REPTALES
เรื่องราวสัตว์จาก ReptTown
 หนูแฮมสเตอร์ท้อง! ทำไงดี  / หนูแฮมสเตอร์คลอดลูก ทำไงดี

หนูแฮมสเตอร์ท้อง! ทำไงดี / หนูแฮมสเตอร์คลอดลูก ทำไงดี

- ได้แฮมสเตอร์มาจากร้าน ดูท้องมันใหญ่ขึ้น- ตัวเมียไล่กัดตัวผู้ เขาท้องหรือเปล่า- แฮมสเตอร์ท้องนานเท่าไหร่คำถามเหล่านี้เป็นอะไรที่อาจจะเจอบ่อยตามกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงแฮมสเตอร์เป็นครั้งแรก และเข้าใจผิดซื้อแฮมสเตอร์เป็นคู่ผู้เมียมา ถ้าเลี้ยงๆไปไม่ได้แยก แทบทั้งหมดจะท้องภายในเดือนสองเดือนหลังจากที่ได้มา เพราะแฮมสเตอร์อายุ6สัปดาห์ก็เข้าสู้วัยเจริญพันธุ์และท้องได้แล้ว ซึ่งแน่นอนมันนี้ไม่ปลอดภัย เพราะมันก็ไม่ต่างจากให้เด็กอายุ12ท้องนั้นแหละ (รายละเอียด ตามอ่านได้ในอีกโพสเนอะ)หรืออีกด้านคือคนที่เลี้ยงมาซักพักแล้ว ศึกษาข้อมูลข้อดีข้อเสียของการผสมหนูแล้ว เตรียมเลี้ยงหลานๆแล้วอยากรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อก่อนอื่นเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดเตรียมหาสัตวแพทย์เฉพาะทางสัตว์พิเศษใกล้บ้าน ที่สามารถพาไปหาเวลาฉุกเฉินได้อันนี้เน้นมากๆไม่ว่าหนูจะท้องหรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะหนูท้องใกล้คลอด อะไรที่ผิดปกติเช่นเขาแท้ง ตกเลือดมาก คลอดไม่ได้ ต้องได้รับการรักษาทันที เพราะอาการจะทรุดเร็วมากและมีโอกาสสูงที่จะตายทั้งแม่ทั้งลูกได้กลับเข้าเรื่อง ไม่ว่าจะพลาดแยกไม่ทัน หรือตั้งใจผสมหนูดูอย่างไรว่าท้องเราจะเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ประมาณ 7 วันหลังผสม ขึ้นกับความชำนาญของผู้เลี้ยงและจำนวนลูกที่อยู่ในท้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งอาจไม่ได้แปลว่าท้อง ต้องสังเกตหลายๆอย่างร่วมกันเสมอความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ- เห็นหัวนมชัดขึ้น เป็นสีชมพู (ในหนูที่ขนท้องบาง หรือพันธ์ุไจแอนท์ก็อาจเห็นนมได้เป็นปกติทั้งที่ยังไม่ได้ท้อง)- เวลาคลำท้องเบาๆจะรู้สึกว่าแน่นและหนักขึ้น ตอนช่วงท้ายอาจจะคลำเจอลูกดิ้นได้- ลำตัวส่วนท้ายจะขยายขึ้นจนเหมือนรูปหยดน้ำ ต่างจากหนูอ้วนที่จะขยายเท่าๆกันทั้งตัว- น้ำหนักเยอะขึ้น ส่วนมากจะประมาณ10กรัม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และจำนวนลูกในท้องความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม- ไม่แสดงอาการฮีท(ติดสัด) 4 วันหลังจากผสม ในพันธุ์ไจแอนท์คือการยืนนิ่งๆ โก่งก้น และปล่อยกลิ่น- เริ่มดุมากขึ้น ไม่ค่อยอยากให้เจ้าของอุ้ม และมักจะไม่ยอมให้ตัวผู้เข้าใกล้หรือผสม- ตุนอาหารและทำรังมากกว่าปกติ (หนูที่ไม่ท้องทั้งตัวผู้และตัวเมียจะตุนอาหารและทำรัง แต่ในหนูท้องจะเพิ่มขึ้น)ท้องนานแค่ไหนหนูแต่ละพันธุ์จะท้องนานไม่เท่ากัน จำนวนวันนี้นับจากวันผสม แต่ถ้าในกรณีที่เจ้าของมาเจอหนูที่เลี้ยงรวมกันไว้ท้อง และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดชัดมาก ส่วนใหญ่จะคลอดภายในอาทิตย์นั้น- โรโบรอฟสกี้ 23-30 วัน- วินเทอร์ไวท์และแคมเบล 18-21วัน- ไจแอนท์ 16-18วันสำหรับหนูที่เพิ่งรับมาจากร้าน หรือเพิ่งแยกจากตัวผู้แล้วไม่แน่ใจว่าท้องไหม ให้นับวันหลังจากแยกไปประมาณ3อาทิตย์(หรือเดือนนึงในพันธุ์โรโบ) ดูแลทุกอย่างเหมือนหนูท้องไปก่อน ถ้าไม่คลอดในระยะเวลานั้นก็สบายใจได้การดูแลหนูท้องอย่างแรกที่ต้องทำ คือแยกหนูตัวผู้ออกทันทีหนูที่ไม่ท้องก็ต้องแยก เพราะแฮมสเตอร์เป็นสัตว์สันโดษโดยธรรมชาติและไม่ต้องการอยู่ด้วยกัน ยิ่งในช่วงที่หนูกำลังท้องอยู่จะดุขึ้นและอาจทำร้ายกันจนเป็นแผลหนักได้ อีกอย่างคือแฮมสเตอร์ไม่ได้เหมือนหนูอื่นที่จะช่วยกันเลี้ยงลูก ดีไม่ดีตัวผู้อาจจะทำร้ายลูกที่คลอดออกมาด้วย อีกสาเหตุนึงคือตัวเมียมีกจะมีการตกไข่อีกรอบภายใน24ชั่วโมงหลังคลอด ถ้าเรามาแยกตัวผู้หลังคลอดแล้วอาจจะไม่ทัน ทำให้ตัวเมียท้องต่อทันที เรียกว่าการท้องซ้อนจากนั้น ให้เตรียมกรงสำหรับเลี้ยงตั้งแต่ท้องจนคลอดการจัดกรงที่เหมาะสมคือ- กระบะหรือกรงถาดสูงขนาดประมาณ 60x40 ซม. ไม่มีชั้นลอยหรือชั้น2ชั้น3 ที่แนะนำให้ใช้แบบนี้เพื้อป้องกันการปีนของแม่หนู และอาจตกลงมากระแทกและแท้งได้ อีกอย่างคือป้องกันลูกดิ้นแล้วหลุดออกมาจากกรง ภายในกรง- ใส่รองกรงที่ซึมซับดี เช่นก้านปอ เคธี่ แอสเพน หนาประมาณ1-2นิ้วเป็นอย่างน้อย ก่อนคลอด 1-2 วันให้ทำความสะอาดกรงอีกครั้งทำไมต้องใช้กรงใหญ่และรองกรงเยอะ?เพราะหลังจากคลอดแล้วเราไม่ควรเปลี่ยนรองกรงจนกว่าลูกจะลืมตา (14วัน) เนื่องจากแม่อาจผิดกลิ่น เครียดและไม่เลี้ยงลูกได้ การใช้กรงใหญ่และใส่รองกรงเยอะจะช่วยให้กรงสกปรกช้าลง- ใส่วัสดุทำรังเป็นทิชชู่ฉีก หรือเคธี่ ห้ามใช้สำลีหรือผ้า เพราะจะไปพันขาหรืออุดทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารได้- ใช้ขวดน้ำแทนถ้วยน้ำ ป้องกันลูกจมน้ำ ใส่น้ำเปล่าเท่านั้น (น้ำวิตามินตามตลาดมักเป็นวิตามินปลอม อาจเกิดอันตรายได้)- ถ้วยอาหารเตี้ยๆ ตอนที่ลูกเริ่มเดินได้จะได้ปีนขึ้นมากินได้- บ้าน ขนาดใหญ่พอให้แม่และลูกๆอยู่ได้ของอื่นๆในกรงเช่นจักรและถ้วยทราย สามารถใส่ไว้ได้ แต่ควรเอาออกก่อนคลอด เพราะแม่อาจไปคลอดในจักรและวิ่งทับ ส่วนถ้วยทรายต้องระวังทรายเข้าปากและจมูกของลูก (*ทรายไม่ได้ดูดความชื้นอย่างที่เข้าใจกัน)หลังจากนั้น วางกรงในบริเวณที่สงบ ไม่มีเสียงดัง ไม่มีฝุ่น และไม่ร้อนจนเกินไป และอย่าลืมหาวิธีป้องกันมดต่างๆเช่นการใช้แผ่นกันมด วางกรงบนโต๊ะแล้วหล่อน้ำที่ขา เพราะหลังคลอดจะมีเลือดและล่อมดได้ระหว่างนี้สามารถอุ้มแม่หนูได้ แต่ควรทำด้วยความระมัดระวังและอุ้มเมื่อจำเป็น ป้องกันการบาดเจ็บอาหารหนูท้องระหว่างนี้หนูสามารถทานอาหารที่ให้ปกติได้ โดยเน้นเป็นอาหารคุณภาพที่สารอาหารเหมาะสม อย่างเช่น Hamster nature, Hamster complete, Mazuri, Puur, Bunny hamster dream หรืออาหารผสมตามเพจที่เชื่อถือได้พวกอาหารตามตลาด ที่เป็นเมล็ดทานตะวันผสมอาหารเขียวแดง อาหารหมู อาหารแมว ฯลฯ ห้ามให้ หนูจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ลูกออกมาไม่แข็งแรงและแม่โทรมจนเลี้ยงลูกไม่ไหวและตายส่วนอาหารเสริม สามารถให้อาหารโปรตีนสูงได้ครั้งละ1ช้อนชา อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง สำหรับอาหารสดถ้าหนูกินไม่หมดภายใน1-2ชั่วโมงให้เก็บทิ้งป้องกันการเน่าเสียและมดขึ้นอาหารเหล่านี้ได้แก่- ไข่ผง- หนอนนก/จิ้งหรีด/ดักแด้ ให้แบบอบแห้งครั้งละ2-3 ตัวพอ- ไข่ต้ม- ไก่ต้มหลังจากนี้ ก็มาลุ้นกันว่าจะมีเด็กๆกี่ตัว ---------------------------------------------------ดูอย่างไรว่าหนูจะคลอดลูกในหนูท้องแก่จะสังเกตได้ง่ายมากว่าเขาท้อง เนื่องจากท้องขยายใหญ่มากและเห็นหัวนมได้ชัดเจน ถ้าไม่ได้นับวันผสมไว้หรือเพิ่งซื้อมา ตอนที่เรามาเจอว่าท้องก็อาจจะใกล้คลอดแล้ว (ส่วนใหญ่จะไม่เกิน1อาทิตย์) สิ่งที่เราจะสังเกตได้เวลาหนูกำลังจะคลอดได้แก่- ดูกระวนกระวาย เดินไปมา อาจจะขุดด้วย เพื่อหาจุดที่ปลอดภัยไว้คลอดลูก- เลือดออกบริเวณช่องคลอด ลักษณะจะเป็นเลือดสดปริมาณเล็กน้อย อาจจะเลอะรองกรงได้บ้าง- เลียช่องคลอดมากขึ้นและพยายามเบ่งถ้าเจอหนูแสดงอาการเหล่านี้อย่ารบกวนมาก อย่าอุ้มออกมาเล่น ให้เฝ้าดูอยู่ห่างๆเป็นระยะๆ เพื่อสังเกตอาการผิดปกติ หนูมักจะคลอดลูกทีละตัวจนกว่าจะหมด ในหนึ่งครอกจะมีลูกหนูได้ตั้งแต่ 1-14ตัว ส่วนใหญ่จะ 4-8ตัวแล้วแต่สายพันธุ์หากหนูมีอาหารเหล่านี้ ต้องพาไปพบแพทย์ทันที เพราะการคลอดลูกนั้นมีความเสี่ยงต่อแม่มาก หากรักษาไม่ทันแม่จะช็อคตายได้อย่างรวดเร็ว- เลือดออกปริมาณมาก เลอะถึงก้น หรือรองกรงชุ่มไปด้วยเลือดทั้งที่ลูกหนูยังไม่ออกมา- ลูกติดค้างอยู่ที่ช่องคลอดเป็นเวลานาน เบ่งออกมาไม่ได้- ซึม หมดแรง เดินไม่ไหว จากการเบ่งเป็นเวลานาน หรือจากการเสียเลือดมากทำอะไรบ้างในกรณีที่เราเตรียมกรงไว้ตั้งแต่ตอนหนูท้องแล้ว หลังจากนี้ก็ทำเหมือนเดิมเลย ให้อาหารและน้ำให้พอ และเฝ้าสังเกตอยู่เรื่อยๆเพื่อให้มั่นใจว่าแม่หนูปลอดภัยดี ถ้ายังไม่ได้ยกจักรกับถ้วยทรายออก ก็เอาออกตอนนี้เลย... แต่ถ้าเป็นกรณีที่เดินมาเจอหนูกำลังคลอดโดยที่ไม่รู้ว่าท้องมาก่อน ไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ให้ทำตามนี้แยกหนูตัวผู้ออกทันที เพราะแฮมสเตอร์เป็นสัตว์สันโดษ ในธรรมชาติตัวผู้จะไม่ได้มีส่วนในการช่วยเลี้ยงลูกเลย ดีไม่ดีตัวผู้อาจจะทำร้ายลูกที่คลอดออกมาด้วย อีกสาเหตุนึงคือตัวเมียจะมีการตกไข่อีกรอบภายใน24ชั่วโมงหลังคลอด ถ้าเราไม่แยกเขาจะผสมต่อ ทำให้ตัวเมียท้องต่อทันที เรียกว่าการ"ท้องซ้อน" ทีนี้เรื่องใหญ่ ลองคิดดูว่าเพิ่งคลอดมาโทรมๆ มาท้องต่ออีก เลี้ยงลูกไปพร้อมๆกันอีก เสี่ยงตายมากๆยกจักร ถ้วยทราย ชั้นสอง/ชั้นลอยออกเพื่อป้องกันแม่หนูไปคลอดลูกในนั้น และอาจตกลงมากระแทกหรือโดนเหยีบและได้รับอันตรายด้วยใส่วัสดุทำรังเป็นทิชชู่ฉีก หรือเคธี่ไว้อีกมุมนึงของรังให้แม่เขาคาบไปทำรังเอง ห้ามใช้สำลีหรือผ้า เพราะจะไปพันขาหรืออุดทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารได้ ระวังการแตะตัวลูกหนูใช้ขวดน้ำแทนถ้วยน้ำ ป้องกันลูกจมน้ำ ใส่น้ำเปล่าเท่านั้น (น้ำวิตามินตามตลาดมักเป็นวิตามินปลอม อย่าใส่นะคะ อาจเกิดอันตรายได้)ถ้วยอาหารเตี้ยๆ ตอนที่ลูกเริ่มเดินได้จะได้ปีนขึ้นมากินได้ใส่บ้านขนาดใหญ่พอให้แม่และลูกๆอยู่ได้ในกรณีที่เรายังไม่ได้ทำความสะอาดกรงก่อนคลอด หรือกรงเล็กเกินไป (เช่นกรงพกพา) เราสามารถนำกรงเดิมเข้าไปวางในกรงที่เหมาะสมได้ (เป็นกระบะหรือกรงถาดสูงขนาดประมาณ 60x40 ซม. ไม่มีชั้นลอยหรือชั้น2ชั้น3 ใส่รองกรงที่ซึมซับดีหนาๆ) แล้วรอให้แม่หนูย้ายลูกออกมาก่อนยกกรงเดิมออกหลังจากนั้น วางกรงในบริเวณที่สงบ ไม่มีเสียงดัง ไม่มีฝุ่น และไม่ร้อนจนเกินไป และอย่าลืมหาวิธีป้องกันมดต่างๆเช่นการใช้แผ่นกันมด วางกรงบนโต๊ะแล้วหล่อน้ำที่ขา เพราะหลังคลอดจะมีเลือดและล่อมดได้ระหว่างนี้สามารถอุ้มแม่หนูได้ แต่ควรทำด้วยความระมัดระวังและอุ้มเมื่อจำเป็นสิ่งที่ห้ามทำคือห้ามจับตัวลูกหนู เพราะแม่จะผิดกลิ่น เครียด และกินลูกหรือไม่เลี้ยงได้ ถ้าเห็นลูกหนูอยู่แบบกระจายอย่างเพิ่งตกใจ รอให้แม่เขาเก็บเข้าที่เองห้ามเปลี่ยนรองกรง เพราะแบบนี้แม่ก็จะผิดกลิ่นและเครียดได้เหมือนกันห้ามแยกลูกหนูออกมาเลี้ยงเอง เพราะโอกาสรอดนั้นน้อยมากๆ แทบจะ0%เลยก็ว่าได้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆปล่อยให้แม่เขาเลี้ยงเองทั้งสองอย่างนี้จะต้องรอให้ลูกหนูลืมตาก่อน (14-16วัน) เพราะจะเป็นช่วงที่เขาเริ่มสร้างกลิ่นของตัวเองแล้ว และแม่ไม่หวงมากเท่าเดิมอาหารแม่หนูและลูกๆตรงนี้แทบไม่ต่างจากตอนท้อง คือสามารถทานอาหารที่ให้ปกติได้ โดยเน้นเป็นอาหารคุณภาพที่สารอาหารเหมาะสม อย่างเช่น Hamster nature, Hamster complete, Mazuri, Puur, Bunny hamster dream หรืออาหารผสมตามเพจที่เชื่อถือได้พวกอาหารตามตลาด ที่เป็นเมล็ดทานตะวันผสมอาหารเขียวแดง อาหารหมู อาหารแมว PetHeng ฯลฯ หรืออาหารที่โปรตีนต่ำกว่า15% (เช่น บัดดี้) ไม่แนะนำให้ให้ หนูจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ลูกออกมาไม่แข็งแรงและแม่โทรมจนเลี้ยงลูกไม่ไหวและตายส่วนอาหารเสริม สามารถให้อาหารโปรตีนสูงได้ครั้งละ1ช้อนชา อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง สำหรับอาหารสดถ้าหนูกินไม่หมดภายใน 1-2 ชั่วโมงให้เก็บทิ้งป้องกันการเน่าเสียและมดขึ้นอาหารเหล่านี้ได้แก่- ไข่ผง- หนอนนก/จิ้งหรีด/ดักแด้ ให้แบบอบแห้งครั้งละ2-3 ตัวพอ- ไข่ต้ม- ไก่ต้มนอกจากนั้น สามารถให้ข้าวโพดหวานดิบ บวบเหลี่ยมปอกเปลือก ครั้งละ1ช้อนชาเพื่อเพิ่มน้ำนมได้พัฒนาการของลูกหนู- แรกเกิด: ตัวสีชมพู ไม่มีขน ตาปิด หูปิด ผิวบาง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องการนมแม่ซึ่งเป็นทั้งอาหารและเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน- 3 วัน: ผิวหนังเริ่มสีเข้มขึ้น อาจเห็นลายคร่าวๆได้ ขนหนวดเริ่มขึ้น- 4-7 วัน: ขนจะค่อยๆขึ้น หูเปิด ฟันเริ่มขึ้น- 10 วัน: เริ่มคลานออกจากรังได้ บางตัวจะเริ่มแทะอาหารของแม่ ขนขึ้นเกือบเต็ม- 14-16 วัน: ตาเริ่มเปิด ขนขึ้นเต็มแต่จะยังดูเรียบไปกับตัว เริ่มวิ่งไปมาในกรงได้เร็วขึ้น อาจจะเริ่มฟัดเล่นกับพี่น้องในครอก **สามารถจับลูกๆและเปลี่ยนรองกรงได้ ห้ามแยกออกจากแม่ในช่วงนี้- 20-25 วัน: ลืมตาเต็มที่ วิ่งเล่นได้ ทานอาหารแข็งเป็นหลัก เริ่มหย่านมแม่ **สามารถแยกออกจากแม่ได้หากแม่ดูโทรม หรือพี่น้องเริ่มกัดกัน- 30 วัน: ขนดูฟู รูปทรงเหมือนหนูที่ขายตามร้านทั่วไป สามารถดูแลตัวเองได้ **แนะนำให้แยกจากแม่และแยกกรงตามเพศ แยกเลี้ยงเดี่ยวถ้าเริ่มกัดกัน- 35 วันขึ้นไป แยกเลี้ยงกรงละตัวหลังลูกๆหย่านมและแยกออกจากแม่ ควรให้แม่ได้พักอย่างน้อย3เดือนก่อนจะผสมครอกต่อไปหรือจนกว่าแม่หนูจะกลับมาสมบูรณ์ และไม่ควรให้มีลูกมากกว่า2ครอกตลอดช่วงชีวิตการแก้ปัญหาเบื้องต้นแม่กินลูก‪ในลูกหนูแต่ละคนอก เป็นเรื่องปกติที่ไม่ใช่ว่าลูกทุกตัวจะรอด ในธรรมชาติเมื่อลูกหนูตายหรืออ่อนแอ แม่เขาจะกินเพื่อกำจัดซากไม่ให้นักล่าตามกลิ่นมาเจอ ‬‪สาเหตุแบ่งออกเป็นได้หลายอย่าง ‬- แม่- อายุน้อยเกินไป : ทำให้ยังเลี้ยงลูกไม่เป็น หรือร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะเลี้ยงลูกไหว ผลิตน่ำนมได้ไม่เพียงพอ- ไม่แข็งแรง ได้รับอาหารไม่พอ : ก็จะกินลูกเพื่อประทังชีวิต เพราะรู้ว่าถึงเลี้ยงไปก็เลี้ยงไม่ไหว- รู้สึกไม่ปลอดภัย : ส่วนใหญ่จะจากการรบกวนมากเกินไปของเจ้าของ หรือแม่ยังกลัวคนเลี้ยงอยู่- ลูก- ไม่แข็งแรง พิการ มีจำนวนมากเกินกว่าที่แม่จะเลี้ยงไหว : ตามสันชาตญาณเขาจะกินตัวที่อ่อนแอที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาศรอดของตัวที่เหลือ- ตายไปเอง : แม่จะกินซากตัวที่ตายเพื่อป้องกันสัตว์อื่นมาเจอรัง- สภาพแวดล้อม- มีการรบกวนมาก เสียงดัง : เมื่อแม่รู้สึกไม่ปลอดภัย อาจจะกินลูกเพื่อให้หนีได้ หรืออาจจะอมลูกเข้ากระพุ้งแก้ม นานๆเข้าลูกจะขาดอากาศหายใจตายได้- เจ้าของไปจับลูก : จะทำให้แม่รู้สึกเหมือนถูกคุกคาม และจำกลิ่นไม่ได้ว่านี่เป็นลูกของตัวเอง- อากาศร้อน : ทำให้หนูเครียดและอ่อนเพลีย- ไม่ได้เอาตัวผู้ออก : ตัวผู้อาจจะมาสร้างความรำคาญให้กับแม่หนู เอากลิ่นไปติดลูกๆ หรือเป๋นตัวที่ทำร้ายลูกซะเอง แฮมสเตอร์ไม่เหมือนคน เขาไม่รู้จักพ่อแม่ลูก แยกตัวพ่อออกไปเลยค่ะวิธีแก้คือแก้กันไปตามสาเหตุ เช่น ให้อาหารให้เพียงพอ วางกรงในที่สงบ ไม่รบกวน แยกตัวผู้ออกทันทีถ้าเจอลูกหนูที่ตายแล้วแต่แม่ยังไม่กิน หรือกินไปบางส่วน ให้ใช้ช้อนสะอาดตักลูกหนูที่ตายออกเพื่อป้องกันการเน่า มดขึ้นแม่ไม่เลี้ยงลูก ลูกกระจายไปหมด‪หลังคลอดแม่อาจจะเหนื่อยและต้องการการพัก อย่าพยายามตักลูกไปรวมกันเพราะจะทำให้แม่เครียดมากขึ้น ให้ปล่อยแม่กับลูกไว้ตามลำพัง ลดการรบกวน ‬‪บางครั้งแม่เขาจะไม่ได้กกลูกตลอดเวลา จะมีช่วงที่ออกไปพักบ้าง ไม่ต้องตกใจ ‬‪วิธีที่จะรู้ได้ว่าแม่เลี้ยงลูกหรือไม่คือดูที่ท้องลูกหนู ตรงกลางท้องฝั่งซ้ายคือกระเพาะ ถ้าเห็นเป็นก้อนสีขาวกลางแสดงว่าแม่เขาเลี้ยงและให้นม‬‪‬แม่ดูเครียด‪สาเหตุหลักของการเครียดคือคนมารบกวนมากเกินไป ให้นำกรงไปวางในที่สงบ ลดการส่อง นำผ้าบางคลุมครึ่งกรงฝั่งที่ทำรังเพื่อให้แม่รู้สึกปลอดภัย‬ถ้าแม่ดูทำท่าอยากออกมาจากกรง เช่นปีน กัดกรง สามารถอุ้มแม่หนูออกมาเดินเล่นได้ไม่เกิน 15 นาทีเพื่อคลายเครียดมดขึ้นกรง‪ถ้ามีมดแค่ไม่กี่ตัว อาจจะรอให้มดเดินออกไปเอง แต่ถ้าขึ้นเยอะมากจนอาจจะเป็นอันตราย ให้นำช้อนสะอาดมาตักลูกพร้อมรองกรงเดิมบางส่วนมาใส่ในกรงใหม่ และใช้วิธีการป้องกันมดต่างๆ เช่นแผ่นกันมด หล่อน้ำ ฯลฯ วิธีนี้จะเสี่ยงว่าแม่อาจจะไม่เลี้ยงต่อ แต่อาจจะจำเป็นต้องทำถ้ามดมากัดลูก‬แม่ตาย/หาย‪ในกรณีที่แม่หาย อย่างแรกคือพยายามตามหาแม่ให้เจอ แม่มักจะไปซ่อนตามมุมต่างๆของห้อง และจะออกมาตอนกลางคืน ถ้าลูกหนูเด็กมากๆอาจจะเปิดกรงทิ้งไว้เพื่อให้แม่กลับมาหาลูกเองได้ ‬‪แต่ถ้าแม่ตาย หรือหาไม่เจอจริงๆ ให้ป้อนนมแมวKMRหรือนมแพะ ผสมความเข้มข้นตามด้านหลังซอง เอาถ้วยนมแช่น้ำอุ่นให้พออุ่น(เทสที่หลังมือว่าไม่ร้อนไป) ป้อนด้วยพู่กันสะอาดจนกว่าจะเห็นนมในท้อง ระวังอย่าให้สำลัก แล้วใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดก้นกระตุ้นการขับถ่าย ทำแบบนี้ทุก2ชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน ป้อนจนกว่าลูกหนูจะอายุครบ21วัน พอลูกหนูอายุประมาณ10-14วันจะเริ่มทานอาหารเองได้บ้าง ให้ใส่ถ้วยเตี้ยๆหรือโปรยไว้ในกรงให้ด้วย
แฮมสเตอร์
Hamster

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 25 ม.ค. 25

อ่าน 9 ครั้ง


แฮมสเตอร์แพ้รองกรงทำยังไงดี ???

แฮมสเตอร์แพ้รองกรงทำยังไงดี ???

ช่วงหลังๆนี่เห็นโพสในกลุ่มทำนองนี้บ่อยมากกก แฮมสเตอร์แพ้___ใช้อะไรได้บ้าง รองกรงแบบไหนใช้แล้วไม่แพ้ ฯลฯอาการที่คนมักจะเจอแฮมเป็นคือ- จาม- หายใจมีเสียง- เกาเยอะ คัน - ขนร่วง แต่ อย่าลืมว่าอาการพวกนี้มันไม่ได้มาจากแพ้รองกรงอย่างเดียว จาม หายใจมีเสียง มันมาจากโรคทางเดินหายใจเช่นหวัดและปอดอักเสบได้ หรือเกา ขนร่วง ก็มาจากโรคผิวหนังอย่างเรื้อน ไร ติดเชื้อรา แบคทีเรียได้ ซึ่งพวกนี้ ต้องได้รับการรักษาจากสัตวแพทย์เท่านั้น เปลี่ยนชนิดรองกรงไม่หายนะคะ ยิ่งปล่อยไว้จะยิ่งลาม บางอย่างถึงชีวิตได้ เจอหนูมีอาการผิดปกติ อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปเหมารวมว่ามันเป็นอาการแพ้อย่างเดียว พาไปหาหมอให้เขาวินิจฉัย ถ้าหาหมอเสร็จแล้ว เขาว่าแพ้รองกรงจริงๆก็ต้องเปลี่ยนชนิดรองกรงให้รองกรงชนิดไหนแพ้น้อยสิ่งที่จะทำให้หนูจามได้ส่วนนึงมาจากฝุ่นจากรองกรง รองกรงแต่ละแบบจะมีปริมาณฝุ่นไม่เท่ากัน แต่ละล็อตก็ไม่เท่ากันรองกรงพวกนี้มักจะฝุ่นเยอะ- ขี้เลื่อยแอสเพนแบบก้อน- ขี้เลื่อยเกรดล่างๆ- แคร์เฟรชสีขาว ส่วนที่ฝุ่นน้อย (แต่ก็ไม่ใช่ไม่มี100%นะ) - Luxber - เคธี่สีน้ำตาล (แต่ทิ้งไว้ในกรงนานๆก็มีฝุ่นได้)- ซังข้าวโพด ( เช่น tinycob )อีกส่วนคือการแพ้เฉพาะตัว เหมือนกับคนนั่นแหละ บางคนแพ้ไรฝุ่น บางคนแพ้อาหารบางชนิด อันนี้บอกไม่ได้ว่าหนูตัวนี้จะแพ้รองกรงผระเภทไหน บางตัวอาจจะแพ้ก้านปอก็ได้ บางตัวอาจจะแพ้กระดาษก็ได้ ทำยังไงต่อเมื่อเจอแล้วแน่ๆว่าแฮมสเตอร์แพ้รองกรง สิ่งแรกคือเอารองกรงทั้งหมดออก และนำกรงและอุปกรณ์ทุกอย่างไปล้างเพื่อกำจัดเศษฝุ่นรองกรงออก ของเล่นไม้หรือของเล่นที่มีซอกเยอะๆกลัวจะล้างไม่หมดก็เอาออกไปก่อน เสร็จแล้วปูกรงด้วยกระดาษทิชชู่ครัว(แผ่นหนา) หรือทิชชู่อื่นที่ฝุ่นน้อย ถ้าอาการต่างๆมาจากแพ้รองกรงจริงอาการจะดีขึ้น ขนเริ่มขึ้น หยุดจาม แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น แนะนำให้พากลับไปหาหมอเพื่อให้ตรวจอีกรอบเมื่ออาการดีแล้ว ค่อยลองใช้รองกรงชนิดอื่นที่ไม่แพ้หรือยังไม่เคยใช้ อาจจะลองใช้แต่น้อย ปูบางส่วนของกรงก่อน แพ้อีกก็เปลี่ยนชนิด ไม่แพ้ก็ใช้ต่อ สรุป หนูมีอาการจาม คัน ขนร่วง อย่าเพิ่งเหมารวมว่าแพ้รองกรง หาหมอให้เสร็จก่อน ถ้าแพ้รองกรงจริงค่อยมาตามหาชนิดรองกรงที่ไม่แพ้ค่ะ

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 25 ม.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง


วิธีการเลือกซื้อหนูแฮมสเตอร์ อยากเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ต้องเลือกยังไง???

วิธีการเลือกซื้อหนูแฮมสเตอร์ อยากเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ต้องเลือกยังไง???

วงการแฮมเป็นอะไรที่เข้าแล้วออกยากมาก เมื่อมีตัวที่1แล้วมักจะมีตัวที่2ที่3งอกตามมา ทีนี้จะงอกจากไหนดี จะเลือกอย่างไร มีหลักการเลือกเล็กๆน้อยๆอย่างไรเพื่อให้เราได้หนูที่แข็งแรง พร้อมจะอยู่กับเราไปนานๆ เราไปเริ่มกันดีกว่าแฮมสเตอร์เป็นสัตว์สันโดษ แต่ตามร้านส่วนใหญ่จะขายหนูรวมกัน เพราะในช่วงที่หนูยังอายุประมาณ1เดือนเขาอาจจะยังอยู่ด้วยกันได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กัดกันเลย ร้านที่มีจรรยาบรรณจะแยกหนูที่กัดกับตัวอื่นออก หรือแยกเลี้ยงเดี่ยวเมื่อหนูเริ่มโตอายุ2-3เดือนขึ้นไปการเลือกร้านลักษณะกรงขาย: จำนวนหนูไม่แออัดเมื่อเทียบกับขนาดกรง รองกรงสะอาด มีขวดน้ำสะอาด อาหารสะอาดและคุณภาพดี แยกกรงผู้-เมียเพื่อป้องกันการผสมก่อนวัย แยกสายพันธุ์ ไม่ใส่รวมกับสัตว์อื่นคนขาย: ดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำในการเลี้ยงที่ถูกต้อง เช่น การเลี้ยง 1 ตัวต่อ 1 กรง ใช้กรงที่เหมาะสม สามารถบอกรายละเอียดของหนูได้ เช่น อายุ สายพันธุ์ พ่อแม่พันธุ์สภาพแวดล้อม: ถ้าไม่ใช่ร้านที่อยู่ในห้องแอร์ ควรอยู่ในร่ม ไม่ร้อน อากาศถ่ายเทดี มีอุปกรณ์ทำความเย็น (เช่น ขวดใส่น้ำแช่แข็ง บ้านดินเผา)อื่นๆ: สามารถระบุต้นสายที่ชัดเจน รวมถึงสุขภาพและนิสัยของพ่อแม่พันธุ์ เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (เช่น กรง 60 ซม.ขึ้นไป อาหารคุณภาพดี ไม่ขุนจนอ้วน)ลักษณะร้าน/ฟาร์มที่ควรหลีกเลี่ยงเลี้ยงหนูในสภาพแออัด ไม่แยกสายพันธุ์ หรือรวมกับสัตว์ชนิดอื่นมีหนูป่วยจำนวนมาก ขนเปียกจากความร้อนหรือหมักหมมแนะนำว่าให้เลี้ยงรวมกันหลายๆตัว/เลี้ยงเป็นคู่ผู้เมีย/เลี้ยงรวมกับสัตว์อื่นเรียกชื่อสายพันธุ์ผิด เช่น “พันธุ์นอมอล”เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ด้วยอาหารคุณภาพต่ำ กรงขนาดเล็ก ผสมหนูตั้งแต่อายุไม่ถึง4เดือน หรือเลี้ยงรวมกัน ให้แม่พันธุ์ท้องมากกว่า2ครอกตั้งใจผสมหนูข้ามสายพันธุ์ขุนหนูให้อ้วนเพื่อความน่ารัก โดยไม่สนใจสุขภาพการเลือกหนูสุขภาพ: ควรเลือกหนูที่อายุ1เดือนขึ้นไป ไม่ผอม ขนแห้งสะอาด ปราศจากหมัด/ไร ดวงตาสดใส ไม่ซึม ไม่วิ่งวนเป็นวงกลม/ตีลังกา ไม่เดินหลังค่อมเพศ: ขึ้นกับความชอบของผู้เลี้ยง หนูตัวเมียมักจะตัวใหญ่กว่า ทรงตัน อาจปล่อยกลิ่นหรือหงุดหงิดง่ายช่วงที่ฮีท หนูตัวผู้จะทรงยาวกว่า ในพันธุ์ซีเรียนขนยาวจะขนยาวกว่า ลูกอันฑะเห็นได้ชัดเจนสายพันธุ์: ขึ้นกับความชอบของผู้เลี้ยง พันธุ์วินเทอร์ไวท์และซีเรียน(ไจแอนท์)มีแนวโน้มที่จะเชื่องง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น พันธุ์โรโบรอฟกี้จะวิ่งเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบมองมากกว่าอุ้มเล่น ไม่แนะนำให้ผู้เลี้ยงมือใหม่เริ่มจากพันธุ์แคมเบลเนื่องจากมีนิสัยหวงถิ่นสูงกว่าพันธุ์อื่นอายุ: ควรเลือกหนูที่หย่านมแล้ว อายุ1เดือนขึ้นไป การรับหนูเด็กจะมีข้อดีที่เราสามารถมาฝึกนิสัยหนูได้เอง แต่หนูที่อายุน้อยจะขี้ตกใจกว่าหนูที่โตแล้ว (อายุ3เดือนขึ้นไป)สถานที่ซื้อเราสามารถเลือกซื้อหนูได้จากหลายแหล่งมาก ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะโฟกัสตรงจุดไหนจตุจักร ตลาดนัด และตามบูทในห้างแหล่งนี้จะเป็นที่ที่มีหนูให้เลือกเป็นจำนวนมากในค่าตัวที่ไม่แพง สามารถไปเลือกหนูได้เอง เลือกนิสัยได้ แต่ร้านส่วนมากจะรับจากฟาร์มเพาะพันธุ์หลายๆที่เพื่อนำมาขายต่อ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าต้นสายของหนูเป็นอย่างไร อายุเท่าไหร่ฟาร์มเพาะพันธุ์ส่วนนี้จะคล้ายๆกับที่จตุจักร แต่อาจไม่มีหน้าร้าน การเพาะพันธุ์มักจะเลี้ยงหนูหลายๆสายพันธุ์และจำนวนค่อนข้างเยอะ ทำให้มีหนูให้เลือกในปริมาณมากและหลากหลาย ราคาไม่แพง คุณภาพในการเลี้ยงขึ้นกับแต่ละฟาร์ม มักเน้นปริมาณหรือเพาะเพื่อให้ได้สี/ลายต่างๆมากกว่าการพัฒนาสายพันธุ์ อาจมีบริการส่งไปตามจังหวัดต่างๆบรีดเดอร์ฟาร์มขนาดเล็ก-กลางที่เน้นการเพาะพันธุ์เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ นิสัย หรือฟอร์ม สามารถถามรายละเอียดเกี่ยวกับหนูแต่ละตัวได้ รวมถึงไล่ประวัติพ่อแม่พันธุ์ได้ ราคาอาจจะสูงกว่าที่อื่นแต่ก็มั่นใจได้มากกว่าว่าจะได้หนูที่สุขภาพและฟอร์มดีผู้เลี้ยงทั่วไปหลายๆครั้งคนเลี้ยงทั่วไปอาจจะมีเหตุที่ทำให้ต้องย้ายบ้านให้หนูบางตัว เช่น ไม่สะดวกเลี้ยงต่อ เคสช่วยหนูที่ถูกทิ้ง หนูออกลูกมาเยอะเกินที่จะเลี้ยงไหว หรือตั้งใจผสมเพื่อต่อสาย ในเคสเหล่านี้เนื่องจากจำนวนหนูที่เลี้ยงอาจจะไม่เยอะเท่าฟาร์มทำให้ได้รายละเอียดเกี่ยวกับหนูแต่ละตัวมากว่าค่าตัวแตกต่างกันออกไปตามสถานที่ขาย สายพันธุ์ สี และการเลี้ยงดู อาจมีสูงหรือต่ำกว่านี้แล้วแต่การตกลงกับผู้ขาย ทั้งนี้ค่าตัวมักเป็นส่วนที่ถูกที่สุดในการเลี้ยงหนูจึงไม่ควรเลือกเลี้ยงพันธุ์ใดพันธุ์หนึ่งจากราคา แต่เลือกจากความชอบจะดีกว่าโรโบรอฟสกี้ 100-250วินเทอร์ไวท์ 50-200แคมเบล 120-500ไจแอนท์ (สายไทย) 50-250ไจแอนท์ (สายยุโรป) 400-3000สามาถเลือกชมแฮมสเตอร์และตรวจสอบราคาจากฟาร์มที่ผ่านการยืนยันตัวตนได้ที่ https://www.repttown.com/animals/mammals/hamstersและสุดท้าย ก่อนที่จะตัดสินใจงอกหนู อย่าลืมเตรียมกรง อุปกรณ์ และค่ารักษาพยาบาลยามจำเป็นไว้ด้วยนะคะ___________ส่วนตัวแล้ว ทางเพจจะค่อนข้างเรื่องมากเวลาเลือกสมาชิกใหม่ หลักๆแล้วจะเลือกจากคนเพาะก่อนว่าเลี้ยงหนูดีในระดับนึง ใช้กรงที่ขนาดโอเค อาหารที่ให้ดีหน่อย ดูแลเอาใจใส่ ถ้าเป็นไจแอนท์ก็จะดูฟอร์มเผื่อว่าในอนาคตอาจกลับมาเพาะอีก และฟอร์มที่สวยคือสวยด้วยตัวมันเองโดยไม่ต้องขุนหนูจนตัวอ้วนเดินไม่ได้ จากนั้นก็ดูสี จะแพ้เด็กdominant spot และสามสีทั้งหลาย นอกนั้นแล้วแต่ถูกชะตา

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 25 ม.ค. 25

อ่าน 1 ครั้ง


แฮมสเตอร์ซีเรียนหรือไจแอนท์แฮมสเตอร์มีสีอะไรบ้างนะ ทำความเข้าใจกับสีต่างๆในหนูแฮมสเตอร์พันธุ์ซีเรียน By Tea Garden Hamsters

แฮมสเตอร์ซีเรียนหรือไจแอนท์แฮมสเตอร์มีสีอะไรบ้างนะ ทำความเข้าใจกับสีต่างๆในหนูแฮมสเตอร์พันธุ์ซีเรียน By Tea Garden Hamsters

ทำความเข้าใจกับสีต่างๆในหนูแฮมสเตอร์พันธุ์ซีเรียนหนูแฮมสเตอร์พันธุ์ซีเรียน หรือโกลเด้นแฮมสเตอร์ หรือพันธุ์ไจแอนท์ที่เรารู้จักกันมีสีสันที่เยอะมาก รวมๆกันน่าจะเกินร้อย จะให้นั่งท่องก็ปวดหัว หลายๆคนเลยไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เราอาจจะมีพ่อแม่คู่นึง ผสมมาลูกดันออกมาสีดำยกครอกบ้าง ออกมาสีเหมือนหนูกรงข้างๆบ้าง ได้แต่คิดว่าคงเป็นสีปู่ย่าตายายแหละแล้วก็จบ โดยที่ไม่เข้าใจว่าแต่ละสีความเป็นมามันเป็นยังไง เราเลยตั้งในเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนเข้าใจในสีหนูมากขึ้น สามารถรู้ได้ว่าหนูตัวเองสีอะไร และเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์ในอนาคตตารางสี https://www.facebook.com/100970941288027/posts/508542143864236/#สีโกลเด้นในหนูทุกสายพันธุ์ จะมีสีเบสิกคือสีที่พบได้ในธรรมชาติ ในไจแอนท์ สีนั้นคือสีโกลเด้น (golden) ชื่อofficialของแฮมสเตอร์พันธุ์นี้เป็น Golden hamster ก็เพราะเหตุนี้ ในพันธุ์แคมเบลและวินเทอร์ไวท์คือสีนอมอล (normal) ส่วนพันธุ์โรโบคือสีอะกูติ (agouti)สีโกลเด้นเป็นสีที่จัดอยู่ในกลุ่มสีอะกูติ (agouti) หมายถึงสีที่มีลักษณะหลายเฉดในตัวเดียว และขนหนึ่งเส้นจะมีแบ่งได้สามโซน คือสีปลายขน (ticking) สีขน และสีขนชั้นใน (undercoat/base colour)ลักษณะลวดลายจะประกอบไปด้วย- สีหลัก (top coat)- สีเข้มข้างแก้ม (cheek flashes)- สีอ่อนข้างแก้ม (crescent)- สีอก (chest band)- สีใต้ท้อง (underbelly)- สีหู (ear colour)- สีตา (eye colour)ทั้งหมดนี้ เราสามารถแบ่งสีออกมาได้เป็น4ส่วนหลัก คือสีน้ำตาล สีดำ สีขาว และสีตา ยีนสีแต่ละตัวจะมีผลต่างกันที่สีในแต่ละส่วน สีโกลเด้นถือเป็นสีที่เกือบจะเด่นที่สุดเมื่อเทียบกับทุกสีในสายพันธุ์#ยีนเด่นยีนด้อยทำงานอย่างไรยีนด้อย ไม่ได้หมายความว่ายีนที่ไม่ดี แค่เป็นลักษณะการถ่ายทอดยีนรูปแบบนึงเท่านั้น การนำหนูที่มีสีที่นับเป็นยีนด้อยสองตัวมาผสมกันไม่มีผลต่อสุขภาพยีนที่กำหนดสีขนของหนูนั้นอยู่บนโครโมโซมและถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูก สีบางสีจะอยู่บนโครโมโซมที่ไม่เกี่ยวกับเพศ (autosome) บางสีจะอยู่บนโครโมโซมXหรือY(sex chromosome) โครโมโซมนั้นจะมีอยู่ด้วยกันเป็นคู่ซึ่งขาแต่ละข้างมาจากพ่อและแม่อย่างละหนึ่ง ส่วนยีนของแต่ละสีจะอยู่บนตำแหน่งที่ต่างกันบนโครโมโซมอีกที เรียกว่า locus และในแต่ละlocusจะมียีนอยู่ด้วยกันหลายๆเวอร์ชั่น เรียกว่า allele ในหนูแต่ละตัวนั้นจะต้องมีalleleครบ1คู่ในแต่ละlocus (ได้มาจากพ่อและแม่) ทั้งหมดรวมกันแสดงออกมาเป็นสีขนAllele ของสีแต่ละสีมีความเด่นความด้อยไม่เท่ากัน ยีนที่เป็นยีนเด่นจะเขียนด้วยตัวอักษรใหญ่ ยีนด้อยจะเขียนด้วยตัวอักษรเล็กยีนเด่น (dominant gene) นั้นหมายความว่าการที่จะแสดงลักษณะสีนั้นๆออกมาได้จะต้องได้รับการถ่ายทอดยีนนั้นมาเพียงalleleเดียวคือจากพ่อหรือแม่ข้างเดียวก็พอ โดยที่ไม่สนว่าอีกข้างจะเป็นยีนอะไร ในขณะที่ยีนด้อย (recessive gene) นั้นหมายความว่าจะต้องได้รับยีนจากทั้งพ่อและแม่ให้ครบ2 alleleจึงจะแสดงสีนั้นๆได้ยกตัวอย่างเช่น A locus มี allele อยู่สองแบบ คือ A กับ aA=สีโกลเด้น(ยีนเด่น) a=สีดำ(ยีนด้อย)ถ้าเราอยากได้หนูสีโกลเด้น หนูตัวนั้นจะมียีนเป็น AA หรือ Aa ก็ได้ คือมีalleleสีโกลเด้น1หรือ2ข้างก็ได้ ส่วนถ้าอยากได้สีดำ จะต้องมียีน aa คือมีalleleสีดำ2ข้าง#วิธีการคิดว่าลูกจะออกมาสีอะไรอย่างที่บอกไว้ หนูแต่ละตัวจะได้ยีนมาจากฝั่งพ่อและแม่อย่างละข้าง ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าพ่อแม่สีอะไร แฝงยีนอะไร ก็จะสามารถคำนวนคร่าวๆว่าในครอกนั้นจะออกมาสีอะไรบ้าง วิธีนั้นคือการใช้ Punnett square ซึ่งเป็นการเอายีนของพ่อและแม่มาแยกเป็นสองอัน แล้วลองดูว่าถ้าได้ยีนแต่ละข้างของพ่อและแม่รวมกัน ลูกจะออกมาสีอะไรยกตัวอย่างหนูคู่ที่1พ่อสีโกลเด้นล้วน ไม่มียีนสีดำแฝง ยีนจะเขียนออกมาได้ว่า AAแม่สีดำล้วน ยีนจะเขียนออกมาได้ว่า aaมาเข้า Punnett square ลูกๆทุกตัวจะออกมาเป็นยีน Aa แปลว่าลูกทุกตัวจะออกมาสีโกลเด้นล้วน แฝงสีดำหนูคู่ที่2พ่อสีโกลเด้นแฝงสีดำ ยีนจะเขียนออกมาได้ว่า Aaแม่สีดำล้วน ยีนจะเขียนออกมาได้ว่า aaมาเข้า Punnett square ลูกๆครึ่งนึงจะออกมาเป็นยีน Aa คือสีโกลเด้นล้วน แฝงสีดำ อีกครึ่งเป็นยีน aa คือสีดำล้วนหนูคู่ที่3พ่อสีโกลเด้นแฝงสีดำ ยีนจะเขียนออกมาได้ว่า Aaแม่สีโกลเด้นแฝงสีดำ ยีนจะเขียนออกมาได้ว่า Aaมาเข้า Punnett square ลูกๆ 1/4 จะออกมาเป็นยีน AA คือสีโกลเด้นล้วน ครึ่งนึงจะออกมาเป็นยีน Aa คือสีโกลเด้นล้วน แฝงสีดำ อีก1/4เป็นยีน aa คือสีดำล้วนในตอนต่อไปจะมาพูดถึงแต่ละlocusของยีนสีว่ามีการทำงานอย่างไรบ้างมาต่อกันดีกว่า รอบนี้จะเป็นการอธิบายการทำงานของยีนสีแต่ละสี มาดูกันว่ายีนนั้นเดี่ยวๆเปลี่ยนสีขนและสีตาไปในทางไหนบ้าง พอเข้าใจตรงจุดนี้แล้วค่อยมาดูสีที่เกิดจากการรวมยีนหลายๆยีน (gene combination) รอบนี้จะเน้นสีที่อยู่บนโครโมโซมที่ไม่เกี่ยวกับเพศ (autosome)ก่อน ซึ่งส่วนมากจะเป็นยีนด้อย ส่วนสีที่อยู่บนโครโมโซมเพศ (สีในกลุ่ม yellow) จะไปอยู่อีกตอนนึงในส่วนของมาตรฐานของสีแต่ละสีจะอยู่ในหน้าเว็บของ National Hamster Council https://hamsters-uk.org/syrian-exhibition-standards/ในอนาคตจะนำมาแปลอีกทีถ้าใครสนใจ* สีโกลเด้นเป็นสีตั้งต้นของหนูพันธุ์นี้ และทุกยีนมีผลที่ต่างกันต่อสีน้ำตาล ดำ ขาว และสีตา** Carrying แปลว่า แฝงA locusLocus แรกสุดของเรา locusนี้จะมีผลที่bandingของขน ทำให้หนูสีโกลเด้นที่มี agouti marking (คือมีลาย ท้องครีม) กลายเป็นหนูสีดำล้วน (non-agouti) ไม่มีผลต่อสีตาหรือสีหูถ้าจะจัดกลุ่มใหญ่ๆของประเภทสีไจแอนท์คือเป็นสีแบบ agouti กับ non-agouti ก็คือเป็นสีที่มีลายอ่อนเข้ม กับสีล้วนทั้งตัวนั่นเองAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- A = Agouti = สีโกลเด้น- a = Non-agouti = สีดำสรุปAA = GoldenAa = Golden carrying blackaa = BlackB locusอันนี้ก็คือยีนที่ทำให้เกิดสีอย่างเช่นสี Rust และสีช็อค จำง่ายๆก็ B = brown ยีนนี้จะทำการเปลี่ยนสีดำทั้งหมดของหนูให้เป็นสีน้ำตาล ซึ่งรวมถึงสีของหูด้วย โดยที่ตาจะยังเป็นสีดำเหมือนเดิมหรืออมน้ำตาลขึ้นได้เล็กน้อย banding ของขนจะยังมีเหมือนเดิม ทำให้หนูยังคงมีลายเหมือนหนูสีโกลเด้นวิธีแยกหนูสีโกลเด้นที่ลายไม่เข้มมาก หนูสี rust และหนูสีชินนามอน คือดูจากสีของลายแก้มและหู หนูสีโกลเด้นจะแก้มสีดำหรือน้ำตาลเข้ม หูสีดำ หนูสี rust จะแก้มสีน้ำตาล หูสีน้ำตาล ส่วนหนูสีชินนามอนจะแก้มสีเทาน้ำตาล หูสีเนื้ออมเทาAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- B = สีโกลเด้น- b = RustสรุปBB = GoldenBb = Golden carrying rustbb = RustC locusยีนใน locus นี้ยังไม่มีในเมืองไทย มีด้วยกันทั้งหมด 3 allele ทุกอันจะทำให้ทุกสีอ่อนลงแต่ต่างกันออกไปเล็กน้อยAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- C = สีโกลเด้น- c(d) = Dark eared white ละลายสีขนทุกสี เปลี่ยนสีขนทุกสีให้เป็นสีขาว ตาแดง ไม่เปลี่ยนสีหู ทำให้หนูกลายเป็นสีขาวหูดำ- c(e) = Extreme dilute เปลี่ยนสีน้ำตาลให้เป็นสีอ่อนหรืออมเทา เว้นบริเวณปลายจมูก ออกแนวคล้ายๆแมววิเชียรมาศที่ตัวจะสีอ่อนแล้วจมูกสีเข้ม ไม่เปลี่ยนสีหูหรือตา- เมื่อนำ c(e) และ c(d) มารวมกันจะเป็น heterozygous extreme dilute คือครึ่งๆระหว่างขาวหูดำและเอ็กสตรีมไดลูท คือเปลี่ยนสีน้ำตาลให้เป็นสีอ่อน และสีดำให้เป็นสีเทาปกติแล้วภาวะเผือก (albino) จะอยู่ในlocusนี้ด้วย แทนด้วยตัวอักษร c แต่ยังไม่เจอในหนูพันธุ์นี้ ในหนูพันธุ์อื่นจะทำให้เป็นหนูสีขาวตาแดง หูชมพูหมายเหตุ - ไม่ใช่ว่าหนูสีขาวหูดำทุกตัวจะเป็น dark eared white ที่เกิดจากยีน dilute หนูขาวหูดำส่วนมากเกิดจากยีนที่ทำให้เกิดลายต่างๆเช่นแบนเดดและโดมิแนนท์สปอตสรุปCC = GoldenCc(d) = Golden carrying DEWCc(e) = Golden carrying extreme dilutec(d)c(e) = Heterozygous extreme diluteD locusLocus หนูสีบลู เพิ่งนำเข้ามาในไทยสดๆร้อนๆเลย ยีนนี้จะเปลี่ยนสีดำให้เป็นสีเทา undercoat จะเทาอ่อนเกือบขาว ไม่เปลี่ยนสีหูหรือสีตาAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- D = โกลเด้น- d = Dilute/BlueสรุปDD = GoldenDd = Golden carrying bluedd = Dilute / Blue agouti (ยังไม่มีชื่อ official)E locusยีนของหนูสีครีม Locus นี้มีความพิเศษที่ว่ามันสามารถกลบได้แทบทุกสีที่มีบนตัวหนู ค่อการเอาสีขาว ดำ น้ำตาลออกทั้งหมดแล้วแทนที่ด้วยครีม ไม่ว่าหนูนั้นจะเป็นสีโกลเด้น สีดำ สีเกรย์ หรืออะไรก็ว่าไป เมื่อมียีนนี้ก็จะกลายเป็นหนูสีครีมเหมือนกันหมด โดยที่สีหูและสีตาจะไม่เปลี่ยน เป็นยีนด้อยที่ความสามารถไม่ด้อยเลยจริงๆวิธีเดียวที่จะสามารถรู้ได้ว่าหนูสีครีมนั้นมีสีอะไรที่โดยครีมกลบอยู่คือต้องดูจากสีของพ่อแม่ สีหู และสีตาของหนูตัวนั้นAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- E = Golden- e = CreamสรุปEE = GoldenEe = Golden carrying creamee = CreamP locusLocus นี้มีผลกับทั้งสีขนและสีตาเลย โดยจะเปลี่ยนสีตาจากดำเป็นแดง หูจากดำเป็นชมพูอมเทา และสีขนสีดำให้เป็นเทาน้ำตาล และสีขาวใต้ท้องให้ออกครีมสว่าง คือกลายเป็นหนูสีชินนามอน (Cinnamon) คิดง่ายๆคือเวลาหนูมีตาสีแดงก็จะทำให้สีขนอ่อนตามลงไปด้วยAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- P = Golden- p = Cinnamon (ตาแดง)สรุปPP = GoldenPp = Golden carrying cinnamonpp = CinnamonU locusLocus นี้ umbrous นับเป็นยีนเด่น จะเพิ่ม ticking ให้เข้มขึ้น เหมือนเป็นการเพิ่มเฉดสีน้ำตาลเข้มลงไปบนสีเดิมของหนู ทำให้ปลายขนมีสีที่เข้มขึ้นแต่โคนขนยังเป็นสีเดิม ลักษณะเด่นของยีนนี้คือจะเห็นวงรอบตาเป็นสีเบสของหนู (นึกถึงหนูสีเซเบิ้ล แบบนั้นแหละ) เพราะว่าเราจะเห็นโคนขนได้ชัดที่สุดคือรอบตาอีกอย่างนึงคือในหนูกลุ่มสีagouti ท้องจะไม่เป็นสีครีมเหมือนทั่วไป แต่จะดูออกเป็นสีเทาเรพาะปลายขนที่เข้มขึ้น ส่วนในหนูสีกลุ่ม non agouti จะไม่เห็นผลของยีนนี้หรือเห็นได้ยากมาก เนื่องจากหนูไม่มีbandingของขนAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- U = Umbrous- u = โกลเด้นสรุปUU, Uu = Umbrousuu = GoldenDg locusมาถึงสีเกรย์กันบ้าง สีดาร์คเกรย์ก็ยังไม่มีในเมืองไทยเช่นกัน สีดาร์คเกรย์นับเป็นยีนด้อยเปลี่ยนสีน้ำตาลทั้งหมดให้เป็นสีเทา คือเหมือนการเอาหนูสีโกลเด้นมาถ่ายรูปขาวดำ ในหนูสีนี้น้อยตัวอาจมี kink tail (หางงอ)ได้Alleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วยDg = Goldendg = Dark GreyสรุปDgDg = GoldenDgdg = Golden carrying dark greydgdg - dark greySg locusสีซิลเวอร์เกรย์ที่คนนิยม ยีนในlocusนี้ถือเป็นยีนเด่นที่ไม่สมบูรณ์ (incomplete dominant) ซึ่งแปลว่าการที่มี allele ของซิลเวอร์เกรย์หนึ่งขาจะให้สีที่ต่างจากการที่สีสองขา ยีนนี้จะเปลี่ยนสีน้ำตาลทั้งหมดให้เป็นสีเทา สีcheek flashอมน้ำตาล เมื่อมีสองขาจะทำให้ออกเทาสว่างขึ้นเกือบขาว cheek flashes สีดำเทาAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วยSg = Silver greysg = GoldenสรุปSgSg = Homozygous silver greySgsg = Heterozygous silver greysgsg = Goldenวันนี้เราพอแค่นี้ก่อน ในตอนต่อไปจะมาดูสีในกลุ่ม Yellow ซึ่งเป็นยีนที่อยู่บน sex chromosome และทำให้เกิดสี Yellow/Pearl ทั้งหลายและสี Tortoiseshell (กระดองเต่า หรือทรอส)ตอนที่3นี้จะโฟกัสกับสีที่อยู่บนโครโมโซมเพศ (สีในกลุ่ม yellow)ที่แยกออกมาเพราะเป็นหัวข้อที่เข้าใจยากนิดนึงโครโมโซมเพศของหนูแฮมสเตอร์จะเหมือนกับคน คือตัวเมียจะเป็น XX ส่วนตัวผู้จะเป็น XY ด้วยความที่โครโมโซม Y นั้นมีขนาดเล็ก ในเรื่องของยีนสีจะไม่ค่อยมีบทบาทมากเท่า ความพิเศษของโครโมโซม X คือในหนูตัวเมียที่มี X สองขานั้น ตัว X แต่ละข้างจะกระจายเป็นแถบอยู่ทั่วร่างกายคล้ายลายเสือ ในขณะหนูตัวผู้ที่มีโครโมโซม X เพียงอันเดียวTo locusสี yellow นั้นอยู่บนโครโมโซม X และเป็นยีนเด่น แทนตัวอักษรว่า To ในขณะยีนที่ไม่ใช่เยลโล่จะแทนว่า to ยีน yellow นี้จะไปเปลี่ยนสีน้ำตาลให้เป็นสีเหลือง สีดำให้กลายเป็นสีน้ำตาลส้ม และสีขาวให้เป็นครีมสว่าง ไม่เปลี่ยนสีตาและสีขน ในหนูที่เป็นกลุ่ม non agouti เช่น yellow black สีขนทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลยกเว้นปลายขนบางส่วนในหนูตัวเมียที่มียีน To อยู่ข้างเดียว อีกข้างเป็นสีธรรมดา (Toto) การแสดงออกของสีจะมีบางแถบที่เป็นสีเยลโล่ ในขณะที่บางแถบเป็นสีธรรมดา ทำให้เกิดลักษณะลายที่เรียกว่า Tortoiseshell หรือลายกระดองเต่า ถ้าหนูตัวเมียมี To ทั้งสองข้าง (ToTo) โครโมโซม X ทั้งตัวจะเปลี่ยนสีขนเป็นสีเหลือง ทำให้ได้หนูตัวเมียสี yellow ขึ้นมาในหนูตัวผู้ เนื่องจากว่ามีโครโมโซม X เพียงข้างเดียว การที่มียีน To (เขียนว่า ToY) ก็จะเป็นสี yellow ส่วน to (toY) ก็จะเป็นสีธรรมดาอื่นๆการถ่ายทอดยีนที่เป็น sex chromosome ก็จะต่างจาก autosome เล็กน้อย เพราะจำนวนโครโมโซม X ในตัวผู้และตัวเมียมีไม่เท่ากัน และลูกหนูตัวเมียจะได้โครโมโซม X จากทั้งพ่อและแม่ ส่วนลูกหนูตัวผู้จะได้โครโมโซม X จากแม่เท่านั้น และ Y จากพ่อเท่านั้น ดังนั้นในหนูแต่ละคู่ก็จะมีโอกาสได้สี yellow หรือ tortoiseshell ไม่เท่ากันตัวอย่างหนูคู่ที่ 1พ่อสี Yellow เขียนออกมาว่า ToYแม่สี Golden เขียนออกมาว่า totoลูกตัวผู้จะออกมาสี Golden ทั้งหมด (toY)ลูกตัวเมียจะออกมาสี Golden tortoiseshell ทั้งหมด (Toto)หนูคู่ที่ 2พ่อสี Golden เขียนออกมาว่า toYแม่สี Yellow เขียนออกมาว่า ToToลูกตัวผู้จะออกมาสี Yellow ทั้งหมด (ToY)ลูกตัวเมียจะออกมาสี Golden tortoiseshell ทั้งหมด (Toto)หนูคู่ที่ 3พ่อสี Yellow เขียนออกมาว่า ToYแม่สี Golden tortoiseshell เขียนออกมาว่า Totoลูกตัวผู้จะออกมาสี Yellow (ToY) 50% สี Golden (toY) 50%ลูกตัวเมียจะออกมาสี Golden tortoiseshell (Toto) 50% สี Yellow (ToTo) 50%หนูคู่ที่ 4พ่อสี Golden เขียนออกมาว่า toYแม่สี Golden tortoiseshell เขียนออกมาว่า Totoลูกตัวผู้จะออกมาสี Yellow (ToY) 50% สี Golden (toY) 50%ลูกตัวเมียจะออกมาสี Golden tortoiseshell (Toto) 50% สี Golden (toto) 50%Alleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- To = Yellow- to = Goldenสรุปในหนูตัวผู้มีโครโมโซม X และ YToY = YellowtoY = Goldenในหนูตัวเมียมีโครโมโซม XXToTo = YellowToto = Tortoiseshelltoto = สีอื่นๆตอนต่อไปจะเกี่ยวกับการรวมยีน (gene combinations) เพื่อให้ได้สีต่างๆที่มากขึ้น และวิธีการเขียน genotype สำหรับพ่อแม่พันธุ์ก่อนที่เราจะไปเรื่อง colour combination มาดูยีนที่ทำให้เกิดลายที่เรียกว่า marking กันก่อนMarking (มาร์คกิ้ง) คือลายสีขาวที่อยู่บนพื้นสีของหนูอีกที ลายโดยส่วนใหญ่จะสามารถนำมารวมกับสีได้แทบทุกสี โดยที่จะไม่เปลี่ยนตัวสีพื้นหรือเปลี่ยนได้เล็กน้อย ให้ลองนึกว่าเรามีหนูสีนึง แล้วเอาสีขาวไปแต้ม ก็จะได้ลายในปัจจุบัน ลายทั้งหลายมีทั้งหมดได้แก่- Banded (แบนเดด)- Dominant spot (โดมิแนนท์สปอต)- Recessive dapple (รีเซสซีฟแดปเปิล หรือ RD)- Roan/white-bellied (โรน) และ Polywhite (โพลี่ไวท์)ลายต่างๆเหล่านี้ก็สามารถมารวมกันเองได้ด้วย เนื่องจากแต่ละตัวนั้นอยู่คนละ locus กันหมดและสามารถแสดงออกมาพร้อมๆกันได้ (ยกเว้นโรนและโพลี่ไวท์ที่อยู่บน locus เดียวกัน) ดังนั้นหนูอาจจะเป็นได้ทั้งลายด่างแบบ dominant spot และมีลายพาดกลางตัวแบบbandedได้พร้อมๆกัน บางตัวก็อาจมีลายขาวมากจนกลายเป็นหนูสีขาวล้วนไปเลยทีนี้ถ้าเรามีหนูสีขาวล้วน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นขาวล้วนที่มีจากยีนสีหรือยีนลาย ให้ดูที่หูของหนู หนูที่เป็นสีขาวล้วนจากยีนสีจะเป็นสีล้วน เช่น สีดำหรือครีม ในขณะที่หนูที่ขาวจากยีนลายมากกว่า1ลายรวมกันจะมีหูด่างเรามาดูที่ดีเทลของยีนลายแต่ละยีนดีกว่าBa locusลายแบนเดด คือลักษณะลายสีขาวที่พาดอยู่บริเวณท้องของหนู อาจจะเป็นสีขาวพันรอบทั้งตัวหรือเหลือสีเป็นเส้นกลางหลังก็ได้ ตัวลายbandedเองเป็นยีนเด่น ดังนั้นหนูแค่ต้องได้รับยีนนี้เพียงalleleเดียวเพื่อให้มีลายแบนเดดAlleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- Ba = Banded = ลายแบนเดด- ba = Solid = ไม่มีลาย/สีล้วนสรุปBaBa และ Baba = Bandedbaba = SolidDs locusยีน dominant spot ตามชื่อ คือเป็นยีนเด่นที่ทำให้เกิดลายจุด ยีนนี้จะทำให้หนูมีลายกลางหน้า อาจจะเป็นจุดที่หัวก็ได้ หรือเป็นลายขาวแสกกลางหน้าก็ได้ โดยลายมักเริ่มจากจมูกขึ้นไปถึงหัวและท้ายทอย ส่วนลายตัวจะเป็นจุดด่างๆกระจายทั่ว สีขาวอาจจับตัวเป็นปื้นได้ ท้องสีขาวเมื่อหนูลาย dominant spot มียีน polywhite ด้วย ลายสีขาวจะเพิ่มขึ้น ทำให้หนูหน้าตาเป็นเหมือนหนูสีขาวที่มีแต้มสีกระจายทั่วตัวแทนยีนนี้เป็นยีนเด่นที่นับว่าเป็น homozygous lethal ซึ่งหมายความว่าลูกหนูที่ได้รับยีน DS จากทั้งพ่อและแม่มาทั้งสองข้างจะตายตั้งแต่ในท้อง ดังนั้นการนำหนูลาย dominant spot สองตัวมาผสมกันมักจะทำให้ขนาดครอกลดลงประมาณ 25%Alleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- Ds = Dominant spot = ลายด่าง- ds = Solid = ไม่มีลาย/สีล้วนสรุปDsDs = ตายตั้งแต่ในท้องDsds = Dominant spotdsds = SolidRd locusRecessive dapple ทำให้หนูมีลายหน้ากากสีขาวจากหลังคอและมาหยุดก่อนถึงจมูก ตัวสีขาว และอาจมีแต้มสีที่ก้นและบนลำตัวได้เล็กน้อย ยีนนี้เป็นยีนด้อยตามชื่อ ดังนั้นจำเป็นจะต้องได้ยีนนี้จากทั้งพ่อและแม่เพื่อให้มีลายนี้ หนูที่มียีนrecessive dapple แฝงอาจมีลายท้องสีขาวมากกว่าหนูทั่วไปได้วิธีการแยกระหว่างหนูลาย DS และ RD สามารถอ่านได้จากโพสนี้ค่ะ https://www.facebook.com/100970941288027/posts/500685531316564/Alleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- Rd = Solid = ไม่มีลาย/สีล้วน- rd = Recessive dapple = ลายด่างสรุปRdRd = SolidRdrd = Solid carrying recessive dapplerdrd = Recessive dappleWh locusยีนลายใน locus นี้พิเศษกว่าอันอื่นๆเนื่องจากไม่แสดงอยู่บนทุกสี และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในเพาะในหนูที่มีสีกลุ่ม cream เช่น หนูสีครีม เซเบิ้ล หรือขาวล้วนที่มาจากครีม (ivory) หรือหนูในกลุ่มสี yellow เช่น yellow black ลายจะแสดงออกมาเป็นปื้นสีขาวด่างๆบริเวณก้นและจมูก ในหนูสีอื่นอาจจะเป็นแค่จุดสีขาวกลางท้อง ซึ่งสังเกตยากเพราะในหนูสีล้วนปกติก็มีท้องลายขาวได้อยู่แล้ว ยิ่งหนูที่มีลายอื่นๆยังสังเกตยากเพราะลายอื่นก็ทำให้ท้องขาวเช่นกันAllele ที่เรียกว่า white-bellied หรือ roan นั้นนับเป็น homozygous lethal อีกยีน ปัญหาคือลูกหนูจะไม่ได้ตายในท้อง แต่จะออกมาพิการ ไม่มีตา ไม่มีฟัน อายุสั้นกว่าปกติ และมีสีขาวล้วน ในต่างประเทศจะเรียกว่า eyeless whiteห้ามนำหนูลาย roan สองตัวผสมกันโดยเด็ดขาดหรือแม่แต่การนำหนูที่อาจจะมียีนของ roan มาผสมกัน เช่น หนูที่มีลายอื่นๆโดยที่เราไม่รู้ background ของพ่อแม่พันธุ์ใน locus เดียวกันนี้ก็มีอีก allele นึงคือโพลี่ไวท์ ยีนนี้เป็นยีนด้อยและต้องได้รับจากทั้งพ่อและแม่เพื่อให้มีลายนี้ ลายจะลักษณะคล้ายกับโรน แต่ปลอดภัยตรงที่ไม่ทำให้เกิดหนู eyeless white สามารถมารวมกับลาย dominant spot เพื่อให้เกิดลาย dominant spot polywhite หรือ dalmatian ได้Alleles ของ locus นี้ประกอบไปด้วย- Wh = White-bellied/roan = โรน ในหนูกลุ่มครีม/เยลโล่ หรือท้องขาวในหนูสีอื่น- wh = Solid- whp = PolywhiteสรุปWhWh = Eyeless whiteWhwh = Roan/white-belliedWhwhp = Roan carrying polywhite มีลายด่างแบบโรนwhpwhp = Polywhitewhwhp = Solid carrying polywhitewhwh = Solid

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 3 ครั้ง


รองกรงแฮมสเตอร์ใช้แบบไหนดี แต่ละแบบต่างกันยังไงนะ

รองกรงแฮมสเตอร์ใช้แบบไหนดี แต่ละแบบต่างกันยังไงนะ

วิธีการเลือกรองกรงหนูแฮมสเตอร์รองกรงคือวัสดุที่เราใส่ในกรงหนูเพื่อซับของเสีย เลียนแบบดินสำหรับขุดโพรงในธรรมชาติ และสำหรับนำไปทำรังลักษณะของรองกรงที่เหมาะสมคือ- สามารถซับน้ำได้ดี- ซับกลิ่นได้ดี- เมื่อขุดโพรงแล้วอยู่ตัว- ฝุ่นน้อย/ไม่มีฝุ่น- ไม่แต่งกลิ่นชนิดของรองกรงหลักๆสามารถแบ่งได้เป็นชนิดที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ และชนิดที่ทำมาจากกระดาษ ทั้งคู่สามารถใช้ได้ ส่วนจะเลือกใช้ชนิดไหนขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่เราต้องการ และหนูของเราแพ้/ไม่แพ้ชนิดไหน ไม่มีรองกรงไหนที่ดีที่สุดเรื่องการแพ้รองกรง - https://www.facebook.com/100970941288027/posts/232743534777433/เวลาใช้รองกรงชนิดใหม่ควรสังเกตพฤติกรรมหนูด้วย หากเขาแทะกินควรเอาออกทันที เพราะรองกรงทุกชนิดอาจอุดตันลำไส้ได้หากทานเข้าไปในปริมาณมาก#วิธีการใช้ควรปูรองกรงให้คลุมทั่วทั้งกรง หนาอย่างน้อย 3ซม. สำหรับรองกรงที่มีลักษณะร่วน หรือ15-30ซม.ขึ้นไปสำหรับรองกรงที่สามารถขุดได้ สามารถใช้รองกรงหลายชนิดร่วมกันได้ เช่น แบ่งโซนนึงปูก้านปอ อีกโซนปูเคธี่ โดยควรจะต้องมีรองกรงชนิดที่ให้เขาขุดทำโพรงได้เสมอส่วนตัวแนะนำให้ใช้รองกรงที่ร่วนปูในบริเวณที่จำเป็นจะต้องปูบาง เช่น รอบๆห้องน้ำหรือบริเวณที่จะวางจักร ที่เหลือปูรองกรงที่ขุดได้ให้หนาที่สุดที่สามารถใส่ได้การรองกรงหนาไม่ได้ทำให้ร้อน ถ้าห้องที่เลี้ยงร้อนเกินไป ต่อให้รองกรงบางทั้งกรงหนูก็เป็นฮีตสโตรกตายได้อยู่ดีไม่แนะนำให้ปูทรายทั้งกรง เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคทางเดินหายใจ/โรคผิวหนัง และไม่สามารถขุดโพรงได้การทำความสะอาดกรงคือนำรองกรงส่วนที่สกปรกออกและเติมรองกรงเพิ่ม ไม่ควรเปลี่ยนใหม่ทั้งกรงในครั้งเดียวนอกเสียจากว่าหนูจะเป็นโรค เช่น ไร เชื้อรา หรือมีอาการแพ้ร้องกรงชนิดนั้นรายละเอียดเรื่องการทำความสะอาดกรง - https://www.facebook.com/100970941288027/posts/130675504984237/แพ้รองกรงทำอย่างไรดี - https://www.facebook.com/100970941288027/posts/232743534777433/[ชนิดของรองกรง]#วัสดุรองกรงที่ทำจากไม้/วัสดุธรรมชาติขี้เลื่อยขี้เลื่อยคือรองกรงที่ใช้ไม้นำมาไสเป็นแผ่นหรือเส้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซับ แต่ละยี่ห้อจะขนาดแผ่นต่างกัน ปริมาณฝุ่นต่างกัน ยิ่งชิ้นใหญ่จะยิ่งดูดซับน้ำได้น้อยและมักแข็งกว่า รวมถึงโพรงอยู่ตัวได้น้อยกว่า โดยรวมแล้วขี้เลื่อยข้อดีคือเป็นรองกรงที่เหมือนธรรมชาติมากที่สุด ราคาถูกและสามารถใส่หนาๆเพื่อให้ขุดโพรงได้ไม้ที่ปลอดภัย - แอสเพน(aspen) แอปเปิ้ล บีช(beech) เบิร์ช(birch) สปรูซ(spruce) ป๊อปล่า(poplar)ไม้ที่ยังถกเถียงกันอยู่ - ไม้สนที่อบแล้ว** (kiln dry pine)ไม้ที่ไม่ปลอดภัย - ไม้ซีดาร์ (cedar) ไม้สน ไม้แต่งกลิ่น ไม้ที่มีสารหอมระเหยอื่นๆ** เนื่องจากกระบวนการอบทำให้สารหอมระเหยhydrocarbonsบางส่วนหายไป แต่ก็ไม่ทั้งหมดตัวอย่างรองกรงที่ปลอดภัย- Emily pets (แอสเพนแบบเส้น)- Millamore (แอสเพนแบบแผ่น)- Allspan/premium span (ไม้spruce)- Niteangel (ไม้หลายชนิด)- Chipsi- Witte molen- Versele laga natural wood bedding- Versele laga bedding no.6 (ไม้แบบแผ่น)- Ono (poplar)ก้านปอตามชื่อเลย รองกรงชนิดนี้ทำมาจากก้านปอ มีลักษณะเป็นชิ้นๆขนาดประมาณ 0.5x1 ซม. สีครีม (บางรอบสีน้ำตาล) สามารถซับน้ำและกลิ่นได้ดี ราคามักไม่แพงมาก ไม่มีสารหอมระเหย แต่มีความร่วนและไม่สามารถขุดโพรงให้อยู่ตัวได้ บางล็อตบางยี่ห้ออาจมีฝุ่น หรืออาจเป็นก้านแข็งได้ ต้องระวังแทงตาเวลาหนูขุดตัวอย่าง- Sorb’ziiซังข้าวโพดทำจากแกนกลางของข้าวโพดมาตากแห้ง คุณสมบัติในการซับน้ำและกลิ่นดีพอๆกับก้านปอ แต่มีความกลมมนไม่ทิ่มตา ขุดโพรงไม่ได้ ข้อเสียคือเวลาหนูเดินหรือขุดจะเสียงดังมาก และถ้าชื้นอยู่นานๆจะราขึ้นง่ายกว่ารองกรงชนิดอื่นลินินรองกรงชนิดนี้มีลักษณะคล้ายหญ้าแห้งเส้นเล็กๆสีน้ำตาล ซับกลิ่นและน้ำได้ดี ฝุ่นน้อย สามารถนำมาแต่งกรงเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติได้ แต่ขุดโพรงไม่อยู่ตัว รองกรงนี้จะมีความเบา อาจเตะออกมาจากกรงได้ง่ายตัวอย่าง- Bunny nature Bedding Linumกาบมะพร้าว/ขุยมะพร้าวรองกรงชนิดนี้จะมีแบบที่ทำมาสำหรับแฮมสเตอร์โดยเฉพาะ คือล้างเพื่อลดเค็มแล้วและอบฆ่าเชื้อ สามารถซับน้ำได้ สีน้ำตาลเข้มดูเป็นธรรมชาติ แบบขุยสามารถใส่หนาๆให้ขุดเลียนแบบดินได้ไม่แนะนำให้ใช้กาบมะพร้าว/ขุยมะพร้าวถุงที่ขายสำหรับปลูกต้นไม้ เนื่องจากมีความชื้นสูงและอาจขึ้นราได้ง่าย รวมถึงมีฝุ่นปริมาณมากตัวอย่าง- Niteangelไม้ก๊อกลักษณะเป็นก้อนสีน้ำตาล ก้อนจะมีหลายขนาดแล้วแต่รุ่นและยี่ห้อบางแบบจะผสมดอกไม้แห้งมาด้วย มีความเบา ซับน้ำได้พอประมาณ เหมาะสำหรับนำมาแต่งกรงมากกว่าปูทั้งกรงตัวอย่าง- Niteangel- Sweet sugarเปลือกไม้แผ่นเปลือกไม้ทำมาจากไม้หลายชนิด สีออกน้ำตาลเข้มเป็นแผ่น บางรุ่นกลิ่นไม้จะแรงหน่อย ไม่ค่อยซับน้ำ ชนิดนี้เหมาะสำหรับนำมาแต่งกรงอย่างเดียว ไม่ควรนำมาปูทั้งกรงตัวอย่าง- Chipsi forest freshผักตบชวาทำจากฝักตบชวาอบหรือตากแห้ง จากนั้นหั่นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 1-2 ซม. ด้วยขนาดที่ใหญ่อาจจะไม่เหมาะสำหรับนำมาปูทั้งกรงเท่าไหร่แต่สามารถแต่งกรงได้ ซับน้ำและกลิ่นได้พอประมาณ บางล็อตตัวผักตบเองจะกลิ่นแปลกๆจากการอบ#วัสดุรองกรงที่ทำจากกระดาษเยื้อกระดาษรองกรงชนิดนี้จะลักษณะเป็นก้อนนุ่มๆ หรือเป็นเส้นเหมือนทิชชู่ฉีก ถ้าใส่เยอะแล้วอัดแน่นมักจะทำให้โพรงอยู่ตัวดี สามารถนำไปทำรังได้ รักษาความอบอุ่นได้ดี มีหลากหลายสี ฝุ่นอาจจะเยอะหรือน้อยแล้วแต่ยี่ห้อ ซึมซับน้ำได้เร็วมาก การเก็บกลิ่นค่อนข้างดีแต่ไม่เท่ารองกรงชนิดไม้ตัวอย่าง - Kaytee clean&cozy, Carefresh, Oxbow, Softper, Jonsanty, R&M,รองกรงฝ้ายเนื้อจะคล้ายๆทิชชู่เปียกแต่ฉีกง่ายกว่า มีความนุ่มกว่าเยื้อกระดาษ อุ่นกว่า ซับน้ำได้ดี สามารถนำไปทำรังหรือขุดโพรงได้ตัวอย่าง - Happycatลักษณะเป็นแผ่นหรือเม็ดชนิดนี้อาจจะหายากกว่าแบบเยื้อกระดาษเล็กน้อย การใช้งานคล้ายก้านปอ/ซังข้าวโพดคือไม่สามารถคงตัวโพรงได้ ซับน้ำและกลิ่นได้ดี ปริมาณฝุ่นมักจะน้อยกว่าแบบอื่นตัวอย่าง - Kaytee soft granule, Softper square, Softper pelletกระดาษม้วนเนื้อจะกึ่งๆระหว่างกระดาษทิชชู่และกระดาษA4นำมาม้วน มีความแข็งเล็กน้อย ฝุ่นน้อยมาก ซับน้ำได้ปานกลาง ไม่สามารถขุดเป็นโพรงได้ แนะนำให้ใช้ในการแต่งกรง ทำรัง หรือสำหรับหนูที่แพ้ฝุ่นง่ายมากๆตัวอย่าง - Rollpaper, Kamiyuka#วัสดุรองกรงที่อันตราย- รองกรงที่มีเส้นยาวเกินไปหรือมีลักษณะคล้ายสำลี: อาจพันแขนขาและอุดตันลำไส้ได้- รองกรงที่แต่งกลิ่น: แฮมสเตอร์มีระบบทางเดินหายใจที่บอบบางมาก อาจระคายเคืองหรือทำให้ปอดอักเสบได้- มีส่วนผสมของซิลิก้าเจล: เทสได้โดยการนำรองกรงไปแช่น้ำ จะฟูออกมาเป็นวุ้น อาจอุดตันลำไส้ได้หากทานเข้าไป- แต่งสีที่สามารถตกใส่ขนได้- ขี้เลื่อยที่ทำจากไม้สน ไม้ซีดาร์ และไม้ที่มีสารหอมระเหย (aromatic hydrocarbons): ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ ทำให้ค่าตับขึ้นได้- ทรายแมว ทรายเต้าหู้: มีฝุ่นมาก อาจอุดตันลำไส้ได้หากทานเข้าไป#รองกรงแบบไหนดีที่สุดรองกรงแต่ละชนิดมีข้อดีต่างกัน ควรเลือกตามลักษณะที่เราต้องการ กำลังทรัพย์ และอยู่ที่ว่าหนูของเราชอบแบบไหน แพ้ไม่แพ้แบบไหน เราไม่จำเป็นจะต้องใช้รองกรงเพียงแบบเดียว อาจจะแบ่งโซนตามการจัดกรงก็ได้ หรือสลับไปมาระหว่างชนิดจนกว่าจะเจอที่ชอบได้ รองกรงแทบทุกชนิดสามารถเก็บได้นานหลักปีหากเก็บห่างจากความชื้นและแมลง สามารถซื้อตุนและเวียนใช้ได้ส่วนตัวใช้อยู่แทบทุกชนิดเลย ปรับเปลี่ยนตามนิสัยและความเหมาะสมของหนูแต่ละตัวและแต่งตามตีมกรง ถ้าสงสัยตรงไหนสามารถให้คำแนะนำได้ค่ะ

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 5 ครั้ง


แฮมสเตอร์พันธุ์วินเทอร์ไวท์ กับแคมเบล ต่างกันอย่างไร แบบไหนน่าเลี้ยงกว่ากันนะ

แฮมสเตอร์พันธุ์วินเทอร์ไวท์ กับแคมเบล ต่างกันอย่างไร แบบไหนน่าเลี้ยงกว่ากันนะ

Winter white vs Campbell Hamsterแฮมสเตอร์พันธุ์วินเทอร์ไวท์ กับแคมเบล ต่างกันอย่างไรในแฮมสเตอร์ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ในไทย พันธุ์ที่คนส่วนใหญ่มักแยกไม่ออกคือสองพันธุ์นี้ เนื่องจากมีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายกันและสีที่ใกล้กันมาก เลยทำไกด์นี้ออกมาเพื่อให้มือใหม่แยกทั้งสองพันธุ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น และป้องกันการผสมข้ามพันธุ์โดยไม่ได้ตั้งใจข้อมูลทั่วไปวินเทอร์ไวท์ = Winter white dwarf hamster (WW) = Phodopus sungorusแคมเบล = Campbell’s dwarf hamster (CB) = Phodopus campbelliมีชื่อรวมๆคือ Djungarian hamster หรือ Russian dwarf hamsterหนูทั้งสองพันธุ์นี้อยู่ในสกุล (genus) เดียวกัน พื้นที่ถิ่นอาศัยในแถบเอเชียกลางเหมือนกันด้วยความที่ทั้งสองพันธุ์มีความใกล้เคียงกัน มีจำนวนโครโมโซมเท่ากัน จึงทำให้สามารถผสมข้ามพันธุ์ได้ แต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเนื่องจากทำให้สายพันธุ์เสีย และเพิ่มโอกาสเสี่ยงการเป็นโรคพันธุกรรมต่างๆ รวมทั้งขนาดตัวของวินเทอร์ไวท์และแคมเบลที่ไม่เท่ากันทำให้มีปัญหาในการคลอดได้โครงสร้างเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการแยก แต่ก็ต้องอาศัยการสังเกตดีๆ- ขนาดตัว: ในหนูที่สมส่วน แคมเบลมักจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่า โครงโดยรวมดูหนากว่า หากมองจากด้านข้างแขนของแคมเบลจะดูใหญ่- โครงหน้า: วินเทอร์ไวท์เมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นหน้าที่ดูเหลี่ยมกว่า แหลมและยาวกว่าเล็กน้อย ส่วนแคมเบลจะดูกลมมน ขนฟูรอบปากเด่น- หู: วินเทอร์ไวท์ทรงหูจะคล้ายสามเหลี่ยม ปลายแหลมเล็กน้อย ส่วนแคมเบลหูจะกลมมน แต่กางออกมาจากหัวมากกว่าสีวินเทอร์ไวท์พันธุ์แท้มีแค่ 3 สี ได้แก่ สีนอมอล สีเพิร์ล และสีบลูซัฟไฟร์ (normal, pearl, blue sapphire) ส่วนแคมเบลมีสีได้แทบทุกเฉด และลายเยอะกว่าในปัจจุบันหนูที่เลี้ยงส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ผสม ทำให้วินเทอร์ไวท์มีลักษณะสีที่มากขึ้นกว่าเดิม การแยกสายพันธุ์จึงดูจากลักษณะที่ไปทางวินเทอร์ไวท์มากกว่า หรือแคมเบลมากกว่า- ในสีนอมอล: วินเทอร์ไวท์จะเป็นสีน้ำตาลอมเทาเข้ม ท้องสีเทา แถบดำที่หลัง3เส้นและเส้นหนา แคมเบลจะเป็นสีน้ำตาลอมทอง ท้องสีครีมทอง ลายแถบหลังสีน้ำตาลดำเป็นเส้นบาง- ในสีกลุ่มอะกูติอื่นๆ: ในวินเทอร์ไวท์จะอมเทาหรือขาวเป็นเฉดเดียวกัน ในแคมเบลสีตรงขอบระหว่างโซนสีเข้มกับโซนสีอ่อนใต้ท้องจะมีสีส้มปนแล้วไล่ไปเป็นสีครีม สีขนที่ท้องแคมเบลมักจะสว่างกว่า สีอ่อนรอบปากชัดกว่า- ในสีล้วนอื่นๆ: หากเป็นสีดำล้วน(ไม่ใช่น้ำตาลเข้ม) ใต้คางสีขาว คือเป็นพันธุ์แคมเบลเท่านั้น ส่วนสีเหลืองล้วน (สีเยลโล่/โกลเด้น) จะมีในวินเทอร์ไวท์เท่านั้น- ในหนูที่มีลาย: วินเทอร์ไวท์มีลายเดียวคือลายจุด (pied) ส่วนแคมเบลมีลายจุด (mottled) ลายแพลตินั่ม (platinum) และซิลเวอร์ (silver)ลักษณะขนในปัจจุบันวินเทอร์ไวท์มีขนแค่แบบเดียวคือขนสั้น ส่วนแคมเบลมีขนซาติน (satin ขนมันวาว) และขนหยิก (rex) ในหนูขนสั้นแคมเบลจะขนยาวกว่าวินเทอร์ไวท์เล็กน้อย ข้อเท้าขนยาวออกมาเห็นได้ชัดกว่านิสัยส่วนมากวินเทอร์ไวท์จะมีนิสัยชิลๆ จับอุ้มเล่นง่าย แคมเบลมักจะมีนิสัยหวงถิ่นมากกว่า อาจวิ่งเข้าฉกหากเข้าไปในพื้นที่ของเขา ทั้งนี้ทั้งนั้น นิสัยของหนูก็ขึ้นกับหนูแต่ละตัวและการเลี้ยงดู อาจจะเจอแคมเบลที่เชื่องได้ หรือวินเทอร์ไวท์ที่ดุได้สุดท้ายการจะแยกสายพันธุ์จะต้องดูหลายๆองค์ประกอบรวมกัน การใช้แค่สีหรือลักษณะขนอย่างเดียวอาจจะแยกไม่ได้ในทุกกรณี และในเมืองไทย(และหลายๆประเทศ)ก็มีการผสมข้ามกับระหว่างวินเทอร์ไวท์และแคมเบลทำให้แยกยากขึ้นไปอีก ต้องอาศัยกระสบการณ์ในการแยกด้วย

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 11 ครั้ง


หนูไมค์คืออะไร? หนูไมค์เลี้ยงยังไง? ที่นี่มีคำตอบ

หนูไมค์คืออะไร? หนูไมค์เลี้ยงยังไง? ที่นี่มีคำตอบ

วิธีการเลี้ยงหนูไมค์หนูไมค์คืออะไรหนูไมค์/ไมซ์ หรือที่เรียกกันในต่างประเทศว่า fancy mice คือหนูในสปีชีส์ Mus musculus (หนูหริ่งบ้าน) ที่ถูกเพาะเลี้ยงและพัฒนาให้มีความเชื่อง มีลักษณะสีและขนที่หลากหลาย ในที่นี้ fancy ไม่ได้หมายถึงสีแปลกๆ แต่หมายถึงการเพาะเลี้ยงเพื่อให้ได้ลักษณะที่ต้องการสำหรับการประกวดในสมัยก่อนคนจะคุ้นตากับหนูสีขาวตาแดงเหมือนหนูในห้องทดลองและมักเป็นสัตว์เลี้ยงตัวแรกๆในวัยเด็ก ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรกที่เริ่มเพาะพันธุ์ fancy mice อย่างจริงจัง โดยเริ่มเพาะพันธุ์หนูที่มีสีต่างๆ มีตาสีดำ และลักษณะที่ต่างจากหนูเลี้ยง (pet mice) ทั่วไป ในปี1895 Walter Maxey ได้จัดตั้ง National Mouse Club (NMC) ซึ่งตั้งมาตรฐานฟอร์ม (conformation) และสีต่างๆ (variety) สำหรับการประกวด และออกแบบกรงประกวดที่เรียกว่า Maxey cage ที่ยังใช้จนทุกวันนี้ ต่อมา American Fancy Rat&Mouse association (AFRMA)ก็ถูกจัดตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี 1983ในปัจจุบัน การประกวดหนูไมค์ก็ยังมีอยู่ในประเทศต่างๆ รวมถึงเพาะเป็นสัตว์เลี้ยง ในประเทศไทยหนูไมค์มักถูกเพาะพันธุ์ไว้เป็นอาหารสัตว์อื่นเช่นงู สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ และนกนักล่า มีส่วนน้อยที่เพาะไว้เป็นสัตว์เลี้ยงลักษณะนิสัยหนูไมค์เป็นสัตว์สังคม ในธรรมชาติจะอยู่เป็นฝูงโดยมีตัวผู้ 1 ตัวและตัวเมียหลายๆตัว แต่ละตัวจะช่วยกันหาอาหาร ทำรัง และช่วยกันเลี้ยงลูก ในที่เลี้ยงจะแนะนำให้เลี้ยงตัวเมียมากกว่า 2 ตัวขึ้นไป ส่วนตัวผู้จะมีความหวงถิ่นมากกว่า ควรเลี้ยงไว้ด้วยกันตั้งแต่เด็กโดยไม่แยกเลย เลี้ยงเดี่ยว หรือทำหมันก่อนแล้วเลี้ยงรวมกับหนูตัวอื่นลักษณะนิสัยคือจะตื่นทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน แต่จะแอคทีฟสุดในช่วงเย็น เขาจะมีความไว ตื่นตัวและอยากรู้อยากเห็นมากกว่าหนูชนิดอื่น อาจต้องใช้ความอดทนเพื่อฝึกให้เขาเชื่อง สามารถฝึกคำสั่งง่ายๆเช่นหมุนได้อาหารหนูไมค์เป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ (omnivore) อาหารหลักคือธัญพืชต่างๆ ผัก แมลง และเนื้อสัตว์ อาหารที่แนะนำจะเป็นอาหารที่ทำมาให้หนูไมค์และแรทโดยเฉพาะ หรือถ้าหาไม่ได้สามารถใช้อาหารแฮมสเตอร์แทนได้โดยเลือกชนิดที่ไขมันและโปรตีนไม่สูงมาก สามารถใช้อาหารแบบเม็ด (lab block) อย่างเดียว หรือผสมธัญพืชเพื่อความหลากหลายได้อาหารยี่ห้อที่แนะนำได้แก่- Oxbow rat ถุงแดง- Mazuri rat & mouse- Versele laga rat & mouse- Versele laga crispy muesli- Origins- PUUR rat- PUUR dwarf hamster & friends- Country hamster & friendsอาหารแฮมสเตอร์ที่สามารถให้ได้- H2 dwarf hamster- Bunny Hamster dream- Eco forest dwarf hamster diet- Funny Bunny naturalism- Suiko Dr.lab- Hamster Nature- Smart heart hamster completeการให้อาหารสามารถใส่ในถ้วย หรือโปรยไว้ในกรงได้ โดยหนูไมค์1ตัวจะทานอาหารประมาณ 1-2ช้อนชาต่อวันกรงเลี้ยงกรงของหนูไมค์จะไม่ซีเรียสเรื่องขนาดเท่ากับแฮมสเตอร์ โดยขนาดที่เหมาะสมสำหรับหนูไมค์ 3 ตัวคือประมาณ 50x30 ซม. ขึ้นไป ที่หาซื้อได้ง่ายคือกระบะเพาะใหญ่ หรือกรง60ซมของแฮมสเตอร์ ใน1กรงเลี้ยงได้มากสุดประมาณ10-15ตัว แล้วแต่นิสัยหนูแต่ละสายและขนาดกรง ในกรณีที่เลี้ยงตัวผู้ตัวเดียวอาจใช้กรง47ซม.ของแฮมสเตอร์ได้ลักษณะกรงสามารถเป็นกรงเหล็กแบบซี่ ตู้อะคริลิค ลังพลาสติก หรือ ตู้กระจกก็ได้ โดยกรงเหล็กจะได้เปรียบเรื่องการระบายอากาศและสามารถใส่ชั้นลอย ห้อยของเล่นได้มากกว่า แต่จะต้องเลือกที่ซี่ห่างไม่เกิน 0.5 ซม. และต้องระวังลูกหนูลอดออกมาได้การจัดกรงควรเน้นให้รก มีที่หลบซ่อนหลายๆที่ มีของเล่นปริมาณมากไว้ให้ปีนและลับฟัน เช่น บ้านไม้และพลาสติก แกนทิชชู่ ขอนไม้ ท่อไม้ ชั้นลอยต่างๆ สามารถห้อยเชือกหรือเปลจากฝากรงเพื่อให้ปีนได้ หนูไมค์จะชอบแทะเป็นพิเศษ ดังนั้นของเล่นไม้ที่เคลือบสีจะต้องเป็นชนิดที่ไม่เป็นพิษจักรวิ่งสามารถใส่ในกรงเพื่อให้เขาออกกำลังกายได้ โดยขนาดควรใหญ่ประมาณ 20 ซม.หรือมากกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้หางเขามาพาดบนหลัง (wheel tail)และผิดรูปในระยะยาวได้วัสดุรองกรงและทำรังหนูไมค์จะปัสสาวะปริมาณมากและกลิ่นแรงกว่าหนูอื่นเช่นแฮมสเตอร์ ดังนั้นรองกรงจะต้องเป็นชนิดที่ดูดซับกลิ่นและน้ำได้ดี ไม่แนะนำให้ปูรองกรงที่เป็นกระดาษทั้งกรงเพราะมักจะควบคุมปริมาณแอมโมเนียในฉี่ได้ไม่ดี รองกรงปูหนาประมาณ1นิ้วขึ้นไป อาจทำโซนที่ปูสูงไว้สำหรับขุดได้ ควรเปลี่ยนทุก1สัปดาห์เพื่อความสะอาด หากกรงมีขนาดใหญ่หรือปูวัสดุรองกรงเยอะอาจทำการทำความสะอาดเฉพาะจุด (spot clean) ได้รองกรงที่สามารถใช้ได้ได้แก่- ขี้เลื่อยคุณภาพดี เช่น Allspan, Niteangel aspen, Millamore- รองกรงลินิน- ขี้เลื่อยอัดเม็ด- ซังข้าวโพด- ก้านปอไม่ควรใส่ทรายในกรง เพราะหนูไมค์มีความไวต่อฝุ่นสูงมากและไม่อาบทรายวัสดุทำรังควรเป็นขนิดที่เส้นไม่ยาวมาก สามารถย่อยได้หากทานเข้าไป เช่น- ทิชชู่ฉีก- รองกรงที่ทำจากกระดาษ เช่น Kaytee, oxbow- หญ้าแห้งการเจริญเติบโตโดยปกติหนูไมค์จะตั้งท้องนานประมาณ 19-21 วัน ครอกนึงจะมีได้ตั้งแต่ 4-16 ตัว ลูกหนูจะเริ่มลืมตาที่ 14 วัน และหย่านมที่21 วัน โตเต็มที่และพร้อมผสมเมื่ออายุ3เดือน ในที่เลี้ยงจะมีอายุขัยประมาณ 1-3 ปี แล้วแต่สายและสุขภาพน้ำหนักตัวของหนูที่โตเต็มที่คือประมาณ 30-45 กรัม แต่อาจมากกว่านี้ได้ในหนูบางสายที่ตัวโตกว่าปกติ เช่น หนูประกวดสุขภาพหลังจากได้รับหนูมาเลี้ยง สามารถนำไปตรวจสุขภาพและถ่ายพยาธิ หยดยากันเห็บหมัดได้ ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนโรคต่างๆที่สามารถพบได้บ่อย เช่น- ติดเชื้อทางเดินหายใจ- ปรสิต เห็บ หมัด ไร- ท้องเสีย- อุบัติเหตุต่างๆ- ฝี- เนื้องอก/มะเร็ง- มดลูกอักเสบหากพบอาการผิดปกติ เช่น ซึมลง ขนไม่สวย ตาปรือหรือปิด ทานอาหารลดลง เสียงหายใจผิดปกติ มีบาดแผล ขนร่วง ควรพาไปพบสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์พิเศษ หรือ exotic pet ทันที#หนูไมค์ #fancymice #teagardenhamsters

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 21 ครั้ง


ใกล้หน้าร้อนแล้ว ระวังภัยจากหน้าร้อน ความเครียดจากความร้อน (Heat stress) vs ฮีทสโตรก (Heat stroke) ในแฮมสเตอร์

ใกล้หน้าร้อนแล้ว ระวังภัยจากหน้าร้อน ความเครียดจากความร้อน (Heat stress) vs ฮีทสโตรก (Heat stroke) ในแฮมสเตอร์

ภัยจากอากาศร้อนแฮมสเตอร์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากเขตกึ่งทะเลทรายที่แห้งและเย็น อาศัยในโพรงและจะออกมาแค่ช่วงกลางคืนที่อากาศเย็นกว่าตอนกลางวันมาก ดังนั้นแฮมสเตอร์จึงปรับตัวเข้ากับอากาศเย็นได้ดีกว่าอากาศร้อนถึงแม้ว่าเราจะเลี้ยงแฮมสเตอร์ในไทยมาหลายสิบรุ่นแล้วก็ตาม อีกทั้งแฮมสเตอร์นั้นไม่มีเหงื่อและใช้การเลียตัวให้เปียกหรือปล่อยน้ำลายไหลเพื่อคลายร้อน ทำให้สูญเสียน้ำได้เยอะในช่วงที่อุณหภูมิสูงเกินไปในต่างประเทศจะแนะนำให้เลี้ยงแฮมสเตอร์ในอุณหภูมิระหว่าง 10-25 องศา ในเมืองไทยนั้นอาจทำได้ยาก สามารถเลี้ยงในอุณหภูมิห้อง หรือเปิดแอร์ก็ได้ ควรคุมอุณหภูมิไม่ให้เกินประมาณ 30-35 องศาความเครียดจากความร้อน (Heat stress) vs ฮีทสโตรก (Heat stroke)เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับฮีทสโตรกมาบ้างแล้ว และเข้าใจว่าอาการที่มาจากความร้อนทั้งหมดคืออาการของฮีทสโตรก แต่ที่จริงแล้วหนูจะแสดงอาการเครียดจากความร้อนก่อน แล้วหากปล่อยทิ้งไว้อาจมีฮีทสโตรกตามมาได้ ดังนั้นเจ้าของจึงควรสังเกตอาการเหล่านี้และรีบแก้ไขก่อนอาการจะเป็นหนักขึ้น#อาการของ heat stress- หายใจแรงหรือหอบ- วิ่งเล่นน้อยลง- ทานอาหารลดลง ดื่มน้ำมากขึ้น- น้ำลายไหลมากใต้คาง- ดูขนเปียกจากการเลียขนหรือนอนในที่ที่ชื้นส่วนฮีทสโตรก คือโรคที่เกิดจากอุณหภูมิร่างกายที่สูงเกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถสู้ได้ จนมีผลต่อระบบประสาทและอวัยวะต่างๆ อันตรายถึงชีวิตได้ โดยแหล่งของความร้อนอาจจะมาจากอากาศภายนอก หรือจากภายใน เช่นการออกแรงที่มากเกินไปก็ได้ หากแฮมสเตอร์เป็นฮีทสโตรกแล้วมีโอกาสที่อวัยวะจะถูกทำลายไปมากจนไม่สามารถรักษาให้กลับมาปกติได้#อาการของ heat stroke- ซึม ไม่รู้สึกตัว- ชัก- หายใจแรงมาก หรือหยุดหายใจ#การป้องกันวิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือการคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ช่วงที่เหมาะสมและไม่เปลี่ยนแปลงเร็วจนเกินไป หากหนูชินกับการอยู่ในห้องแอร์ หากเจออุณหภูมิที่ร้อนมากๆในช่วงกลางวันอาจปรับตัวไม่ทันและเป็นฮีทสโตรกได้ง่ายกว่า- หลีกเลี่ยงการวางกรงไว้ในตำแหน่งที่ร้อน หรือแดดส่องโดยตรง เช่น ระเบียงบ้าน ริมหน้าต่าง หรือใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ร้อน หากจำเป็นควรปิดม่านหรือหาอะไรกันจากความร้อนโดยตรง หรือย้ายที่วางกรงไปในที่ที่เย็น- ห้ามทิ้งแฮมสเตอร์ไว้ในรถเด็ดขาด- เลือกกรงที่มีช่องระบายอากาศเพียงพอและวางกรงในที่ที่อากาศถ่ายเทดี เพื่อหมุนเวียนอากาศที่ร้อนออกไม่ให้อบ สามารถเปิดพัดสมส่ายแถวๆกรงได้แต่ไม่ควรจ่อโดยตรง การเลี้ยงในกรงที่เป็นซี่เหล็ก การระบายอากาศจะดีกว่าในตู้กระจกหรืออะคริลิค แต่หากอากาศร้อนมากๆหนูก็ยังสามารถเป็นฮีทสโตรกได้อยู่ดี- ใส่อุปกรณ์เสริมที่สามาถลดอุณหภูมิได้ เช่น แผ่นกระเบื้อง บ้านดินเผาแบบใส่น้ำข้างบน (ควรใส่น้ำธรรมดา ไม่ใช่น้ำแข็ง) หินแม่น้ำ ถ้วยเซรามิค ถ้วยใส่ทราย- นำเจลเย็นหรือขวดน้ำไปแช่แข็ง ห่อผ้า แล้ววางไว้ข้างกรงหรือเหนือกรง ไม่ควรใส่ในกรงโดยตรง- การปูรองกรงหนา ไม่ได้ทำให้กรงร้อนมากขึ้น แต่ควรมีโซนที่ให้หนูเลือกไปอยู่ได้ในช่วงที่อากาศร้อน- เช็คขวดน้ำอย่างสม่ำเสมอว่ายังทำงานได้ดี มีน้ำเพียงพอ อาจให้ผักผลไม้เสริมได้เพื่อให้เขาทานน้ำอย่างเพียงพอ- คุมน้ำหนักหนูให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เนื่องจากหนูที่น้ำหนักตัวมากจะคลายความร้อนได้ไม่ดีเท่าหนูที่สมส่วน ทำให้มีโอกาสเป็นฮีทสโตรกมากกว่า- ดีที่สุด คือการเปิดแอร์ช่วงกลางวันในวันที่อากาศร้อนมากๆ อุณหภูมิประมาณ 25 องศา เราเสียค่าไฟเพิ่มได้ แต่ถ้าชีวิตเด็กๆเสียไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้#การปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากพบแฮมสเตอร์มีอาการของฮีทสโตรก ควรรีบลดอุณหภูมิร่างกายและนำไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด- ย้ายแฮมสเตอร์ไปอยู่ในที่ที่อุณหภูมิไม่ร้อน ไม่ควรเข้าในห้องที่เย็นจัดทันทีเนื่องจากอุณหภูมิร่างกายอาจต่ำลงเร็วเกินไป- ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆที่อุณหภูมิห้องเช็ดตามตัวย้อนขน โดยเฉพาะบริเวณขาและหู- ป้อนน้ำ เนื่องจากแฮมสเตอร์มักขาดน้ำร่วมด้วยReference / อ่านเพิ่มเติม- https://www.britishhamsterassociation.org.uk/publications...- https://www.vet.cornell.edu/.../heatstroke-medical-emergency- https://www.dvm360.com/.../heat-stroke-diagnosis-and...- https://how-to-care-for-hamsters.tumblr.com/.../how-to...- http://diebrain.de/zw-hitze.html

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง


แฮมสเตอร์กัดกรง ทำไงดี แก้ยังไง ที่นี่มีคำตอบ  By Tea Garden Hamsters

แฮมสเตอร์กัดกรง ทำไงดี แก้ยังไง ที่นี่มีคำตอบ By Tea Garden Hamsters

แฮมสเตอร์กัดกรง ทำไงดี- ทำไมแฮมสเตอร์ถึงกัดกรง- กรงยิ่งใหญ่ยิ่งดี จริงหรือไม่- ความสำคัญของการจัดกรงให้เหมาะสมทำไมแฮมสเตอร์ถึงกัดกรงการกัดกรงนั้นเจอได้บ่อยมากๆ เรียกได้ว่าแทบทุกคนที่เลี้ยงแฮมสเตอร์จะต้องเคยเห็นหนูมาแทะกับซี่กรง บางครั้งเอาจริงเอาจังมากจนเหมือนจะพังกรงออกมาเลย ในสมัยก่อนจะเชื่อว่าการกัดกรงคือการลับฟันและเป็นเรื่องปกติของแฮมสเตอร์ แต่แท้ที่จริงแล้วพฤติกรรมการกัดกรงนั้นเกิดจากความเครียดและเบื่อ และไม่ควรมองเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อฟันหนูเนื่องจากฟันอาจบิ่นหรือหักได้ และการแทะซ้ำๆอาจทำให้ฟันสบผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาฟันยาวในอนาคตพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความเครียดที่สามารถเจอได้- การทำอะไรอย่างเดิมซ้ำๆที่ไม่เกิดประโยชน์ (stereotypies) เช่น กัดกรง- เดินซ้ำๆ หรือวนไปมา- การแต่งขนมากกว่าปกติ บางครั้งอาจพบจุดที่ขนแหว่งได้ดังนั้นการจะแก้ปัญหากัดกรงได้จะต้องจัดสภาพแวดล้อมให้หนูไม่เครียด การเปลี่ยนเป็นกรงที่แทะไม่ได้อย่างเดียว หรือการทำให้กรงไม่น่าแทะ (เช่นเอาอะไรไปทา เอาผ้าคลุมกรง หรือลงโทษเวลากัดกรง) โดยไม่ปรับเรื่องขนาดและการจัดกรงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะเขาก็จะยังรู้สึกเครียดอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้ องค์ประกอบของที่อยู่ที่เหมาะสมสำหรับแฮมสเตอร์- ขนาดและลักษณะกรงที่เหมาะสมขนาดจะต้องใหญ่พอที่จะใส่อุปกรณ์จำเป็นที่ขนาดพอเหมาะได้ทั้งหมด มีที่พอสำหรับการใส่ของเล่น และมีที่เหลือให้วิ่งได้ ขนาดขั้นต่ำที่แนะนำจะอยู่ที่ 75x45 ซม. แต่หนูจะละตัวนั้นต้องการพื้นที่ไม่เท่ากัน หลายๆตัวต้องการขนาดใหญ่ว่าขั้นต่ำที่กล่าวไว้การเลือกกรงสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ในโพสนี้- ใส่รองกรงหนาในธรรมชาติแฮมสเตอร์จะขุดโพรงเพื่อทำรัง และพฤติกรรมนี้ก็ยังพบในแฮมสเตอร์เลี้ยงในงานวิจัยของ Hauzenberger และคณะพบว่าในแฮมสเตอร์กลุ่มที่ใส่วัสดุรองกรงหนา 80 ซม.นั้นไม่แสดงความเครียดเลย ส่วนกลุ่มที่รองกรง 40 ซม.นั้นเครียดน้อยกว่ากลุ่มที่รองกรง 10 ซม. ดังนั้นจึงแนะนำให้รองกรงหนาที่สุดเท่าที่จะหนาได้ ดีที่สุดคือปูหนาทั้งกรง โดยเป็นรองกรงควรเป็นแบบที่ขุดโพรงแล้วอยู่ตัวhttps://www.sciencedirect.com/.../abs/pii/S016815910500393X- มีที่ซ่อนเพียงพอในกรงนั้นควรใส่บ้านมากกว่า 1 หลัง ขนาดและลักษณะต่างกันเพื่อให้เขามีตัวเลือก ลักษณะบ้านที่แนะนำจะเป็นบ้าน multi chamber house คือบ้านที่แบ่งเป็นหลายห้องและไม่มีพื้นเพื่อให้เขาขุดโพรงต่อได้ หากแฮมสเตอร์รู้สึกปลอดภัยเพราะมีที่ให้ซ่อนก็จะเครียดลดลง และกัดกรงน้อยลง- มี Enrichment มากพอ“Enrichment” หรือสิ่งต่างๆที่ทำให้สภาพแวดล้อมเขามีอะไรทำนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก อย่าลืมว่าแฮมสเตอร์นั้นอยู่ในกรงแทบจะ 24 ชม. ต่อวัน ดังนั้นในกรงจะต้องมีอะไรให้เขาทำมากพอและไม่เบื่อ enrichment นั้นรวมไปถึงของเล่นต่างๆ เช่นท่อมุด ของสำหรับปีนป่าย วัสดุทำรัง เช่น ทิชชู่ หญ้าแห้ง วัสดุรองกรงหลายๆชนิด และธัญพืชแบบที่ติดกับก้าน (seed sprays) ทั้งหมดนี้ควรมีตัวเลือกหลายๆอย่าง และหมุนเวียนชนิดทุกครั้งที่จัดกรงใหม่ แนะนำให้สลับของต่างๆทุก 1-2 สัปดาห์ วิธีการให้อาหารก็มีส่วนที่ทำให้กรงน่าเบื่อน้อยลงได้ ซึ่งการให้อาหารโดยการโปรยหรือนำไปซ่อนในที่ต่างๆทำให้หนูต้องใช้เวลาหาอาหารและมีกิจกรรมทำมากขึ้นที่อยู่แฮมสเตอร์ที่ดีคือกรงที่ใหญ่ ใส่รองกรงหนา และไม่โล่ง สิ่งที่อาจพบได้หลังปรับการจัดกรงในช่วงแรกหนูอาจจะดูตื่นที่ วิ่งไปมาได้เนื่องจากยังไม่คุ้น ต้องให้เวลาเขาปรับตัวซัก 1-2 วัน หลังจากนั้นการกัดกรง วิ่งวน หรือ ไต่กรง/โหนกรง จะค่อยๆลดลง เวลาแฮมสเตอร์เขาแฮปปี้กับที่อยู่เขาจะเน้นการขุดโพรงเป็นส่วนใหญ่ จะออกมาเฉพาะเพื่อวิ่งและหาอาหาร

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง


 วิธีการเลือกอาหารแฮมสเตอร์ เลือกอาหารอย่างไรให้แฮมสเตอร์ที่เรารักแข็งแรง!!! By Tea Garden Hamsters

วิธีการเลือกอาหารแฮมสเตอร์ เลือกอาหารอย่างไรให้แฮมสเตอร์ที่เรารักแข็งแรง!!! By Tea Garden Hamsters

ตารางสรุปอาหารยี่ห้อต่างๆในประเทศไทยhttps://docs.google.com/spreadsheets/d/1-DVVJn2pOLERs7GoZlUb7CVEO4HyIHAEtIXJlKcvrcI/edit?usp=sharingการเลือกอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อสุขภาพที่ดีของหนูในระยะยาว ในธรรมชาติหนูแฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ โดยเฉพาะธัญพืชหลากชนิด แมลง และพืชชนิดต่างๆด้วยการเดินหา (forage) เป็นระยะทางไกลหลายกิโลเมตรต่อคืนและนำกลับมาเก็บไว้ในรังเพื่อเก็บไว้กิน#หลักในการเลือกอาหารแฮมสเตอร์เมื่อเรานำแฮมสเตอร์มาเลี้ยง ก็มีการพัฒนาอาหารนี่ห้อต่างๆเพื่อเลียนแบบการหากินในธรรมชาติหลายๆยี่ห้อจะโฆษณาว่าสารอาหารครบถ้วน คุณภาพดี Best Seller สำหรับหนูทุกวัย all natural ฯลฯ อะไรก็ว่าไป แต่มันอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพลิกหลังซองมาอ่านแฮมสเตอร์ต้องการอาหารที่มีค่าโภชนาการ (guaranteed analysis)- โปรตีน 17-22%- ไขมัน 4-7%- ไฟเบอร์ 8-15%อาหารที่เรานำมาให้ควรมีความหลากหลายในส่วนประกอบ ทำจากธัญพืช และมีส่วนประกอบของโปรตีนจากสัตว์ เช่น แมลง เนื้อสัตว์ หรือไข่ แต่ไม่ควรมีหญ้าแห้งอยู่ในปริมาณมากเนื่องจากแฮมสเตอร์ไม่สามารถย่อยหญ้าและดึงสารอาหารออกมาได้ดีเท่าเมล็ดพืชควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ส่วนผสมไม่ชัดเจน เช่น เขียนแค่ extruded pellets (อาหารขึ้นรูป) หรือมีส่วนผสมที่ไม่มีคุณภาพ เช่น by products (ผลพลอยได้จากเนื้อสัตว์)อาหารแฮมสเตอร์จะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้2ชนิด ได้แก่- อาหารที่ทำจากเมล็ดพืช/ธัญพืชผสม (seed mix)ทำจากเมล็ดพืชและธัชพืชหลากชนิด โดยส่วนผสมในอาหารยี่ห้อจะเรียงจากมากไปน้อย เช่น อาหารยี่ห้อAทำมาจาก ข้าวสาลี ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ต แปลว่าอาหารมีปริมาณของข้าวสาลีมากที่สุด ในอาหารแบบนี้มักมีอาหารเม็ดขึ้นรูปผสมมาด้วยเพื่อเพิ่มโปรตีนและวิตามินที่อาจมีไม่ครบในเมล็ดพืชเดี่ยวๆอาหารชนิดนี้มีข้อดีเรื่องความหลากหลาย แต่แฮมสเตอร์ก็สามารถเลือกกินแต่ชนิดที่ชอบได้ ปัญหาของseed mixโดยทั่วไปคือมีปริมาณโปรตีนที่ต่ำมาก (บางยี่ห้อแค่10%) ทำให้การให้ชนิดนี้อย่างเดียวไม่เพียงพอ- อาหารเม็ดสำเร็จรูป (lab block)เป็นอาหารที่ออกแบบมาเพื่อให้หนูได้รับสารอาหารครบจบในเม็ดเดียว ตัดปัญหาการเลือกกิน ข้อดีคือมักมีปริมาณโปรตีนที่สูงมาก นำมาให้คู่กับseed mixเพื่อปิดข้อด้อยตรงนี้ได้ สามารถนำมาแช่น้ำป้อนหนูป่วย/แก่ได้ แต่ตวามหลากหลายต่ำ#ทำไมต้องผสมอาหารการผสมอาหาร ไม่ใช่แค่จับยี่ห้ออะไรก็ได้3อันเทรวมกันอย่างที่หลายคนเข้าใจสิ่งที่เราอยากได้คืออาหารที่ 1. มีคุณภาพ 2. ค่าโภชนาการถูกต้อง 3. มีความหลากหลายสูงถ้าอาหารยี่ห้อสามารถให้เดี่ยวได้หากปัจจัยเหล่านี้มีครบ แต่ส่วนมากจะไม่ ดังนั้นเราเลยควรนำอาหารมาผสมกันเพื่อนำข้อดีของอาหารยี่ห้อนึงมาปิดข้อด้อยของอีกยี่ห้อการผสมอาหารควรจะมีการคำนวน อ่านเพิ่มเติมได้ในโพสนี้ของเพจ Hamsday ค่ะ https://www.facebook.com/298352837722906/posts/543524773205710/ยกตัวอย่างอาหาร A ที่เป็นธัญพืชผสมที่ไม่ได้หลากหลายมาก โปรตีนพอประมาณ อาจจะเอามาผสมกับธัญพืชยี่ห้อ B ที่มีความหลากหลายสูง และlab blockยี่ห้อ C เพื่อเพิ่มโปรตีนสำหรับสารอาหารของยี่ห้อต่างๆ อ่านจากสรุปได้ในลิ้งค์นี้ค่ะhttps://docs.google.com/.../1-DVVJn2pOLERs7GoZlUb7CV.../editจะสังเกตได้ว่าอาหารบางชนิดมีผู้ผลิตเดียวกัน แต่แตกแบรนด์ออกมาหลากหลาย อาหารเหล่านี้มักมีส่วนผสมคล้ายกัน ดังนั้นการนำอาหารจากผู้ผลิตเดียวกันมาผสมมักจะไม่ได้ช่วยเรื่องความหลากหลายเท่าไหร่ถ้านึกไม่ออกว่าจะผสมแบบไหน ก็ผสมตามสูตรในโพสนี้ได้เลยค่ะhttps://www.facebook.com/100970941288027/posts/440888033962981/#อาหารผสมตามเพจต่างๆการให้อาหารผสมหลายๆยี่ห้อที่ตามเพจต่างๆผสมไว้เสร็จแล้วเป็นทางเลือกหนึ่งที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในปัจจุบันโดยเฉพาะในคนที่เลี้ยงหนูเพียงไม่กี่ตัว เนื่องจากมีความหลากหลายในยี่ห้ออาหารโดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องซื้อแบบถุงเต็มมาหลายถุงที่อาจหมดอายุก่อนหนูกินหมด อีกทั้งยังผสมผักผลไม้อบแห้งและธัญพืชอื่นๆที่อาจจะไม่เจอในอาหารมียี่ห้อทั่วไปแต่ทีนี้ อาหารผสมตามเพจไม่ใช่ว่าจะดีทุกเจ้า เนื่องจากสูตรและสัดส่วนจะต่างกัน และที่สำคัญคืออาหารจะไม่มีค่าโภชนาการ (guaranteed analysis) มาเหมือนกับอาหารยี่ห้อ หลักที่ควรจะต้องดูได้แก่#ยี่ห้ออาหารที่ใช้ผสม เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพอาหารและสารอาหาร ถ้ายี่ห้ออาหารที่เอามาผสมไม่ได้คุณภาพ ก็ไม่มีทางที่อาหารผสมนั้นจะออกมาดีได้เลย#ปริมาณอาหารเม็ดสำเร็จรูป (lab block) และอาหารยี่ห้อเมื่อเทียบกับธัญพืชที่ผสมเพิ่ม ในอาหารผสมที่มีแต่ธัญพืชอย่างเดียวมักจะมีปริมาณโปรตีนที่ต่ำเกินไปและอาจมีวิตามินบางชนิดไม่ครบถ้วน ในอาหารยี่ห้อจะแก้ตรงจุดนี้ด้วยการเติมอาหารอัดเม็ดเข้าไปเพื่อปรับสัดส่วนตรงนี้#ปริมาณผักผลไม้อบแห้ง ส่วนนี้มีบ้างก็ดีเพื่อความหลากหลาย แต่ไม่ควรเกิน 10-20%ของปริมาณอาหารทั้งหมด บางเจ้าจะใส่ผักผลไม้เยอะๆเพื่อให้หน้าตาน่าทาน แต่ก็จะทำให้สารอาหารผิดเพี้ยนได้ (โปรตีนและไขมันต่ำลง ไฟเบอร์สูงขึ้น)#ปริมาณส่วนผสมโปรตีนสูง เช่น หนอนนก แมลงอบแห้ง ปลาแห้ง กุ้งแห้ง เต้าหู้อบ ไข่ผงควรจะมีในอาหารเพราะแฮมสเตอร์ต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้ปริมาณไขมันมากเกิน ส่งผลให้หนูอ้วนเกินได้#ปริมาณถั่ว เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และเมล็ดดอกคำฝอย มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นที่ชื่นชอบของหนูแฮมสเตอร์ แต่ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้ไขมันมากเกิน และการเก็บรักษาที่ไม่ดีจะทำให้มีเชื้อราที่สร้างสารก่อมะเร็ง(aflatoxin)ได้#ไม่ควรมีส่วนผสมของขนม เช่น ขนมเนื้ออบ ทาโร่ ขนมไข่ป๊อบ ผลไม้อบแห้งที่เคลือบน้ำตาล ฯลฯ เพราะมักถูกใส่เพื่อเพิ่มสีสันและความน่ากิน แต่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในอาหารเลย พอผสมมาแล้วทำให้เราคุมปริมาณขนมไม่ได้ ทำให้หนูได้รับน้ำตาลและไขมันมากเกินความจำเป็น และอาจติดขนมจนไม่ทานอาหารหลักได้#วิธีการให้อาหาร- ปริมาณ 5-7 กรัมในหนูพันธุ์ไจแอนท์ 3-5 กรัมในหนูพันธุ์แคระ ไม่ควรให้เยอะไปเพื่อป้องกันโรคอ้วนและการเลือกกิน- สามารถให้ในถ้วยเพื่อสังเกตปริมาณ หรือโปรยในกรงเพื่อกระตุ้นการforagingก็ได้- รอให้หนูกินอาหารจนหมดเสมอก่อนให้เพิ่ม ป้องกันการเลือกกินแค่สิ่งที่ชอบ

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 3 ครั้ง


หนูแฮมสเตอร์กินอะไรได้บ้างกันนะ???

หนูแฮมสเตอร์กินอะไรได้บ้างกันนะ???

ขนมและอาหารเสริมสำหรับหนูแฮมสเตอร์ขนมและอาหารเสริมหมายถึงอะไรสิ่งเหล่านี้ คืออาหารที่ให้นอกเหนือจากอาหารหลักเพื่อเป็นรางวัล เสริมความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของและแฮมสเตอร์ เพิ่มความหลากหลาย หรือเสริมสารอาหารในส่วนที่อาจจะน้อยไปในอาหารหลัก ดังนั้นปริมาณที่ให้ก็ไม่ควรมากเกินประมาณ 10% ของปริมาณอาหารหลักที่ทานแฮมสเตอร์ส่วนมากนั้นไม่จำเป็นต้องได้อาหารเสริม เนื่องจากสารอาหารทั้งหมดที่จำเป็นควรได้จากอาหารหลักหากอาหารหลักมีสารอาหารส่วนใดที่ขาดหายไปมาก ควรเปลี่ยนอาหารหลักมากกว่าพยายามหาอย่างอื่นมาเสริม ในส่วนของแฮมสเตอร์ที่จำเป็นจะต้องได้อาหารเสริมในสัดส่วนที่มาก เช่นหนูที่ป่วยหรืออายุมากที่อาจทานอาหารหลักได้ไม่เพียงพอ ควรเลือกเป็นอาหารเหลวชนิดที่มีสารอาหารกำกับชัดเจน และค่าสารอาหารเหมาะสมชนิดชนิดของขนมและอาหารเสริมนั้นแบ่งได้หลากหลายอย่างมาก แต่ละชนิดปริมาณและความถี่ที่ควรให้นั้นไม่เท่ากัน ขึ้นกับสารอาหารและปริมาณน้ำตาล/ไขมันในนั้น โดยรวมแล้วไม่ใช่ว่าให้ขนมพวกนี้ทุกชนิดตลอด แต่ควรสลับกันให้ หรือจะไม่ให้เลยก็ได้- ธัญพืชไม่ว่าจะเป็นธัญพืชชนิดเดี่ยว หรือมียี่ห้อที่ผสมมาแล้ว เช่น PUUR snack, Versele laga snack nature พวกนี้สามารถให้ได้ทุกวันไม่ว่าจะผสมลงไปในอาหาร หรือโปรยในกรงให้เขาหา (foraging) เนื่องจากส่วนประกอบจะคล้ายกับที่อยู่ในอาหารผสมอยู่แล้ว ปริมาณการให้คือประมาณ 1/2-1 ช้อนชา/วัน- ผักแห้งในอาหารหลักมักจะมีอยู่แล้วในปริมาณน้อย แต่สามารถให้เสริมได้ เนื่องจากเป็นลักษณะแห้งจะสามารถให้ได้ในปริมาณมากกว่าผักสด สามารถให้ได้ประมาณ 1 ช้อนชาทุกวันลิสผักผลไม้ที่ปลอยภัย จะมาเขียนในโอกาสหน้าค่ะ- สมุนไพร/ดอกไม้อบแห้งเช่น Bunny nature mid mix, Burgess excel สมุนไพรนี้สามารถโปรยในกรง หรือผสมกับธัญพืชอื่นๆได้ ปกติแฮมสเตอร์จะไม่ค่อยทานพวกนี้ในปริมาณมากอยู่แล้ว แต่จะเป็นเล็มๆแทะๆซะมากกว่า สามารถใส่ไว้ในกรงครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะเลย เวลาหมดหรือเปลี่ยนรองกรงค่อยเติม- ถั่วเช่นอัลมอนด์ ถั่วลิสง วอลนัท มีไขมันและโปรตีนสูง สามารถให้ผสมไปในอาหารหรือให้เดี่ยวๆได้ ปริมาณที่ให้คือประมาณ 1 ชิ้นสัปดาห์ละครั้ง- แมลงเช่น หนอนนก หนอนยักษ์ ตั๊กแตน มีสัดส่วนโปรตีนที่สูง และเป็นแหล่งอาหารที่แฮมสเตอร์ในธรรมชาติจะทานอยู่แล้ว แต่ก็มีไขมันสูง สามารถให้เสริมได้ในกรณีที่หนูตัวนั้นต้องการโปรตีนและพลังงานมากกว่าปกติ เช่น น้ำหนักน้อย เลี้ยงลูก สามารถให้ได้ 1-2 ตัว ทุก 2-3 วัน แต่ถ้าหากในอาหารมีผสมอยู่แล้วอาจต้องจำกัดปริมาณการให้- เนื้อสัตว์ฟรีสดราย/อบแห้งเช่น อกไก่ ปลา สัดส่วนโปรตีนสูงมากและไขมันต่ำ สามารถให้ได้ 1-2 ชิ้นทุก 1-2 วัน หรือผสมในอาหารหลักเพื่อเพิ่มค่าโปรตีนโดยไม่เพิ่มไขมัน จะใส่ทั้งชิ้น หรือบิให้เป็นก้อนเล็กๆก่อนก็ได้- ผลไม้แห้งสามารถให้ได้เพื่อเสริมวิตามิน แต่ในปริมาณน้อยเนื่องจากมีน้ำตาลสูง อาจไม่เหมาะกับหนูพันธุ์ที่อ้วนง่ายและเสี่ยงเบาหวาน เช่น วินเทอร์ไวท์ แคมเบล ให้ครั้งละชิ้นขนาด 1 เหรียญบาท สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งผลไม้อบแห้งที่ไม่ควรให้คือชนิดที่เชื่อมมา โดยลักษณะจะสีสดกว่าปกติ ดูชุ่มๆ และอาจเห็นเกล็ดน้ำตาลปกคลุมได้- ขนม homemadeที่ส่วนผสมหลักเป็นข้าวโอ๊ตหรือธัญพืชอื่นๆ ไม่ผสมน้ำตาลเพิ่ม สามารถให้ชิ้นเล็กๆขนาดเท่าปลายนิ้วได้ทุก 2-3 วัน- ขนม commercialขนมประเภทบิสกิต เนื้อเต๋า ดรอป เยลลี่ ปลาเส้น หรือขนมที่ process เยอะอื่นๆ ไม่ควรให้บ่อยเนื่องจากทำให้อ้วนได้ง่าย สามารถให้ชิ้นเล็กๆขนาดเท่าปลายนิ้วได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง- นมแพะนมแพะสามารถให้เสริมได้ในทั้งหนูเด็กและหนูโต โดยเฉพาะหนูที่ทานอาหารได้น้อย แบบผงผสมความเข้มข้นเท่าข้างซอง สำหรับพันธุ์แคระให้ครั้งละ 0.5-1ml พันธุ์ไจแอนท์ครั้งละ 1-3ml สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หากให้บ่อยหรือในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดนิ่วได้เนื่องจากปริมาณแคลเซี่ยมสูง และมีปริมาณไขมันสูงทำให้อ้วนได้ง่าย- ขนมแฮมเลีย ซุป อาหารเหลวอื่นๆปริมาณสำหรับพันธุ์แคระให้ครั้งละ 1-2ml พันธุ์ไจแอนท์ครั้งละ 2-4ml สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สัดส่วนน้ำตาล ไขมัน ขึ้นกับยี่ห้อ- อาหารเหลวในกรณีที่อาหารเหลวนั้นมีค่าสารอาหารระบุชัดเจน และปรับสูตรมาให้เหมาะสมกับที่แฮมสเตอร์ต้องการ เช่น Nutri-ham, Oxbow critical care สามารถให้ทนแทนอาหารหลักได้ในหนูที่อายุมาก ป่วย หรือไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ขนมที่ไม่ควรให้- มาร์ชเมลโล่ว เนื่องจากละลายติดในกระพุ้งแก้มได้ ปริมาณน้ำตาลสูงมาก- ช็อคโกแลต แฮมสเตอร์หากเผลอกินช็อคโกแลตเข้าไปอาจไม่ถึงตาย แต่ไม่ควรให้เนื่องจากไขมันและน้ำตาลสูง- ขนมที่สีสดมากๆ แต่งสีชัดเจน- ขนมที่ลักษณะต่างไปจากเดิม เช่น สีเปลี่ยน มีฝุ่นผงมากกว่าปกติ มีแมลงขึ้น กลิ่นเหม็นหืน ซองฉีกขาดการเก็บรักษาโดยปกติแล้ว ขนมและอาหารเสริมควรเก็บในที่แห้ง เย็น และไม่ถูกแสงแดดโดยตรงอาจเก็บในถุงเดิมได้ถ้ามีซิปปิด หรือเทใส่กล่องที่อากาศและความชื้นไม่สามารถเข้าได้ อย่าลืมเขียนวันหมดอายุข้างกล่องทุกครั้งที่ย้ายบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดสามารถเก็บในตู้เย็นได้ แต่ก่อนเปิดซองควรนำมาไว้ข้างนอกให้หายเย็นก่อนเพื่อป้องกันไอน้ำจับกับตัวขนม ซึ่งจะทำให้ขนมเสียเร็วขึ้น- ธัญพืช สมุนไพรแห้ง และขนมแห้งชนิดอื่น เก็บได้นานประมาณ 3 เดือนหลังเปิดซอง หรือตามวันหมดอายุข้างซอง เมื่อให้สามารถทิ้งไว้ในกรงได้จนกว่าจะทานหมด- ผักผลไม้แห้ง เก็บได้ประมาณ 1 เดือนหลังเปิดซอง ต้องระวังเรื่องความชื้น หากทานไม่หมดควรเก็บออกจากกรงป้องกันมดขึ้น- อาหารที่มีลักษณะเหลว หากเปิดซองหรือผสมแล้วควรเก็บในตู้เย็น ได้ไม่เกิน 1-3 วัน

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 5 ครั้ง


Winter White (hybrid) Hamster Colour Chart - ตารางสีหนูแฮมสเตอร์วินเทอร์ไวท์ By Tea Garden Hamsters

Winter White (hybrid) Hamster Colour Chart - ตารางสีหนูแฮมสเตอร์วินเทอร์ไวท์ By Tea Garden Hamsters

Winter White (hybrid) Hamster Colour Chartไกด์สีของหนูพันธุ์วินเทอร์ไวท์สีหลักหรือสีมาตรฐานของหนูสายพันธุ์นี้คือสีนอมอล(normal) ซัฟไฟร์(blue sapphire) และเพิร์ล (pearl) แต่ในปัจจุบันหนูพันธุ์นี้ส่วนมากจะมีสายเลือดพันธุ์แคมเบลผสมอยู่ ผ่านการเพาะมาหลายรุ่นจนสีนิ่ง ทำให้มีสีที่หลากหลาย อย่างไรก็ตามไม่ควรนำพันธุ์วินเทอร์ไวท์และแคมเบลมาผสมกันเนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคทางพันธุกรรมได้#หมายเหตุ- ชื่อสีต่างๆ บนภาพ จะรวมถึงชื่อที่ใช้ในฝั่งเอเชีย และฝั่งยุโรป บางสีนั้นมีหลายชื่อ- ในภาพนี้ยังไม่รวมกลุ่มสีล้วน (non-agouti) เนื่องจากไม่มีในประเทศไทย และเป็นสีไฮบริดที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับแพร่หลาย- สีหนูในชีวิตจริงจะไม่ได้ตามเฉดแบบนี้ทุกตัว บางเฉดจะมีเข้มอ่อนต่างกันออกไป- สีบางสี สีขนคล้ายกันแต่ตาคนละสี หรือหูคนละสี ขนชั้นในคนละสี ต้องสังเกตดีๆ- การแยกสีบางครั้งต้องใช้ข้อมูลสีของพ่อแม่ พี่น้องร่วมครอก และสีจากต้นสายร่วมด้วย#Disclaimer- This chart contains the colour combination of dwarf hybrids that are leaning more towards winter white. The colour name varies depending on the region and country.- This chart does not include every single colours and combinations. Some colours do not have an official name, and some gene combinations produce similar colours.- This chart also does not include self colour as it does not exist in our region, and most self are considered more Campbell-leaning- Hamsters of the same colour may have different shades depending on each line. Ear colour, eye colour, and pedigree are also important when deciding what colour the hamster is

เขียนโดย Tea Garden Hamsters

โพสต์เมื่อ 23 ม.ค. 25

อ่าน 2 ครั้ง

REPTALES v1.0.2 by ReptTown
All Right Reserved