


เลือกซื้อกระต่ายอย่างไรให้ไม่โดนหลอกกก👻

เลือกซื้อกระต่ายอย่างไรให้ไม่โดนหลอกกก👻

กระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมที่มีทั้งความน่ารักและความหลากหลายของสายพันธุ์ หากคุณกำลังมองหากระต่ายที่มีคุณภาพดี การเลือกซื้อตามฟาร์มระบบปิดก็ช่วยให้คุณมีโอกาสได้รับกระต่ายที่มีสุขภาพดีมากขึ้น หรือ ให้ดีกว่านั้นก็เลือกซื้อจากฟาร์มที่มีการพัฒนาตามมาตราฐานสายพันธุ์ ซึ่งในไทยจะนิยมเพาะตาม มาตรฐานของ American Rabbit Breeders Association (ARBA) แต่ก็มีบ้างที่เพาะตาม มาตราฐานของยุโรปถ้าหากคุณยังไม่เข้าใจเรื่องเกรดของกระต่าย แนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อน >>> เกรดของกระต่าย??? ทำไมกระต่ายถึงมีหลายเกรด***แต่ละฟาร์ม หน้าตาและรูปร่างของกระต่ายจะไม่เหมือนกันดังนั้นก่อนซื้อกระต่ายแนะนำให้เลือกดูจากหลายๆฟาร์มก่อนหรือดูที่งานประกวด***1. ทำความเข้าใจกับมาตรฐาน ARBAARBA (American Rabbit Breeders Association) เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานสำหรับกระต่ายแต่ละสายพันธุ์ โดยครอบคลุมลักษณะสำคัญ เช่น ขนาด รูปร่าง สี และโครงสร้างของร่างกาย✅ ปัจจุบัน ARBA รับรองมากกว่า 50 สายพันธุ์ แบ่งตามลักษณะขนาดและรูปร่าง เช่นสายพันธุ์ขนาดเล็ก (Small Breeds): Netherland Dwarf, Holland Lopสายพันธุ์ขนาดกลาง (Medium Breeds): Mini Rex, Dutchสายพันธุ์ขนาดใหญ่ (Large Breeds): Flemish Giant, French Lop2. การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมก่อนเลือกซื้อกระต่าย ควรพิจารณาว่าสายพันธุ์ไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณขนาดตัวอย่างสายพันธุ์น้ำหนักโดยเฉลี่ยนิสัยเล็ก (1-2 กก.) Netherland Dwarf, Holland Lop 0.9 - 2 กก.ขี้เล่น, ซุกซนกลาง (2-4 กก.) Mini Rex, Dutch, English Spot 2 - 4 กก.อ่อนโยน, เป็นมิตรใหญ่ (4 กก. ขึ้นไป) Flemish Giant, French Lop 4 - 6 กก. ขึ้นไปสุขุม, เชื่อง✳ หากต้องการกระต่ายที่เลี้ยงง่าย – Mini Rex หรือ Holland Lop เป็นตัวเลือกที่ดี✳ หากต้องการกระต่ายขนาดใหญ่และสุขุม – Flemish Giant อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม3. วิธีตรวจสอบสุขภาพและคุณภาพของกระต่ายเมื่อตัดสินใจเลือกซื้อกระต่าย ควรตรวจสอบลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมตามมาตรฐาน ARBA✅ ลักษณะกระต่ายที่ดีตามมาตรฐาน ARBA✔ ขนเงางามและสะอาด – ไม่ควรมีแผล รอยกัด หรือขนร่วงเป็นหย่อม ๆ✔ หูสะอาด ไม่มีไรหรืออาการอักเสบ – กระต่ายควรมีหูที่สะอาดและตั้งตรง (ยกเว้นสายพันธุ์ Lop ที่มีหูตก)✔ ดวงตาสดใส ไม่มีขี้ตาหรืออาการบวมแดง – สะท้อนถึงสุขภาพที่แข็งแรง✔ ฟันไม่ยาวเกินไป – ฟันควรเรียงตัวสม่ำเสมอ ไม่มีอาการฟันผิดรูป✔ โครงสร้างกระดูกสมดุล – ควรมีกระดูกแข็งแรง รูปร่างได้สัดส่วน ไม่อ้วนหรือผอมเกินไป✔ กระตือรือร้นและเป็นมิตร – ไม่ซึม หรือขี้กลัวจนเกินไป🚨 ข้อควรระวัง:❌ กระต่ายที่ขนร่วงผิดปกติ อาจมีปัญหาสุขภาพ❌ กระต่ายที่มีจมูกแฉะ หรือจามบ่อย อาจมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ❌ กระต่ายที่ก้าวร้าวมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของความเครียดหรือปัญหาทางพันธุกรรม4. แหล่งซื้อกระต่ายที่น่าเชื่อถือ✅ ฟาร์มที่ได้รับการรับรองจากสมาคมที่ – ควรซื้อจากฟาร์มหรือผู้เพาะพันธุ์ที่มีชื่อเสียงและปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยงดูที่ดี ในประเทศไทยจะมีสมาคมผู้พัฒนาพันธุ์กระต่าย Rabbit Breeder Association-Thailand✅ งานประกวดกระต่าย – เป็นแหล่งที่คุณสามารถพบกระต่ายสายพันธุ์แท้ที่มีคุณภาพสามารถติดตามงานประกวดได้ที่เพจสมาคมต่างๆ🚫 หลีกเลี่ยงการซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น ตลาดสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจมีกระต่ายที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น งานที่นำกระต่ายมาขายแบบใส่กรงรวมๆกัน5. ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการเลี้ยงกระต่ายก่อนตัดสินใจซื้อ ควรเตรียมงบประมาณสำหรับดูแลกระต่ายอย่างเหมาะสมรายการค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (บาท)ค่ากระต่าย ( ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์, เกรด, สี ) 500+กรง 200+อุปกรณ์ให้อาหารและน้ำ 200+อาหารและหญ้าแห้ง 500 - 1,000 ต่อเดือนค่าดูแลสุขภาพ ( วัคซีน, ตรวจสุขภาพ ) 500 - 3,000 ต่อปี🔹 งบประมาณโดยรวม: ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 2,000+ บาท และค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 300+ บาทสรุป✅ การเลือกซื้อกระต่ายตามมาตรฐาน ARBA จะช่วยให้คุณได้กระต่ายที่มีคุณภาพดี สุขภาพแข็งแรง และมีนิสัยที่เหมาะสมกับการเลี้ยง✅ ตรวจสอบสุขภาพก่อนซื้อ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและโรคที่อาจเกิดขึ้น✅ เลือกแหล่งซื้อที่เชื่อถือได้ เช่น ฟาร์มที่ได้รับการรับรอง หรืองานประกวดกระต่ายเขียนโดย Theme CEO & Co-founder Repttown

เขียนโดย Repttown

โพสต์เมื่อ 27 มี.ค. 25

อ่าน 18 ครั้ง


จิงโจ้หนูมัสกี้ จิงโจ้ที่ตัวเล็กที่สุดในโลกและต้นกำเนิดการกระโดดของจิงโจ้

จิงโจ้หนูมัสกี้ จิงโจ้ที่ตัวเล็กที่สุดในโลกและต้นกำเนิดการกระโดดของจิงโจ้

ขอเชิญทุกคนพบกับมาโครพอด (Macropod) มาร์ซูเปียลหรือสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องผู้เป็นต้นกำเนิดการกระโดดแรกเริ่มของจิงโจ้กัน นั้นก็คือ "จิงโจ้หนูมัสกี้" (Musky rat-kangaroo - 𝘏𝘺𝘱𝘴𝘪𝘱𝘳𝘺𝘮𝘯𝘰𝘥𝘰𝘯 𝘮𝘰𝘴𝘤𝘩𝘢𝘵𝘶𝘴) สัตว์พื้นเมืองออสเตรเลียที่พบได้เฉพาะในป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป จิงโจ้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก เจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวนี้เป็นต้นแบบการกระโดดสองขาหลังของจิงโจ้และวัลลาบี้ที่ตัวใหญ่ได้อย่างไร ? • ตระกูลของหนูจิงโจ้นั้นเป็นตระกูลเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโอลิโกซีน นามว่า Hypsiprymnodontidae ซึ่งวงศ์นี้เคยมีมาร์ซูเปียลนักล่าหรือจิงโจ้กินเนื้อเป็นสมาชิกวงศ์หลัง แต่พวกนั้นก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จนเหลือแค่จิงโจ้หนูมัสกี้เพียงชนิดเดียวบนโลกนี้มาตั้งแต่ 20 ล้านปีแล้ว ซึ่งเรียกว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอย่างหนึ่งก็ว่าได้เลยครับ• ชื่อมัสกี้ก็มาจากกลิ่นตัวเป็นเอกลักษณ์ที่ปล่อยออกมาหึ่งเหมือนกับกวางชะมด กลิ่นนี้มีไว้เพื่อสื่อสารกันในช่วงฤดูหาคู่และยังบอกสถานะของแต่ละตัว อีกทั้งยังใช้ป้องกันตัวเวลาถูกคุกคามจากนักล่าตัวใหญ่กว่า ที่น่าสนใจกว่าชื่อก็คือ มันเป็นมาร์ซูเปียลผู้เป็นต้นแบบการเคลื่อนไหวของจิงโจ้แรกเริ่ม• ปกติแล้วพวกตระกูลมาโครพอดทั้งหมดจะกระโดดด้วยสองขาหลังได้ แม้แต่จิงโจ้กินเนื้อญาติของจิงโจ้หนูมัสกี้ก็โดดสองขาหลังได้ แต่จิงโจ้หนูมัสกี้เคลื่อนไหวสี่ขา ไม่มีท่ากระโดดสองขาหลัง โดยขยับขาหน้าไปข้างหน้าพร้อมกัน แล้วตามด้วยขาหลังสองข้างขยับไปข้างหน้าด้วยกัน ซึ่งเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวดั้งเดิมของพวกจิงโจ้ในท่าปกติก่อนจะวิวัฒนาการด้านการกระโดดสองขา • เจ้าสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ไม่จำเป็นต้องกระโดดไกลมากเมื่ออยู่ในป่า พวกมันตัวเล็กและหากินอาหารจำพวกผลไม้และเห็ดตามพื้นดินอย่างสงบ ถือเป็นรอยต่อสำคัญของวิวัฒนาการการปรับตัวของสัตว์ในทวีปออสเตรเลียที่สำคัญ ว่าแม้ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนไป แต่ที่นี่บางอย่างยังคงสภาพเหมือนเดิม PIC CR. Ray wilson Reference'Musky' marsupial could solve hopping kangaroo mysteryhttps://phys.org/.../2025-03-musky-marsupial-kangaroo...Musky Rat-Kangaroo - Facts, Diet, Habitat & Pictures on Animalia.biohttps://animalia.bio/index.php/musky-rat-kangarooMeet the musky rat-kangaroo, our smallest kangaroohttps://www.australiangeographic.com.au/.../meet-the.../

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25

อ่าน 4 ครั้ง


"อิกัวน่าฟิจิลายแถบ" ผู้มาจากดินแดนโพ้นทะเล

"อิกัวน่าฟิจิลายแถบ" ผู้มาจากดินแดนโพ้นทะเล

เป็นระยะเวลากว่า 50-35 ล้านปีแล้ว ที่กิ้งก่าอิกัวน่าลายแถบฟิจิ (Fiji banded iguana - 𝘉𝘳𝘢𝘤𝘩𝘺𝘭𝘰𝘱𝘩𝘶𝘴 𝘣𝘶𝘭𝘢𝘣𝘶𝘭𝘢) และอิกัวน่าชนิดใหม่ที่แตกสายอีก 3 ชนิด เดินทางไกลแบบติดแพธรรมชาติข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากเม็กซิโก ทวีปอเมริกาเหนือ ถึงหมู่เกาะแปซิฟิกที่ห่างเกือบ 8,000-9,000 กิโลเมตร ถือเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดเดียวในโลกที่การกระจายพันธุ์ข้ามแดนไกลที่สุด พวกมันคือกิ้งก่าที่ปรับตัวกับเกาะที่เป็นแดนสวรรค์อย่างเป็นอย่างดี • ครั้งหนึ่งก่อนที่มนุษย์จะมาถึงหมู่เกาะฟิจิ เคยมีกิ้งก่าอิกัวน่ายักษ์ขนาดตัวเหี้ย 1.2-1.5 เมตรเดินย่ำกินใบไม้และพุ่มไม้บนเกาะตองก้า ก่อนจะหายไปเมื่อราว 2,800 ปีก่อน เหลือแต่ญาติตัวเล็กที่ปรับตัวเป็นกิ้งก่าต้นไม้ หนึ่งในนั้นคือเจ้าอิกัวน่าฟิจิลายแถบผู้มีขนาดเล็กแค่ 19 เซนติเมตรที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุด• ชื่อลาบแถบฟิจิ มาจากลักษณะของตัวผู้ที่มีลายแถบบั้งสีขาวเป็นเอกลักษณ์ ส่วนตัวเมียจะไม่ปรากฎลวดลายบนลำตัว พวกมันเร่งสีให้สดใสขึ้นได้จากอารมณ์ ถ้าหากมันรู้สึกโดนคุกคามมันจะเปล่งสีเขียวจัดจ้านขึ้น แต่ถ้ามันโกรธมันจะเปล่งสีเขียวเข้มลง เมื่อรู้สึกโดนคุกคามหนัก • พวกมันอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 200-500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ชอบกินใบไม้ ดอกไม้ และผลไม้เหมือนกับญาติของพวกมันในป่าฝนแอมะซอน ทวีปอเมริกาใต้ พวกมันชื่นชอบการอยู่บนต้นไม้สูงที่หลบพ้นสายตาของนักล่าบนพื้นดินอย่างมนุษย์และพังพอนที่เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ • อิกัวน่าชนิดนี้มีอัตราการขยายพันธุ์ต่ำ ออกไข่ครั้งนึงแค่ 4 ฟอง และใช้ระยะเวลากกไข่นาน 9 เดือนเต็ม แถมอายุขัยยังน้อย อยู่ที่ 10-15 ปี เลยทำให้มันมีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์แล้ว โชคดีที่สวนสัตว์ใหญ่หลายแห่งทั่วโลกให้การสนใจในการอนุรักษ์และเพาะขยายพันธุ์อิกัวน่าชนิดนี้ให้มีประชากรที่ดีขึ้นในอนาคตอยู่นั่นเอง PIC CR. RatioTileReferenceIguanas “Rafted” 8,000 Kilometers From North America To Fiji – A Record For Land Vertebrateshttps://www.iflscience.com/iguanas-rafted-8000-kilometers...Fiji banded iguana - Smithsonian's zoohttps://nationalzoo.si.edu/animals/fiji-banded-iguanaFiji Island Banded Iguana - Los Angeles zoohttps://lazoo.org/explo.../our-animals/reptiles/fiji-iguana/

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25

อ่าน 15 ครั้ง


แมวน้ำรับรู้ระดับออกซิเจนในเลือดได้ !

แมวน้ำรับรู้ระดับออกซิเจนในเลือดได้ !

กลไกมหัศจรรย์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ทั้งแมวน้ำ สิงโตทะเล แมวน้ำขนปุย และวอลรัส ต่างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อที่วิวัฒนาการตัวเองกลับสู่ท้องทะเลในฐานะนักล่าปลาและสัตว์น้ำขนาดย่อม แมวน้ำบางตัวก็ดูน่าเอ็นดู และบางตัวก็ดูน่าสะพรึงกลัวจนเราช็อคคาใต้น้ำได้ แต่ถึงกระนั้นแมวน้ำก็เป็นสัตว์ที่น่าทึ่งไม่แพ้สัตว์บนบกเลย โดยเฉพาะเรื่องที่พวกมันรู้ระดับออกซิเจนในเลือดได้ ! • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหายใจด้วยปอดทั้งสิ้นทุกชนิด แต่สัตว์บกไม่ว่าจะมนุษย์ ช้าง ลิง สล็อธและสัตว์ส่วนมากไม่สามารถรู้ระดับภาวะออกซิเจนในเลือด ทำให้เวลาที่หายใจเข้าออกจะปล่อยอากาศออกนอกร่างกาย แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในน้ำอย่างพวกวาฬและแมวน้ำไม่สามารถหายใจเข้าออกขณะอยู่ใต้น้ำ พวกมันจึงมีกลไกพิเศษที่อยู่ใต้น้ำนานๆหรือระยะสั้นได้ • มีการทดสอบความสามารถในการดำน้ำของแมวน้ำสีเทา (Gray seal - 𝘏𝘢𝘭𝘪𝘤𝘩𝘰𝘦𝘳𝘶𝘴 𝘨𝘳𝘺𝘱𝘶𝘴) ที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง โดยพวกเขาทดสอบให้แมวน้ำแต่ละตัวว่ายน้ำไปกลับรอบสระ 60 เมตร โดยที่ปลายทางก่อนว่ายกลับจะมีจุดให้อาหารแบบมีช่องหายใจที่มีแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เข้มข้นสะสมบริเวณช่อง โดยพวกเขาลองกับภาวะแก๊ส 3 ระดับคือ ระดับแก๊สปกติจากสภาพแวดล้อม, ระดับแก๊สออกซิเจน 2 เท่า และระดับแก๊สออกซิเจนผสมคาร์บอนไดออกไซด์ 200 เท่า ! • พวกเขาพบว่า ระดับออกซิเจนในเลือดของแมวน้ำมีภาวะต่างกัน กรณีที่ได้รับแก๊สออกซิเจนปริมาณมากจากการหายใจ แมวน้ำสามารถอยู่ใต้น้ำได้ยาวนานกว่า ขณะที่ภาวะที่แก๊สออกซิเจนน้อย แมวน้ำจะดำอยู่ใต้น้ำสั้นกว่าได้รับออกซิเจนเยอะ นั้นแปลว่าแมวน้ำนั้นสามารถรับรู้ระดับออกซิเจนในระดับเลือดได้จากการหายใจและดำน้ำได้แต่ละครั้ง เวลาที่ออกซิเจนน้อยเท่ากับขึ้นหายใจบ่อยครั้งกว่าที่หายใจเต็มปอด • บางครั้งธรรมชาติก็สร้างหลายสิ่งให้มีความแปลก แต่ความแปลกนั้นอยู่คู่กับการคัดสรรทางธรรมชาติที่มีผลต่อเผ่าพันธุ์ของสัตว์นั้นๆอีกด้วยนั่นเอง PIC CR. Amos NachoumReferenceJ. Chris McKnight et al, Cognitive perception of circulating oxygen in seals is the reason they don't drown, Science (2025).https://www.science.org/doi/10.1126/science.adw1936

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25

อ่าน 5 ครั้ง


"Japanese king ratsnake" ราชาแห่งงูญี่ปุ่นเขตร้อน

"Japanese king ratsnake" ราชาแห่งงูญี่ปุ่นเขตร้อน

หนึ่งในงูที่ตัวใหญ่ที่สุดและยาวที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สมญานามว่า "งูจงอางจำแลง" นามนั้นคือ คิงแร็ทสเน็ค (King ratsnake - 𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢) งูไม่มีพิษขนาดใหญ่แห่งพื้นที่กึ่งเขตร้อนของเกาะเซ็งคาคุและเกาะโยนากุนิ พรมแดนระหว่างประเทศไต้หวันและหมู่เกาะริวกิวของประเทศญี่ปุ่น นี่ถือว่าเป็นงูขนาดใหญ่ที่งดงามและน่าสะพรึงกับท่าทางของมันไม่น้อย • คนญี่ปุ่นเรียกคิงแร็ทสเน็คว่า "ชูดะ" (シュウダ) แปลว่า "งูเหม็น" ซึ่งในญี่ปุ่นนั้นจะมีงูคิงแร็ทสเน็คอยู่ 2 ชนิดย่อยคือ ชนิดย่อยของจีน (𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢) ที่พบในเกาะเซ็งคาคุใกล้กับไต้หวัน และชนิดย่อยโยนากุนิ (𝘌𝘭𝘢𝘱𝘩𝘦 𝘤𝘢𝘳𝘪𝘯𝘢𝘵𝘢 𝘺𝘰𝘯𝘢𝘨𝘶𝘯𝘪𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴) ที่งดงามแบบตัวในภาพนี้จากเกาะโยนากุนิและมีชื่อเสียงมาก ใช้ชื่อเรียกกันว่า "Japanese king ratsnake" หรือโยนากุนิชูดะ (ヨナグニシュウダ) • ซึ่งทั้งคิงแร็ทสเน็คทั้งสองชนิดย่อยนี้ความยาวเฉลี่ยไล่เลี่ยกันคือ 1.5-2.4 เมตรโดยประมาณ ซึ่งตัวคิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นจากเกาะโยนากุนินั้นมีสีสันค่อนข้างเด่นสะดุดตาเนื่องด้วยพวกมันอาศัยอยู่ในตามป่าฝนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนนั่นเอง ตอนเป็นวัยอ่อนจะมีสีน้ำตาลที่กลมกลืนกับพื้นดิน พอโตขึ้นจะมีสีสันสวยงาม• คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นได้ชื่อว่า "งูจงอางจำแลง" เนื่องด้วยบริเวณหัวนั้นมีแผ่นเกล็ดขนาดใหญ่เด่นชัด ซึ่งแผ่นเกล็ดขนาดใหญ่นี่เองที่ทำให้ชาวตะวันตกสับสนเข้าใจว่าเป็นงูจงอางมาก่อน เลยตั้งชื่อลักษณะความใหญ่โตเสมือนราชาแบบงูจงอาง ว่า "King ratsnake" หรือราชาแห่งงูสิงผู้กินงูอื่นๆ ซึ่งงูที่มีพฤติกรรมกินงูด้วยกันเองจะมีแผ่นเกล็ดเรียงตัวลักษณะแบบนี้ • คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นยังมีอีกสมญานามว่า "เทพธิดากลิ่นเหม็น" เพราะเมื่อถูกคุกคามแบบขั้นสุด นอกจากการกัดป้องกันตัวด้วยฟันคมกริบแล้ว ยังปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาทำให้สัตว์ที่พยายามจะล่าไม่ว่าจะสุนัขกับแมวจรจัดและนกนักล่าต้องถอยหนีทันทีถ้าโดนปล่อยกลิ่นใส่ • คิงแร็ทสเน็คญี่ปุ่นชอบกินงูชนิดอื่นๆที่มีหลายชนิดด้วยกันทั้งงูมีพิษและงูไม่มีพิษ, หนู, นก, ไข่นก, กบ, กิ้งก่ากับจิ้งเหลน (เหยื่อสุดโปรดในเมนูกิ้งก่าคือ จิ้งเหลนยักษ์คิชิโนะอุเอะ (Kishinoue's giant skink)), ด้วง และตั๊กแตนเป็นอาหารอีกด้วย เรียกว่าเจ้าตัวนี้กินได้หลากหลายมาก สมกับราชาแห่งงูสิงโดยแท้ PIC CR. Jaehyeon-leeReferenceヨナグニシュウダ / Japan herptology https://herpetology.raindrop.jp/elaphe_carinata...Elaphe carinata yonaguniensis (Takara, 1962)/ヨナグニシュウダ/Yonaguni Shu-Dahttps://1pixel.sakura.ne.jp/.../elaphe_c_yonaguniensis.htm

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 26 มี.ค. 25

อ่าน 64 ครั้ง


Spotted bush snake encounter-False green mamba !

Spotted bush snake encounter-False green mamba !

ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับงูตัวนี้ เกริ่นก่อนว่าน้องไม่ใช่งูแมมบ้าเขียว (Green mamba) นะครับ แต่เป็นเจ้า Spotted bush snake (𝘗𝘩𝘪𝘭𝘰𝘵𝘩𝘢𝘮𝘯𝘶𝘴 𝘴𝘦𝘮𝘪𝘷𝘢𝘳𝘪𝘦𝘨𝘢𝘵𝘶𝘴) หรืองูเขียวลายจุดแอฟริกาเป็นงูพื้นเมืองของทุ่งหญ้าซาวันน่า ทวีปแอฟริกา ว่องไว ปราดเปรียวสมฉายา "แมมบ้าเขียวปลอม" แต่ไม่มีพิษ ! งูชนิดนี้โตเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 60-90 เซนติเมตร เป็นงูไม่มีพิษขนาดเล็กที่มักอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ในท้องทุ่งกว้าง สีเขียวบนตัวของมันช่วยกลมกลืนไม่ให้เตะตาจากสัตว์ใหญ่อย่างแอนทีโลปที่มาเล็มพุ่มไม้ หรือนักล่าอย่างพวกนกนักล่าที่บินผ่านไปมา จริงๆแล้วสีปกติของงูชนิดนี้จะต้องมีแต้มจุดสีดำบนลำตัว แต่งูบางตัวก็เป็นสีเขียวอ่อนทั้งตัวเหมือนงูแมมบ้าเขียว เวลาถูกคุกคามจะอ้าปากสีดำขู่เหมือนงูแมมบ้าดำเพื่อเตือนสัตว์ที่มาใกล้มัน พวกมันชอบกินกิ้งก่าและปาดตัวเล็กๆ ปีนต้นไม้คล่องแคล่ว และว่ายน้ำเก่งมาก เป็นงูไม่กี่ชนิดที่นักชีววิทยาพูดตรงกันว่า มีสายตาตอบสนองดีสุดในบรรดางูก็ว่าได้ โปรดสังเกตว่าน้องไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับกล้องเท่าไร จะสวบเอาๆอย่างเดียว ในทวีปแอฟริกา มีงูที่มีลำตัวสีเขียวหลักๆที่พบเจอบ่อยๆอยู่ประมาณ 6 ชนิด อาทิ 1.Green water snake (ไม่มีพิษ) 2.Spotted bush snake (ไม่มีพิษ ตัวที่สัมผัส)3.Eastern natal green snake (ไม่มีพิษ)4.Western natal green snake (ไม่มีพิษ)5.Boomslang (งูพิษเขี้ยวหลัง พิษรุนแรง)6.Green mamba (งูพิษเขี้ยวหน้า พิษรุนแรง)

เขียนโดย BKwildlifemaster - สุดยอดแฟนพันธุ์แท้สัตว์เลื้อยคลานปี 2006

โพสต์เมื่อ 19 มี.ค. 25

อ่าน 18 ครั้ง

REPTALES v1.0.4 by ReptTown
All Right Reserved